เมื่อเรายังเด็กน้อย เรามีความฝันมากมายที่อยากเป็น , อยากจะมี และ อยากจะได้ บางคนอาจฝันว่าจะเติบโตมาเป็น ”ผู้ใหญ่ที่ดี” เป็น “คนมีคุณภาพ” และ “ทำประโยชน์ให้กับสังคมส่วนรวม “ ทำให้เราหลายๆคนตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสืออย่างเต็มใจและเต็มที่เพื่อให้ได้ผลการเรียนที่ดี เพื่อให้ตนเองได้ถึงเป้าหมายที่ฝันไว้อีกขั้น แต่ก็มีบ้างบางครั้ง ในบางคน ที่ใช้วิธีที่ผิดในการไปยังเป้าหมาย แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเราๆต้องคอยสั่งสอนและตักเตือนสิ่งที่ถูกต้องให้กับเด็กเหล่านั้น โดยทางโรงเรียนเองก็มีวิธีที่จะตอบแทนผลการเรียนที่ดีและความประพฤติที่ดีในรูปแบบที่แตกต่างกันไป เช่น อาจจะมีการมอบใบประกาศนียบัตรให้ เป็นต้น
การมอบ “ สิ่งตอบแทน “ ให้กับเด็กที่เรียนดี หรือประพฤติดี เป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าลืมเน้นย้ำ “ กระบวนการ “ ที่จะได้มาซึ่งที่ “ สิ่งตอบแทน” แทนที่เราจะสนใจแต่ “ผลลัพธ์” เพราะบางครั้ง “ ผลลัพธ์ “ อาจจะเหมือนกัน แต่ “กระบวนการ” ที่จะได้มาซึ่ง “ ผลลัพธ์ “ อาจจะแตกต่างกัน บางครั้งการตั้งกฎ และกติกาที่ดี รวมถึงการชี้แนะและเน้นย้ำ ถึงเรื่อง “ คุณธรรมและจริยธรรม “ ควบคู่กันไปด้วย จะช่วยทำให้เด็กเติบโตมาอย่างถูกต้อง , เหมาะสม และกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในที่สุด และที่สำคัญต้องให้เด็กได้เรียนรู้ว่า เมื่อเติบโตขึ้น บางครั้ง เด็กอาจจะไม่ได้รับ “สิ่งตอบแทน” ในรูปแบบที่เด็กต้องการก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็ตามต้องพยายามอธิบายให้เด็กเข้าใจถึงความเป็นจริงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อให้เด็กมีภูมิคุ้มกัน “ ความผิดหวัง “ ในสิ่งที่ตนเองไม่ได้ตามทีคาดหวังไว้
ในยุคสมัยที่ผมยังเด็ก ผมยังจำได้ดี “ ไม้เรียว “ เป็นของที่จะมาคู่กับ “ ความผิด “ เสมอ ผมไม่ได้ปฏิเสธว่า “ ไม้เรียว” เป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างสิ้นเชิง แต่ทุกครั้ง ที่มีการทำโทษเกิดขึ้น มักจะมีคำสอนก่อนถูกลงโทษเสมอ เพื่อให้ผู้ใหญ่ที่ลงโทษมั่นใจว่า อย่างน้อยที่สุดเด็กจะรู้ว่า “ สิ่งใดคือสิ่งที่ผิด“ และควรจะ “ ปรับปรุง” ตัวเองอย่างไร ในยุคปัจจุบันอาจจะไม่ได้มีการลงโทษโดย “ ไม้เรียว “ แล้ว แต่สิ่งที่ยังควรมีอยู่ ถึงแม้จะไม่มี “ ไม้เรียว “ แล้ว ก็ตามนั่นก็คือ “ คำตักเตือน ในการกระความผิดของเด็ก “ เพื่อให้เราและเด็กมั่นใจว่า ถึงแม้จะไม่มี “ ไม้เรียว “ แล้ว “ เด็กก็ยังสามารถแยกแยะ สิ่งที่ถูกและผิด ได้เป็นอย่างดี “และอย่ายอมรับในสิ่งที่เด็กทำผิด และจะทำให้เกิดแนวโน้ม ที่เด็กจะทำผิดมากขึ้น ในอนาคต เช่น เรื่องการโกหก อย่างเด็ดขาด เพราะคนเราส่วนใหญ่เริ่มทำผิดกันตั้งแต่เรื่องเล็กๆ จนใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆหากไม่มีการลงโทษหรือตักเตือน
เมื่อเด็กเติบโตมากยิ่งขึ้น ความเป็นส่วนตัวในการใช้ชีวิตก็จะน้อยลง สังเกตได้จากเมื่อเราเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย เราต้องทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆมากยิ่งขึ้น ต้องเรียนรู้ที่จะต้องใช้ชีวิตด้วยตนเองมากยิ่งขึ้นกว่าตอนเป็นเด็ก ซึ่งในระหว่างนี้เองที่หลายๆคนจะได้ เจอกับเพื่อนใหม่ที่เรียกว่า “ ความผิดหวัง” ซึ่ง ความผิดหวัง มักจะมาเยี่ยมเยียน เราเมื่อเราไม่ได้ “ สิ่งที่เราคาดหวังไว้ “ ไม่เหมือนกับตอนที่ยังเด็ก เมื่อต้องการอะไร ผู้ปกครองก็จะตามใจและหามาให้ อย่างไรก็ตามในช่วงนี้เราก็ยังค่อยๆเรียนรู้การใช้ชีวิตไปอย่างระมัดระวัง และมีภูมิต้านทาน “ ความผิดหวัง “ มากยิ่งขึ้น
และเมื่อเราเริ่มทำงานเราก็เหมือนได้อยู่อีกโลกหนึ่ง ซึ่งเป็นโลก ที่เราไม่คุ้นเคย”จากที่เราอาจเคยเป็นศูนย์กลางของโลก ในวัยเด็ก “ ปัจจุบัน เราไม่ใช่ศูนย์กลางของโลกอีกต่อไป เราเป็นเพียงแค่คนๆหนึ่งที่ต้องอยู่ในกรอบของสังคม ต้องเรียนรู้ที่จะต้องใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง ยอมรับบางสิ่งบางอย่าง ถึงแม้สิ่งนั้นอาจไม่ถูกใจเรามากนักก็ตาม บางครั้งเราอาจต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายจนเราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า เราเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่แหล่ะ คือ “ วิชาชีวิต “ ที่เราต้องเรียนรู้แบบไม่มีวันจบสิ้น
ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นที่มาของการมีตัวตน ของศัพท์ใหม่ เช่น EQ. หรือ AQ. แทนที่เราจะมุ่งเน้นแต่พียง IQ. เท่านั้น เราต้องปลูกฝังทัศคติที่ดี และสิ่งที่ถูกต้อง ให้กับเด็ก ตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่อให้เด็กมีความพร้อมที่จะเรียนรู้การใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้น มีความพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาต่างๆ อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ในยุคอนาคตการเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นกับการใช้ชีวิต แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางสิ่งที่เรายังคงควรรักษาไว้ นั่นคือ ความฝัน ที่เราจะเป็น “ คนดี ที่มีคุณภาพ ของสังคม “ อย่าปล่อยให้บางสิ่งบางอย่างมาทำให้เราต้อง เปลี่ยนแปลงตัวเอง ในทิศทางที่ไม่ดี อย่าสูญเสีย “ ตัวตน “ ที่ตนเองเคยตั้งความหวังไว้ตั้งแต่เด็กเที่จะเป็น “ คนดีของสังคม “ เป็นอันขาด
ขอบคุณครับ
น่าชื่นชมมากเลยครับ สัจธรรมหนึ่งของชีวิตมนุษยื คือ ให้รู้ว่าชีวิตนี้เกิดมาจะค้นหาความสุขให้กับตัวเองอย่างไร คนเราไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่า การมีความสุขในขณะที่ยังหายใจ ^^