อ่านจิตของคนรุ่นใหม่ (2)


คำถามที่ 1 วันนี้คุณรู้สึกอย่างไร

ก. ดีใจและตื่นเต้นมาก อาจารย์เป็นกันเองกับนักศึกษา และมีกิจกรรมต่างๆ ให้กับนศ.เพื่อที่จะได้ฝึกการใช้ความคิด ฝึกการเรียนรู้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ทำให้เราได้คิดได้นีก 

ข. ได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น และได้รู้จักเพื่อนในชั้นเรียนมากขึ้น รู้จักการช่วยเหลือกันในการทำกิจกรรม และได้มีการแลกเปลี่ยนความคิด

ค. ได้ทำกิจกรรมกลุ่มแล้วสนุกมีความสุขขึ้น ไม่เฉื่อย ไม่เบื่อ ทำให้เราีมีสมาธิ ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้ทำงานเป็นทีม ได้ความรักความสามัคคีกันในคณะ อาจารย์สอนสนุกมากเข้าใจมากยิ่งขึ้น ได้บรรยายและปฏิบัติเลยทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ช่วงแรกๆยังไม่ค่อยสนใจเนื้อหาเท่าไร แต่พออาจารย์ให้ทำกิจกรรมก็เหมือนละลายพฤติกรรมออก ทำให้สนใจเรียนมากขึ้น

ง. ได้รับความรู้มากมาย ได้รับความรู้ใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ได้ทำกิจกรรมต่างๆ รู้สึกสนุกสนานเพลิดเพลิน ได้ใช้ความคิด ได้รู้จักเพื่อนมากขึ้น ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวซึ่งกันและกัน ไดู้รู้จักการทำงานแบบเป็นกลุ่ม

จ. มีความสุขมีความสนุกในกิจกรรมที่ได้ทำ ทำให้รู้สึกสบายใจยิ้มอย่างมีความสุข ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ กับกิจกรรมที่ทำ เช่น การวาดภาพเืพื่อดูสภาวะจิตใจ

ฉ. รู้สึกว่า เป็นวันที่เรียนวิชาจิตเวชที่มีความสุขและสนุกที่สุด ได้เสียงหัวเราะผ่อนคลาย ได้ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ มีความสุขดี แต่ตอนนี้รู้สึกง่วง

ช. ได้เรียนรู้การพัฒนาจิต การเปลี่ยนทัศนคติ แบ่งกลุ่มแสดงออกของเพื่อนร่วมชั้นเรียน

ซ. ได้ความรู้เกี่ยวกับกิจกรรมที่จะไปพัฒนาตัวเองและส่งเสริมให้ผู้ป่วย, เกิดความเข้าใจในลักษณะของผู้ป่วยจิตเวชที่บางที่เราต้องเจอ, รู้จักการเข้าหาผู้ป่วยจิตเวชมากขึ้น, รู้จักกระบวนการคิดในการดูแลผู้ป่วยจิตเวช

ฌ. รู้สึกได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ได้มิตรภาพและความสัมพันธ์ทีีดี วันนี้เรียนสนุก ไม่เครียด ได้เล่นเกม และทุกคนมีความสามัคคีกัน ได้เล่าเรื่องต่างๆ ในวัยเด็ก สามารถนำกิจกรรมต่างๆ ไปใช้ทางคลินิก

คำถามที่ 2 คุณคิดอย่างไรกับความสุขความสามารถ (ศักยภาพ) ของตนเอง

ก. การที่เราสามารถที่จะคิดวิเคราะห์แก้ไขปัญญหาต่างๆ ได้ส่งผลให้ทำให้เกิดความสำเร็จ เมื่อเกิดความสำเร็จก็จะทำให้เรามีความสุขกับสิ่งที่เราทำ

ข. การที่เรามีความสุขความสามารถที่ดี มันจะเป็นแรงผลักดันให้เราอยากทำกิจกรรม อยากเข้าสังคมและทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น และรู้จักเสียสละให้กับคนอื่น

ค. คิดว่าตัวเองมีศักยภาพแต่ไม่แสดงออกเท่าไร ... แต่ต่อไปข้างหน้าจะพยายามแสดงออกให้มากขึ้นและจะได้มีความสุขและเป็นคนที่มีศักยภาพมากขึ้นไปอีก

ง. คิดว่าความสุขความสามารถคืดสิ่งที่เราสร้างขึ้นเองได้ โดยขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่า เราจะทำให้มีความสุขหรือทุกข์ เราเป็นตัวกำหนดได้ ส่วนความสามารถของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป แต่เราต้องภูมิใจและมีความสุขความสามารถของตนเอง แค่นี้ชีวิตก็มีความสุขแล้ว

จ. ความสามารถที่เรามีอยู่ ณ ตอนนี้ที่ความพยายามที่เราหาและสร้างขึ้นมา พอเรามีความสามารถและความรู้แล้วก็ทำให้เราประสบผลสำเร็จในการทำสิ่งต่างๆ และเมื่อสำเร็จจึงทำให้เรามีความสุขเหมือนทุกวันนี้อันเนื่องมาจากสิ่งที่เราทำเอง

ฉ. เราก็มีความสุขในแบบของเราได้ระดับหนึ่ง และมีความสามารถที่ตนเองทำได้ เราก็ไม่ได้อยากมีความสุขมาก จนถึงไม่รู้จักความทุกข์ อยากเป็นคนดีที่อยู่บนโลกนี้แล้วมีความสุขในแบบตัวเองพอ

ช. ก็รู้สึกดี ภูมิใจกับสิ่งที่คนเป็น

ซ. รู้สึกมีความสุขมากกับสิ่งที่มีอยู่ ณ ตอนนี้ ถึงแม้บางอย่าง บางเรื่อง บางเหตุการณ์อาจจะเล็กน้อยสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับตัวเรามันคือความสุขที่ยิ่งใหญ่

ฌ. ทุกวันนี้ก็รู้สึกมีความสุขในระดับหนึ่ง เพราะถ้าเราได้ทำอะไรที่มีความสุข เราก็มีกำลังใจที่จะทำสิ่งนั้น ส่วนด้านความรู้ความสามารถมีความเท่าเทียมกับคนอื่นๆ เช่น สามารถทำกิจกรรมและวางแผน

คำถามที่ 3 คุณคิดอะไรกับระบบการให้บริการสุขภาพจิตในประเทศไทย

ก. การให้บริการต่างๆ ยังไม่ทั่วถึง เช่น คนที่อยู่ต่างจังหวัดและมีฐานะยากจนส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึงการรักษาที่ดีได้ การรักษาในปัจจุบันยังถือว่า คนที่มีฐานะทางสังคมเท่านั้นที่จะสามารถเข้ารับบริการการรักษาได้อย่างทั่วถึง 

ข. ครอบครัวของฉันมีการพูดคุยกัน มีการดูแลซึ่งกันและกัน มีความสุขกับการที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับครอบครัว บ้านจึงมีสุขภาพจิตที่ดี

ค. คนส่วนใหญ่จะไม่เข้าถึงเท่าไร (ถ้าไม่เป็นคนที่มีปัญหาอยู่แล้ว) ถ้ามีการมาสร้างกิจกรรมรณรงค์น่าจะมีคนให้ความสนใจเพิ่มขึ้นอีก

ง. ตอนนี้ผู้คนมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตเยอะมา แต่การให้บริการยังมีน้อย ไม่สามารถรองรับคนไข้ทั้งหมดได้ หรือบางทีเจ้าหน้าที่ในสถานพยาบาลยังดูแลไม่ดีพอ เพราะยังมีข่าวผู้ป่วยโดดตึกฆ่าตัวตาย ฆ่าตัวตายในห้องน้ำ อยากให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูความปลอดภัยให้มากกว่านี้ แล้วจัดสำรองสถานที่ให้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับการรักษา

จ. ยังใ้ห้บริการไม่ทั่วถึงกับบุคคลต่างๆ การเข้าสู่สังคมยังไม่มากพอ และอาจเป็นเพราะด้านเทคโนโลยีต่างๆ ยังไม่ทันสมัยมากนัก จึงทำการเข้าถึงตัวผู้ป่วยเป็นไปได้น้อย

ฉ. ระบบสุขภาพจิตในบ้าน รู้สึกว่า ทุกคนก็มีระบบสุขภาพจิตที่ดีมีความสุข เพราะทุกคนมีความรักและเข้าใจกัน ช่วยเหลือกัน

ช. การดูแลที่ไม่ทั่วถึง สุขภาพจิตคนไทยยังมีปัญหาในการแข่งขันใช้ชีวิต การแย่งชิงอยู่รอด เห็นแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ไม่คิดถึงประโยชน์ส่วนรวม

ซ. ในปัจจุบันความต้องการต่อสิ่งที่มีอยู่มันไม่สมดุลกันทุกอย่างรวมถึงการให้บริการสุขภาพจิตเช่นกัน เป็นเพราะงบประมาณ บุคลิกภาพ อะไรหลายๆอย่างในสังคมปัจจุบันจึงเป็นอุปสรรคของการบริการสุขภาพจิตในบ้านเรา

ฌ. คิดว่าระบบสุขภาพจิตในบ้านเราค่อนข้างมีคนให้ความสำคัญน้อยมาก เพราะสังคมทุกวันนี้มีความวุ่นวายและการแข่งขันกันมากขึ้น มีความเครียดที่ไม่มีทางระบาย อยากให้มีศูนย์บริการด้านสุขภาพจิต และมีคนให้คำปรึกษาแนะนำและกลับมาดำเนินชีวิตที่ปกติได้เช่นเดิม

คำถามที่ 4 คุณวางแผนชีวิตให้มีสุขภาพจิตใน 5 ปี ข้างหน้าอย่างไร

ก. เรารู้จักอดออม การรู้จักคบเพื่อน และการรักษาสุขภาพของตนเอง เช่น ออกกำลังกายตลอดเวลา การเข้าสังคม การอยู่กับครอบครัว อยู่กับคนที่เรารัก เอาใจใส่ครอบครัว เวลาเป็นสิ่งสำคัญ

ข. การวางแผนใช้ชีวิตให้มีความสุข โดยที่เราเรียนจบมีงานที่ดีทำ มีเงิน และได้กลัีบไปดูแลพ่อแม่ ที่สำคัญคือมีสุขภาพที่ดี แค่นี้ชีวิตก็มีความสุข

ค. วางแผนไว้คร่าวๆ ว่า ปีๆหนึ่งเราต้องใส่ใจเรื่องสุขภาพตัวเอง การกิน การหลับนอน สุขภาพจิต ว่าส่วนไหนที่คิดว่ามีปัญหาก็จะแก้่ไขปีต่อปี และจะพยายามทำให้ตัวเองมีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เครียด หากิจกรรมอื่นทำตลอด

ง. จะทำอารมณ์ตัวเองให้อยู่ในสภาวะปกติ ไม่ตึงเครียดมากเกินไป ปล่อยวาง ทำจิตให้สงบ เตรียมพร้อมที่จะเผชิญทุกปัญหาที่เข้ามา แค่นี้ชีวิตในวันข้างหน้าก็มีความสุขมากที่สุดแล้ว

จ. เราต้องรู้จักพักผ่อนบ้าง ออกกำลังกาย เข้าสู่สังคมภายในและภายนอกบ้าง ทำให้ร่างกายให้แข็งแรง รู้จักยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ส่งผลให้สุขภาพจิตดีอนาคตก็มีความสุข

ฉ. มีหน้าที่การงานทำที่ดี มีความสุข กลับไปอยู่บ้านเกิดดูแลพ่อแม่ มีครอบครัว และใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ใช้ชีวิตให้มีความสุข

ช. ทำงาน เรียนต่อสาขาที่ต้องการเรียน

ซ. ทุกวันนี้ก็มีคิดว่าตัวเราเองมีสุขภาพจิตประมาณ 70% แล้วก็คิดว่าจะพัฒนาสุขภาพจิตของตัวเองให้มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ให้ได้

ฌ. อยากเห็นคนไทยมีความรักใคร่สามัคคีกัน อยากช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพจิต อาจจะมีรณรงค์ และใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว เปิดใจคุยกันในทุกๆเรื่อง นำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน

คำถามที่ 5 ถ้าพรุ่งนี้คุณรู้ว่า "คุณจะจากโลกนี้ไป" คุณจะเขียนอะไรให้คนไทยอ่าน

ก. อยากให้คนไทยรักกัน สามัคคีกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อบ้านเมืองของเราจะได้สงบสุข ประเทศไทยจะได้เจริญก้าวหน้า, อยากบอกกับครอบครัวกับพ่อแม่ ให้พ่อแม่ดูแลตัวเองมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง อยากขอโทษในสิ่งที่เราเคยทำให้พ่อแม่เสียใจ

ข. จะเขียนชีวิตของเราที่ผ่านมาทั้งที่สุข ทุกข์ สมหวัง ผิดหวัง ให้คนที่อ่านรู้ว่า คนเรามันต้องมีทั้งความสุขและความทุกข์ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนที่รู้สึกท้อแท้ผิดหวังในชีวิต และสุดท้ายขอให้คนไทยรักกันและสามัคคีกัน

ค. ดีใจที่ได้เกิดบนแผ่นดินไทย มีพ่อหลวงที่น่ารัก ก่อนจะตายก็อยากบอกว่า รักเมืองไทย รักในหลวง เกิดก็อยากเกิดที่แผ่นดินนี้อีก...แต่อยากให้คนไทยสามัคคีกันกว่านี้

ง. จะเขียนประวัติ ครอบครัว ผลงาน ความสำเร็จว่ากว่าจะมีวันนี้ได้ ต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง มันยากแค่ไหนกว่าจะมายืนบนจุดนี้ได้ เพื่อให้คนอ่านที่มีความรู้สึกท้อแท้ หมดหวัง อ่านแล้วรู้สึกว่า ชีวิตมันต้องสู้ สู้ไปข้างหน้า เพื่อความสำเร็จของชีวิตเรา

จ. เขียนเรื่องรางประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตเพื่อเตือนสติในคนที่คิดต่างว่า เขายังต้องสู้ต่อไปได้อย่างไร เขียนเรื่องราวความรู้ในเรื่องของวิชาชีพที่เราได้เรียนรู้ให้ใครก็ได้สามารถอ่านได้

ฉ. ชาตินี้ทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์อยู่บนโลกนี้ มีทั้งทุกข์ สุข รวย จน ฯลฯ และเกิดมาในประเทศไทยเหมือนกัน ทุกคนรู้ว่า ความรัก การช่วยเหลือกัน มันคืออะไร ใครทำดีก็ได้ดี ใครทำทำชั่วก็ได้ชั่ว จงทำดีเทอญเมื่อมีโอกาสได้ทำได้แล้ว ความสุขจิงๆ จะเกิดขึ้นกับชีวิตและสงบในจิตใจ

ช. เีขียนบทความสั้นๆ ที่มีประโยชน์ต่อสังคม การใช้ชีวิตในสังคมแบบมีทั้งสุขและทุกข์ เหมือนกับการใช้ชีวิตของตนเองในรูปแบบของการดำรงชีวิตช่วงอายุวัยรุ่นตอนต้นถึงปลาย

ซ. การประสบความสำเร็จไม่ใช่ความสุขที่สุดในชีวิต การมีชีวิตอยู่แล้วมีสุขภาพจิตดีต่างหากคือความสุขที่สุด

ฌ. อยากให้คนไทยรักกัน มีความเป็นหนึ่งเดียว สามัคคีกัน 

สำหรับดร.ป๊อป ถ้าจะลองตอบโจทย์ทั้ง 5 ข้อ ตามวัยและประสบการณ์คนรุ่นกลาง ก็จะตอบดังนี้

ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้สอนกลุ่มนศ.ที่มีพลังชีวิต...ความสุขความสามารถหรือศักยภาพของผมเริ่มเสื่อมลงด้วยโรคหลอดเลือดสมอง แต่ด้วยชีวิตที่ฟื้นตัวขึ้นใหม่ผมจะพยายามทำความดีตามศักยภาพที่มีอยู่ ณ ปัจจุบันจนถึงวาระสุดท้าย...ผมเป็นนักกิจกรรมบำบัดจิตสังคมคนแรกและคนเดียวของไทยขอชื่นชมกับกลุ่มผู้ที่มีประสบการณ์ทางจิตสังคมที่มุ่งมั่นสร้างความสุขความสามารถของเพื่อนที่กำลังเจ็บป่วยทางจิตสังคม ผมคิดว่า การสร้างระบบให้บริการสุขภาพจิตในคนไทยควรมีความหลากหลายตามบริบทของภาวะเจ็บป่วยต่อเนื่องสู่ภาวะการได้งานทำและการมีความเป็นอยู่ที่ดีให้เร็วที่สุด...ใน 5 ปีข้างหน้า ผมหวังว่า ระบบกิจกรรมบำบัดจิตสังคมและกิจกรรมบำบัดศึกษาจะได้รับการวิจัยพัฒนาสู่การสร้างสุขภาวะของคนไทยได้เป็นรูปธรรม...ถ้าพรุ่งนี้ผมจากโลกนี้ไป ผมจะเขียนให้คนไทยอ่านว่า จงมีสติและศีลในการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิตด้วยสมาธิและปัญญา และจงมีความสุขในตนเองด้วยการช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ

หมายเลขบันทึก: 559935เขียนเมื่อ 23 มกราคม 2014 19:42 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มกราคม 2014 19:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

ขอบคุณบันทึกดีๆ ค่ะ

อ่านยากครับ จิต ฅ ฅน นำอาหารเย็นมาให้ดู ห้ามท่านทานนะ รักษาสุขภาพด้วย

ในสภาพสังคมปัจจุบัน ผู้คนเกิดความเจ็บป่วยทางจิตกันมาก ทั้งโรคทางกาย และโรคทางจิตใจ หากได้มีการแพร่หลายใช้กิจกรรมบำบัด เพื่อการพัฒนาจิตใจของผู้คนอย่างทั่วถึง คงจะเป็นประโยชน์มากในการพัฒนาประเทศชาติอย่างยิ่งนะคะน้องDr. Pop...

ขอบคุณค่ะกับบันทึกนี้

แต่ละคำถาม ตอบได้มากกว่า 1 ข้อใช่ไหมคะ ^_^

ใช่ครับ แต่ละคำถามตอบได้มากกว่า 1 ข้อ ขอบคุณมากๆครับคุณเกศินี พี่ดร.พจนา และท่านอาจารย์ JJ (ขอบคุณมากครับที่แนะนำเมนูพิเศษ) และขอบคุณมากๆครับสำหรับกำลังใจจากคุณภูฟ้า อ.นุ และคุณมะเดื่อ

ขอบคุณมากครับสำหรับกำลังใจจากคุณเพชรน้ำหนึ่ง คุณหมอธิรัมภา พี่นงนาท คุณบุษยมาศ และน้องธีระวุฒิ

สวัสดีครับ อาจารย์ Dr.Pop สังคมไทยเราละเลย เรื่องคุณค่า เป็นให้ความสำคัญกับเรื่อง มูลค่าไปเสียนาน ปัญหาสังคมไทยเราจึงบานปลายออกไป การบูรณาการเรื่องสุขภาวะในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าสนับสนุนอย่างยิ่งให้ดำเนินการอย่างจริงจัง เข้มแข็ง ในความเห็นส่วนตัวของผม ถ้าหัวหน้างาน หรือ หน่วยงานให้ความสำคัญ กับ คน ไป พร้อม ๆ กับ ผลของงาน ไม่ใช่ สนใจแต่ผลลัพท์ ที่ไม่ค่อยได้สนใจความเป็นอยู่ หรือ ความสุข ของบุคลากรในหน่วยงาน ก็เหมือนจะเป็นการบุูรณาการที่ไม่ยั่งยืน การริเริ่มจากหน่วยเล็ก ๆ คือ ในระดับพนักงานหรือบุคลากร ให้เกิดการแลกเปลี่ยน ช่วยเหลือในเรื่องที่ไม่ใช่เฉพาะการทำงานตามหน้าที่ เช่น สนับสนุนกิจกรรม หรือการช่วยเหลือกัน เรื่อง ของครอบครัว ลูก ๆ หรือ พ่อแม่ สิ่งเหล่านี้จะเป็นพลังที่สนับสนุนทำให้คนทำงานเกิดสุขภาวะในการทำงาน และการใช้ชีวิต และเขาจะยิ่งมีพลังในการสรรค์สร้างสิ่งดีงานแก่บุคคลอื่นได้อย่างยั่งยืนและจริงใจและมีความสุข เมื่อเราใส่ใจกันมากขึ้น เราจะเข้าใจทั้งตนเองและบุคคลอื่นมากขึ้น เราจะอยู่ด้วยกันอย่างกัลยาณมิตร เอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือกัน จริงใจต่อกัน ไม่แบ่งแยกกัน จะเกิดสังคมสุขภาวะที่แท้จริง

ขอบคุณมากๆครับคุณเอกราช เห็นด้วยอย่างยิ่ง ถ้าสังเกตความคิดเห็นของเด็กรุ่นใหม่ (คำถามที่ 2) ความเข้าใจในคุณค่าของตนเองก็ยังดูเป็นแนวกว้างพอๆ กับความเข้าใจในผู้อื่นที่เป็นรูปธรรมไม่มากนัก

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท