โตไป....ไม่โกง(จริงหรือ)


เป็นคำถามที่ผุดขึ้นในใจ เมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่โรงเรียนลูกรวมไปถึงเหตุการณ์การเมืองในบ้านเมืองเราในปัจจุบัน จะเรียกว่าเป็นอีก 1 ความทุกข์ ที่แวะเวียนผุดเข้ามาทักทายเมื่อปีปลาย ๆ ปีก่อน 

 

ลูกแม่ดาวนั้นเรียนอยู่ในโรงเรียนกระแสหลัก ทั้ง ๆ ที่ในใจตัวเองนั้นแอบปันใจไปให้โรงเรียนทางเลือก  อย่างที่เคยแบ่งปันกันไว้ ด้วยหลาย ๆ เหตุผลทำให้ต้องทำใจยอมรับส่งลูกเข้าโรงเรียนนี้  ยอมรับได้ง่ายที่สุด คือ ไม่ไกลบ้านมากนัก บุคคลากรที่นี่ก็ดูจะใส่ใจนักเรียนดีในระดับนึง  ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีอย่างไม่น่าเชื่อ ลูกชายปรับตัวเข้ากับสังคมโรงเรียน การเรียนได้ดีอย่างผิดคาด  ตนเองนั้นตั้งแต่ตัดสินใจก็บอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไร ปัญหาใดเข้ามาก็จะพร้อมรับค่อย ๆ แก้ปัญหากันไป จะไม่ทุกข์นำ ไม่นั่งมโนไปเอง

 

และแล้วก็เห็นปัญหาบางอย่าง ด้วยโรงเรียนเป็นโรงเรียนที่กวดขันเรื่องวิชาการมากพอสมควร (ส่วนตัวจริงๆ คิดว่ามากไป แต่คนทั่วไปบอกธรรมดา)   เมื่อเรียนในระบบแบบนี้ก็ต้องมีการ “สอบ” เพื่อวัดผลการเรียน  และเรื่องนี้แหละคือปัญหา  ลูกแม่ดาวปกตินิสัยก็ชอบที่จะเป็นที่หนึ่งอยุ่แล้ว อยากเป็นคนสำคัญมาก อยากเป็นที่ยอมรับ อยากให้ใคร ๆ เห็นว่าตนเองมีคุณค่า ฮ่าๆๆ  อ่าน ๆ นี่หลาย ๆ คนก็แบบนี้เนอะ แต่เจ้านี่เป็นมากโดยพื้นนิสัย แต่ขาดความเพียร ท้อแท้ง่าย  ต้องหมั่นกู้กำลังใจกันบ่อย ๆ   เมื่อมีการ “สอบ” เด็ก ๆ หลาย ๆ บ้านอาจต้องโดนเคี่ยวเข็ญ  พ่อแม่ตั้งความคาดหวังในการทำคะแนนสอบของลูกไว้มาก  แต่บ้านแม่ดาวไม่  แต่ไม่ใช่ปล่อยลอยลมไป เพียงใช้การจูงใจ และเตือนใจเรื่องความรับผิดชอบ หน้าที่ของ “นักเรียน”

 

แต่ละครั้งที่มีการสอบ อาจมีทดสอบธรรมดา  หรือสอบเก็บคะแนน สอบประจำเทอม ก็จะมีเรื่องเล่าจากเจ้าตัวน้อยเนือง ๆ

ลูก            แม่ วันนี้คุณครูมีสอบภาษาอังกฤษด้วย  จริงๆ  ดีโด้ทำไม่ได้หรอก แต่แก้ตามครูตอนครูเฉลย  เลยได้เต็ม 

 ครั้งนั้นน่าจะเป็นการทดสอบธรรมดา คงไม่ได้เก็บคะแนนอะไร แต่ด้วยแบบฟอร์มการเรียนการสอนกระมังที่ต้องมีการวัดผลด้วยการให้คะแนนด้วย  สอบเขียนคำศัพท์ที่เคยเรียนผ่านมา ซึ่งลูกแม่ดาวเขียนได้บ้างบางคำ ส่วนมากจะเขียนไม่ได้ ซึ่งไม่แปลกใจเพราะเจ้าตัวไม่เคยสนใจจะท่องคำศัพท์  จำได้ว่าครั้งนั้นน่าจะเป็นครั้งแรกที่ลูกกลับมาเล่าเรื่องการไม่ซื่อสัตย์ต่อการสอบ ถึงจะไม่เก็บคะแนน ไม่มีผลอะไร แต่มันส่งผลต่อจิตใจแม่ดาวมาก ครั้งนั้นจัดไป ชวนกันพูดคุยเรื่องความซื่อสัตย์  ไม่ได้พร่ำบ่น แต่ต้องชี้แจงให้เขารู้ว่าทำแบบนี้ “ผิด”   ต้องมาคุยกันว่าแม่คิดอะไร  การสอบคืออะไร ทำไมถึงต้องมีการสอบ  เราควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อมีการสอบ   ฯลฯ  และไม่ใช่แค่เราพูดฝ่ายเดียว ต้องให้เขาออกความคิดเห็นตามมุมมองความคิดเห็นส่วนตัวของเขาด้วย  จากครั้งนั้น เป็นอีกครั้งที่ตอกย้ำว่า แม่ไม่ได้คาดหวังคะแนนสอบของลูกมากเท่ากับพฤติกรรมที่ดี ความคิดที่ดีของลูก 

 

ลูก            แม่วันนี้สอบภาษาไทยเขียนคำ  ครูให้สลับกันตรวจกับเพื่อน ๆ ก็แก้ให้ดีโด้  และก็บอกให้ดีโด้แก้ให้เพื่อนด้วย จะได้คะแนนเยอะๆ

 

อีกครั้งกับเรื่องเดิม ๆ  ถามเขากลับว่า

แม่      “ลูกรู้สึกภูมิใจกับคะแนนสอบที่ได้เยอะ ๆ ไหม”   เขาไม่ตอบเพียงแต่หลบตาบอกว่า

ลูก       “ก็อยากได้คะแนนเยอะๆ”  เลยต้องถามกลับว่า

แม่        “อืม ลูกอยากได้คะแนนเยอะ ๆ  แล้วต้องการคะแนนเยอะๆ เพราะอะไรหรือจะได้คะแนนเยอะๆ เพื่ออะไร”  เขาก็ต้องประมาณว่า

ลูก        “ก็ใคร ๆ ก็อยากสอบได้คะแนนเยอะๆ ทั้งนั้น”  เขาอาจอธิบายความคิดออกมาไม่ถูก จึงต้องค่อย ๆ ถามว่า

แม่         “ลูกอยากได้คะแนนเยอะ ๆ เพราะต้องการอยากเป็นคนเก่ง อยากให้ทุกคนชื่นชมใช่หรือไม่”  ทายใจเขา  เขาก็บอกว่าใช่    ย้อนกลับไปถามว่า   “แล้วลูกมาโรงเรียนจุดประสงค์ของการมาเรียนที่แท้จริงคืออะไร”  เขาตอบว่า

ลูก          “มาเรียนเพื่อจะได้มีความรู้” 

แม่           “นั่นซิ  แล้วที่ลูกทำแบบนี้ ลูกได้ความรู้ไหม  ลูกได้คะแนนเยอะ แต่ได้ความรู้น้อย แบบนี้ลูกคิดว่าอย่างไร”

ลูก            แต่ใคร ๆ เขาก็ทำกัน เพื่อนเป็นคนบอกให้ทำแบบนี้  ที่จริงตอนแรกดีโด้ก็ไม่ได้คิดอยากจะทำ แต่เพื่อนบอกว่าให้ทำ

สังเกตุก็รู้ว่าเขาเข้าใจ ว่าอะไร ผิด อะไร ถูก เพียงแต่ยังหักห้ามใจไม่ให้ทำผิดไม่ได้

แม่            แม่เคยสอนว่าอย่างไร  “หากเห็นคนทำผิด เราควรทำผิดตามเขา หรือควรทำอย่างไร”  

ครั้งนั้นเห็นชัดว่าเขาสำนึกผิด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราคุยกันเรื่องความซื่อสัตย์    ด้วยสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์สังคม  ยิ่งเป็นเด็กเล็ก ๆ แบบนี้ด้วย เขายังไม่มั่นคงทางจิตใจเนอะ  นี่แหละคือเหตุผลหนึ่งที่ไม่อยากส่งลูกเข้าระบบการศึกษาแบบแข่งขันจัดกันแบบนี้ 

 

ล่าสุดสอบที่ผ่านมา เดือนก่อน 

ลูก            แม่มีเพื่อนคนนึง โดนครูจับได้ว่าลอกข้อสอบ 

แม่            ลอกเพื่อนคนอื่นเหรอครับลูก

ลูก            เปล่า  เขาแอบดูจากกระดาษที่จดมา

แม่            เหรอ...แล้วครูทำยังไง

ลูก            ครูก็ขยำกระดาษทิ้ง 

แม่            อ้อ...เหรอ เพื่อนโดนดุไหม

ลูก            ไม่เลย ...คุณครูไม่ดุ แต่บอกว่าทีหลังอย่าทำ

แม่            อืม....เด็กป.1 นี่เขาเขียนหนังสือ แอบจดเป็นแล้วเหรอเนี้ย

ลูก            ไม่ใช่เพื่อนหรอกแม่   น่าจะแม่ของเพื่อนจดมาให้

แม่            อ้อ....แม่เพื่อนจดมาให้ แต่เพื่อนอ่านเองออกแล้วเนอะ

ลูก            ใช่ เพื่อนคนนี้อ่านออกแล้ว อ่านเก่ง

 

