หันหลังกลับมามองละครเมืองคาม
ย้อนกลับมามองละครเมืองคามอีกครั้ง ย้อนมามองในเรื่องที่เป็นสิ่งเเห่งความพอดี ที่เกิดขึ้นในงานที่ชื่อว่า เยาวชนนักการละครสะท้อนปัญญา เมื่อประมาณ 3 เดือนที่เเล้วฮักนะเชียงยืนรวมทั้งตัวของกระผมเองได้รับโอกาสสำคัญจากผู้มอบโอกาสให้ คือ ทางมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เเละมูลนิธิสื่อชาวบ้านมะขามป้อม โดยโอกาสในครั้งนี้เป็นไปในเเนวทางของ "ละครเร่" ซึ่งตัวของกระผมเองนั้นก็ไม่รู้ว่าละครเร่ คือ อะไร ในช่วงเเรกๆที่ได้ยินข่าวรู้สึกตื่นเต้นเล็กๆในใจของตนเอง ว่าละครเร่หรือ? เเล้วมันคืออะไรกัน? ในตอนนั้นกระผมเองอยากรู้มาก เพราะเคยเรียนวิชาภาษาไทยเมื่อครั้งประถมศึกษาที่จำได้ประมาณ ป.5 ได้ที่ส่วนหนึ่งของเนื้อหาพูดถึงในเรื่องของละคร ที่เอ่ยถึงละครเร่ ซึ่งก็ค้างคามาจนเดี๋ยวนี้ที่กระผมเองยังนึกสงสัยอยู่ว่าละครเร่คืออะไร หลังจากที่ได้ยินข่าวว่า ทางผู้ใหญ่ใจดีได้มอบโอกาสนี้ให้ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญ ก็เป็นสิ่งที่ย้ำเตือนความทรงจำให้กระผมได้หวนคิดย้อนไปเมื่อครั้งประถมอีกครั้งที่ยังไม่ได้หาคำตอบที่เเน่ชัด เเล้วในครั้งนี้มาหาคำตอบอย่างจริงจัง โดยหาตามข้อมูลที่หาได้ง่าย คือ ครูกูเกิ้ล เเต่ก็พอรู้เพียงในตัวหนังสือ เเละวิดีโอเล็กๆน้อยๆ ได้รู้ความหมายออกมาในระดับเบื้องต้นเพราะยังไม่ได้ลงมือทำ ยังไม่ได้ทำจริง ละครเร่เมืองคาม มีเเนวทางที่ในการพัฒนาเเกนนำเสียก่อนเเล้วในเเกนนำมา พากลุ่มสร้างละครเร่ให้ออกมาเร่ในชุมชน จึงนำมาซึ่งกิจกรรม ของการพัฒนาเเกนนำเข้าสู่กระบวนการของละคร
ค่ายพัฒนาเเกนนำเข้าสู่กระบวนการของละคร ถูกจัดขึ้นโดยในครั้งเเรกๆถือว่าเป็นการ "จูน" ทุกๆคนเข้าหากันด้วยกระบวนการของละคร ในครั้งเเรกเป็นการละลายพฤติกรรมเข้าหากัน ถอืว่าเป็นกิจกรรมที่ถือว่าสนุกดี เเล้วก็เข้าสู่กิจกรรมของ จินตนาการ ความเชื่อ เเละสมาธิเเล้วก็มาเข้าสู่การทำละครเร่โดยใช้ตัวอย่าง ใช้การทดลองทำเสียก่อน ทดลองทำไปมากๆเเล้ว ก็ลงวิเคราะห์นิทาน วัฒนธรรมในท้องถิ่นของตน เเล้วจากนั้นไม่นาน ค่ายนี้ได้สิ้นสุดลง เเล้วเกิดการเรียนรู้ที่กระจายออกไปด้วยเเกนนำของเเต่ละกลุ่มที่ถ่ายทอดออกไปสู่เพื่อนของตน เพื่อที่จะทำละครเร่ที่เร่ขึ้นเพื่อเปลี่ยนเเปลงสังคมให้เป็นไปในทางที่ดี ความเข้มข้นเริ่มในจุดนี้เอง ที่เข้มข้นทั้งความรู้ของบ้านตนเอง ทั้งความรู้ด้านทักษะเเละประสบการณ์ ทั้งความรู้เเห่งการเรียนรู้อยู่บนสภาพปัญหา เเละความรู้จักในตนเองก็เพิ่มขึ้นในทุกขณะ ในช่วงที่เข้มข้นนี้เป็นช่วงที่กำลังซ้อมเเละคอยปรับอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะให้ละครของตนออกไปสู่สังคม เพื่อหวังผลเพียงว่า ผู้ที่ได้ชมละครของเรานั้นจะได้ย้อนมองดูตนเองสักครู่ สองครู่ เเล้วนำมาที่ได้มองนั้นไปคิดต่อ เพื่อที่จะปรับพฤติกรรมที่ไม่ดีนั้นของตนเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ฮักนะเชียงยืนซ้อมอยู่ในช่วงนี้นานพอสมควร เเล้วออกเร่เป็นครั้งเเรก ครั้งที่สอง เเละครั้งที่ สาม ครบสามครั้ง เเต่โจทย์หลักนั้นไม่ได้อยู่ที่จะเเสดงไปเท่าไหร่ เเต่มันอยู่ที่เเก่นกลางของละครว่าจะสื่ออะไรออกมาต่อชาวบ้านให้ชาวบ้านได้มองดูตนเอง เเละชาวบ้านเปิดใจมองละครของเรา เเต่การที่ชาวบ้านเองจะเปิดใจมองละครของเรานั้นถือว่ายากพอสมควร เเล้วในบริบทนี้ของฮักนะเชียงยืนนั้นที่เเสดงออกไปสู่ชุมชน สิ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลย คือ มีผู้ใหญ่ร้องไห้ด้วย ผู้ใหญ่เปิดใจมากยิ่งขึ้น เเต่ไม่มีทางเลือกเพราะเป็นวิถีชีวิต เพราะเป็นอาชีพ เพราะเป็นรายได้ ฤทธิ์ของละครถึงจะสามารถทำให้คนร้องไห้กับเราได้ ถึงจะเป็นพลังของเยาวชนเเล้วนั้น เเต่ในบริบทนี้ การดันประตูของเกษตรพันธะสัญญา(ออกไปนิดนึง)นั้นยากนัก เพียงเเสดงละครอาจไม่เพียงพอที่จะสามารถช่วยได้ เเต่ละครเป็นทุนสำคัญที่เราพอจะสามารถทำได้ ละครทำได้ คือ การสร้างความตระหนัก การย้ำเตือน เเละย้ำไปเรื่อยๆจนกว่าเขาจะเปลี่ยนเเปลงตัวของเขาเอง จนกว่าจะอยู่ร่วมกับกับพันธะสัญญาได้ ความเข้มข้นดังกล่าวครบทุกรสชาติ ในฮักนะเชียงยืนที่มีทั้งขม เค็ม หวาน เปรี้ยว เเละต่างๆนานา ถัดจากภวังค์ของความเข้มข้นนี้ไปไม่นานก็เข้ามาสู่ งานใหญ่ซึ่งถือว่าเป็นงานเเลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันเเล้วสรุปผลสิ้นสุดโครงการเยาวชนนักการละครสะท้อนปัญญา
งานนี้ที่เป็นงานเเลกเปลี่ยนเรียนรู้นั้น มีชื่อว่า งานเทศกาลละครเมืองคาม เป็นงานที่กลุ่มการละครทุกกลุ่มมาเเสดงละครเร่ ให้กันเเละกันได้เรียนรู้วิธีการซึ่งกันเเละกัน งานนี้เป็นงานที่สบายๆ เพราะพี่ๆเเละคณะกรรมการทุกท่านให้ความเป็นกันเองส่งผลทำให้ความกดดัน ลดลงจนเกือบหมดหายไป งานเทศกาลละครเมืองคามในครั้งนี้ ฮักนะเชียงยืนได้รับ รางวัล บทละครยอดเยี่ยม ก็ก้ถือเป็นกำลังใจเล็กๆน้อยๆให้เด้กที่ทำละครเร่ได้มีเเรงบันดาลใจขึ้นอีกครั้งหลังในเวลาต่อมา ... หลังจากจบโครงการลงไปก้ได้มานั่งย้อนมองดูตนเองอีกครั้งว่า เเต่ก่อนเราเคยมองว่า การละครนั้นสำคัญที่บท ต้องใช้ไมค์เพราะทุกคนจะได้ยินเสียง เเต่หลังจากพอได้สั่งสมละครเร่เเล้วนั้น ความคิดเหล่านั้นเริ่มหายไป เพราะร่างกายของคนเรานี้ก็สามารถทำได้หลายๆอย่าง บางอย่างไม่จำเป็นต้องมีคำพูดก็ให้ความหมายเราได้รู้อย่างชัดเจน ว่าเขาเป็นอย่างไร(มองจากเส้นเรื่องของละคร) กำลังทำอะไร(มองจากท่าทางที่เขาทำในขณะนั้น) เเล้วการใช้ไมค์นั้น ก็ไม่จำเป็นเพราะเราสามารถเปล่งเสียงของเราเอง เเทนไมค์ได้...
ละครสอนผมหลายอย่าง คือ สอนผมว่าต้องมีความมั่นใจในตนเอง สอนผมว่าต้องมีสมาธิกับงานที่ตนได้ทำ สอนผมว่าจินตนาการที่ไอน์ไตน์ได้พูดถึงบ่อยๆนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการคิดอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง สอนผมว่าจะต้องมองที่บริบทของเราเป็นอย่างไรเพราะเเต่ละท้องที่เเต่ละคนจะมีบริบทไม่เหมือนกับ เรามีอัตภาพที่ไม่เหมือนกันซึ่งสอนให้ผมเข้าใจความต่างระหว่างบุคคล สอนให้ผมรู้จักว่า การเขียนบท ฉากต่างๆนั้นคิดเองคนเดียวไม่ได้ จะต้องใช้กระบวนการกลุ่มเข้าช่วยถึงจะออกมาดี เเล้วยังย้ำเตือนผมเข้าไปลึกๆอีกว่าการยอมรับเเนวคิดของผู้อื่นๆเเล้วมาปรับเข้ากับงานของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องทำเพราะ นั่น เป็นความจริงของเรา(สอนให้เรารู้จักความจริง)... ในผลที่เกิดขึ้นต่อตนเองนี้ส่วนตัวของผมมองว่า ย่อมเกิดขึ้นเเน่นอนทั้งทักษะต่างๆเเละการรู้จักตนเองมากยิ่งขึ้น เเล้วส่งผลไปสู่ชุมชน คือ จะเป็นพลังๆเล็กๆที่เกิดขึ้นในชุมชน เเล้วทำให้ชุมชนได้ดูละครย้อนมองดูตนเอง อย่างน้อยกลุ่มเป้าหมายที่มาชมละครก็ได้มองดูตนเองจากละครเเล้ว... ละครเมืองคามในคราวนี้ ความประทับใจที่สำคัญของผม คือ ความอบอุ่นที่พี่ๆได้มอบให้ ความเป็นกันเองที่พี่ๆได้มอบให้จึงทำให้จุดนี้เป็นจุดเเข็งที่สำคัญของละครเมืองคามในยุคนี้ เมื่อมีจุดเเข็งก็ต้องมีจุดอ่อน โดยจุดอ่อนที่ผมมองเห็นเด่นชัด คือ โอกาสที่ทางผู้ใหญ่ได้มอบให้นั้น ยังสามารถขยายโอกาสออกไปได้กว้างขึ้นอีก โดยเปิดรับกลุ่มละครที่มาเรียนรู้ร่วมกันออกไปอีก อาจให้เด็กโฟกัสไปที่กลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก อาจให้เด็กนำผู้ใหญ่มาเเสดงด้วย(ทรรศนะส่วนตัว) ในครั้งนี้ละครเมืองคามสร้างทุนสำคัญเเห่งการพัฒนาได้เกิดขึ้น เเละได้ให้ทุนเด็กได้พัฒนาชุมชนของตนเองด้วยสิ่งที่เขาพอจะสามารถทำได้เเบบเด็กๆ ... ละครเมืองเป็นเพียงปีเเรก เเต่ผมก็รู้สึกประทับใจ เเละได้เรียนรู้ในเชิงทักษะในระยะเวลาอันสั้นนัก (สงสัยคงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากผลเเห่งละครเมืองคาม) ...
การลงมือทำ...
ทำให้เราเรียนรู้การฝึกสมาธิ ครับ..
ชื่นชมและให้กำลังใจ ครับ