เหตุการณ์นี้ทำให้เรามีเรื่องคุยกัน เกี่ยวกับเรื่องความซื่อสัตย์อีกครั้ง แต่ไม่ด่วนตัดสินสรุปความว่าเพื่อนจงใจโกง เพื่อนอาจทำเพราะไม่รู้จริง ๆ ฯลฯ  แต่หากเรารู้ว่าสิ่งใดผิด เราต้องไม่ทำ เราต้องซื่อสัตย์ เป็นอัศวินกล้าหาญที่จะต่อสู้กับกิเลสในใจเราให้ได้แบบนั้น 

 

ล่าสุดได้เข้าร่วมประชุมผู้ปกครองประจำปี นาน ๆ ทีจะได้ประชุม เทอมละครั้ง ซึ่งน้อยจัง  สำหรับบ้านเรา   นักเรียนทั้งห้องมี 33 คนได้ ผู้ปกครองมาไม่ถึงครึ่งหนึ่งของนักเรียนที่มี  ส่วนน้อยที่มาก็แสดงออกถึงทัศนคติของแต่ละบ้านได้ชัดเจนมาก ให้ความสำคัญกับความรู้ในด้านวิชาการมาก มากซะจนแทบไม่ได้ยินใครพูดถึงพฤติกรรม คุณธรรม  มีแต่คำถามว่า จะหาอ่านเพิ่มเติมได้จากที่ไหน เรื่องการเรียนพิเศษต่าง ๆ ของลูก   เรื่องให้กวดขันเรื่องคุณภาพวิชาการ  ฟังแล้วแล้วเพลียแทนเด็ก   แม่ดาวคงเป็นคนแปลกแยก ที่แตกต่าง เสนอหน้าขอความร่วมมือผู้ปกครองที่มาเรื่องให้ช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนให้ลูกปฏิบัติตามระเบียบวินัยของโรงเรียน ไม่ว่าจะเรื่องการนำของเล่นมา การนำเงินมาโรงเรียนเป็นต้น  ถึงเป็นเสียงเล็ก ๆ ก็อยากจะส่งเสียงบ้างเนอะ   หลาย ๆ เรื่องที่พ่อแม่บ่น ๆ กัน ปัญหานั้นเท่าที่ฟังไม่ใช่ปัญหาของเด็ก แต่เป็นปัญหาของพ่อแม่มากกว่า ฮ่าๆๆ  คาดหวังสูงกับการเรียนของลูก  เด็กบางรายครูก็บอกเลยว่าเด็กเรียนดีมาก  พ่อแม่ก็ยังไม่พอใจบอกฝากครูให้เข้มงวดกวดขันในเรื่องความตั้งใจใส่ใจการเรียนของลูกให้มากกว่านี้  จนครูเห็นว่าพ่อแม่ไม่ดูจะกังวลมาก แนะนำให้พาลูกไปปรึกษาจิตแพทย์ก็ได้จะได้สบายใจ  ในใจแอบคิดคนที่ควรพบจิตแพทย์นี่ไม่ใช่เด็ก แต่ควรเป็นพ่อแม่เนอะ ดูจะวิตกไปเกินเหตุ ทั้ง ๆ ครูก็ยืนยันว่าเด็กเรียนได้ดีแท้ ๆ

 

ไม่ว่าจะเป็นระบบการเรียนที่ต้องมีการแข่งขันกันสูง   ความคาดหวังจากพ่อแม่  พฤติกรรมต้นแบบที่เขาเห็นทั่วไปในสังคม เหล่านี้อาจส่งผลให้เด็ก ๆ กลายคนที่โตไปไม่แคล้วโกงได้ในอนาคต  ดังนั้นหากอยากเห็นอนาคตของชาติดีกว่าทุกวันนี้  เราก็ต้องช่วยกันทำดีให้เด็กเห็น  สอนให้เขารู้ว่าสิ่งใด “ถูก” สิ่งใด “ผิด”  สอนให้เขาแยกแยะสิ่งถูกผิดนี้ออกจากกันให้ได้  เขาจะได้ไม่งง หลงทางไปในทางที่ผิดในอนาคต

“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของสังคมไทยในปัจจุบัน  ไม่ใช่คนทำชั่วมากขึ้น ไม่ใช่คนทำดีน้อยลง  แต่อยู่ที่คนส่วนหนึ่งแยกแยะไม่ได้ว่าอะไรชั่วอะไรดี”   จากหนังสือคลังความสุข   อ่านข้อความนี้แล้วโดนใจเป็นอย่างยิ่ง

 

     

 

 

 

 

 

 

หมายเลขบันทึก: 558673เขียนเมื่อ 9 มกราคม 2014 13:21 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 มกราคม 2014 13:21 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท