"เจ็บไข้ ได้ธรรม"


              ได้อ่านบทบันทึกคุณพ.แจ่มจำรัสเรื่อง "อย่าพูด" นั้น เหมือนเป็นการสะท้อนหลายๆอย่างของโลก ชีวิต ร่างกาย และภัยของการดำรงชีพ และสัจธรรม ซึ่งผู้เขียนเองก่อนปีใหม่มีเพื่อน (ชาย) มาพักด้วย และเขาก็เป็นหวัด ไอ มีอุจจาระมูกด้วย ก็คลุกคลีด้วยกัน แต่เราก็ไม่ได้ใส่ใจนัก จากนั้น ก่อนปีใหม่ วันที่ ๒๗ ธ.ค. ๕๖ ก็เริ่มมีอาการเจ็บคอ จมูกตัน แสบจมูก จากนั้นมาก็เป็นข้ามปี ถึงปีใหม่ ไอ เสมหะ เจ็บคอ ฯ แต่ก็ไม่ยังหาย ปกติเราเป็นคนอ่อนแอ เป็นคนอุจจาระโรคซะด้วย จึงแพ้โรคง่ายๆ

              วันนี้ที่เขียนอยู่นี้ ก็ยังไม่หาย และได้เข้ามาอ่านบันทึกกัลยาณมิตร ได้ข้อคิด ข้อแย้ง สัจธรรม ในใจหลายๆ อย่าง มาโดนที่คุณมะเดื่อบอกว่า สุขภาพไม่ดี ปีนี้คงเป็นปีโรคแน่ๆ เพราะมีคนจำนวนมากเจ็บป่วย เข้าโรงพยาบาล และจึงคิดหาสาเหตุ หาผล ว่า เราเจ็บป่วยเพราะอะไร เราได้อะไรจากมัน มันสะท้อนอะไรบ้าง ซึ่งขอกล่าวเป็นลำดับดังนี้

 

               ๑) "สสารกาย" คือ ผลผลิตของโลก ซึ่งเป็นฐานรองรับในการกระทบ กระเทือนจากปรากฏการณ์ของโลก (กฏ กาล กรรม) ถ้ากายมีพื้นฐานที่ดี สมบูรณ์ดี ก็จะเป็นฐานของการดำรงอยู่บนโลกที่มีแรงเสียดทานน้อย ตรงกันข้าม หากเชื้อพ่อแม่ไม่ดี กอปรตัวเองประพฤติไม่ถูกสุขลักณะ ย่อมส่งผลต่อกายได้ เช่น เที่ยว กินดื่ม บุ่มบ่าม ผลีผลาม ใจด่วน ใจร้อน ประมาท ฯ ย่อมได้รับโทษของกรรมตน ไม่พิการ ก็เจ็บป่วย ไม่ป่วยก็สิ้นปราณ

               ฉะนั้น "กาย" คือ สรรพสิ่งของการดำเนินชีวิต ซึ่งมันจะเป็นผู้รับผลจากกรรมของเรา หากเรามีพื้นความรู้ชุดนี้ไว้ (รู้กายวิภาค) เราจะเห็นคุณค่าของชีวิตบนโลกนี้ และจะแสดงออกด้วยความเคารพกายของตนได้ แต่ถ้าไม่มีความรู้ชุดนี้ เราก็จะอยู่แบบเสี่ยงภัย รอโชค อาศัยความเชื่อว่า ไม่เป็นอะไร

               อย่างไรก็ตาม กายนั้น ก็ใช่ตัวกำหนดกรรม พฤติกรรมของเราโดยเอกเทศ ยังมีแรงผลัก แรงต้าน แรงส่ง แรงฝัน แรงจินตนาการอยู่ นั่นคือ จิตหรือสมอง ที่เรารับรู้ข้อมูลตั้งแต่เกิดหรืออาศัยแรงกระตุ้นเฉพาะหน้า เป็นตัวแปรในการแแแสดงออกด้วย ในครากายดี ใจก็จะฮึกเหิม ในยามกายแย่ ใจจะนอนคุดคู้อยู่ในกายแคบๆนั้น

               ๒) "กาลานุภาพ" คือ ชีวิตที่กำเนิดมา มีกาลเป็นตัวกำหนดให้กายขับเคลื่อน เปลี่ยนไป เรียกว่า เจริญเติบโต ในระหว่างเติบโตนี้ เราก็ถูกกาลเวลา บีบคั้น ผลักดันให้รับผล แล้วแสดงออกตามกาล เช่น เช้ามาก็ตื่น กลางวันทำงาน เย็นค่ำเราก็เข้านอน พอถึงฤดูกาลต่างๆ เราก็ดำเนินไปตามมัน ทำไร่ ไถนา ทำธุกิจ กิจการต่างๆ มีตามฤดูกาล ในแต่ละวัน แต่ละปี แต่ละฤดูกาล คือ เครื่องทดสอบ ความแข็งแรง การปรับตัว ให้เป็นไปตามกฏ กติกาและกาล ของโลก

               เมื่อร่างกายเติบโต มันก็ยังคงดำเนินไปตามเงื่อนไขของกาลเวลา จนกระทั่งเราแก่ชรา เราจะเริ่มรู้สึกว่า กายเริ่มอ่อนแรงลง เมื่อยล้าง่าย โรคภัยต่างๆ ตามมา เนื่องจากว่า กายมีเงื่อนไขของกาลเวลาเป็นตัวกำหนดให้เราเป็นไปส่วนหนึ่ง เราจึงกำหนดว่า ใครดำรงอยู่บนโลกยาวนานอย่างไร มีอายุกี่ปี กี่ฝนแล้วนั่นเอง

               ๓) "พยาธิภัย" คือ ตัวแทรกแซง แต่งเติม ให้เราแปรผัน ให้เราผิดปกติทางกาย อันที่จริง โรคคือ เครื่องหมายของการต่อสู้ แต่ถ้ามันมากไปหรือเข้มแข็งกว่ากาย ร่างกายเราก็พ่ายแพ้มัน ในโลกนี้ มีโรคมากมาย ที่เรามองไม่เห็น มันแอบอยู่ทุกๆที่ ทั้งที่แจ้ง ที่ลับ ในตัวเรา ในอวกาศ ฯ เรือนกายของเรา คือ เรือนอาศัยของมันที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด แม้ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันอยู่ก็ตาม โรคต่างๆ ก็รู้จักพัฒนาเอาตัวรอดเช่นกัน 

               ฉะนั้น ชีวิตเกิดมาล้วนแต่ล้อมรอบไปด้วยโรคร้ายนานา ทำให้เราต้องหาทางป้องกันอยู่เสมอ คือ ออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษต่อกาย และไม่แสดงออกในทางที่สุ่มเสี่ยงต่อโรคต่างๆ โรคคือ มหันตภัยเงียบที่คร่าชีวิตสัตว์โลกมานานแสนนาน มนุษย์จึงต้องศึกษาหาความรู้ การรักษาอยู่ตลอดเวลา

              ๔) "สิ่งแวดล้อม" คือ สภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ กายเรา เช่น ที่บ้าน ห้องนอน ที่อยู่อาศัย ที่ทำงาน ที่รถ ที่สาธารณะ ห้องน้ำ อากาศ ควันพิษ สารเคมี มลภาวะ ฯ การที่เราอยู่จำเจ ซ้ำซาก สัมผัส อยู่ประจำกับสภาพแวดล้อมเหล่านี้ ย่อมมีโอกาสเสี่ยงที่จะได้โรค ได้เชื้อมาสู่กายได้ เช่น รถเมล์ที่เรานั่ง คิดดูสิว่า ราวที่เราจับขึ้น ผ่านมากี่มือ เบาะที่เรานั่งผ่านมากี่ก้น แทกซี่ที่เรานั่งผ่านก้นใครมาบ้าง ห้องน้ำที่เราเข้าผ่านใครบ้าง เราเดินในถนนรถวิ่ง ควันพิษเหล่านั้น ก็เกาะตามผม ตามเสื้อเราทั้งสิ้น

              เมื่อเรากลับบ้าน ถอดเสื้อผ้าทิ้งรวมไว้ โรคต่างๆ ก็ถือโอกาสย้ายกันไปตามบ้าน ห้องนอน ไม่รวมในบ้านเราที่เป็นแหล่งสะสมไรฝุ่น เชื้อรา จากสุนัข แมว สัตว์ในบ้าน ยุง แมลงต่างๆ ซึ่งก็ล้วนมีผลต่อสุขภาพทั้งสิ้น นี่ดูเหมือนว่า เราถูกโอบล้อมไปด้วยโรครอบตัวจริงๆ

              ๕) "ความรู้ หลักการ" คือ ความรู้ชุดขั้นพื้นฐานที่เราจะต้องเรียน ศึกษา เมื่อก่อนเด็กต้องได้เรียนวิชา สุขศึกษา ปัจจุบันไม่ทราบมีหรือ ต้องถามผอ.ชยันต์ เพรชศรีจันทร์ดู ความรู้ชุดนี้ เป็นหลักการเบื้องต้น ในการหาความรู้ใส่ตัว เพื่อแสดงพฤติกรรม ที่เหมาะสมในการดำรงชีวิต หาไม่แล้ว เราก็จะอ่อนแอ แบบไร้เดียงสา สู้สัตว์ป่าหรือสัตว์บ้านก็ไม่ได้ ที่มันรู้จักการเอาตัวรอดได้ ส่วนมนุษย์เรากำลังขาดสัญชาตญาณในการเอาตัวรอด ยิ่งคนในเมือง ยิ่งขาดกระบวนการนี้ เพราะมนุษย์อ่อนแอ ที่พึ่งพาแต่เทคโนโลยี จนลืมสัญชาตญาณตน

              เดี๋ยวนี้ เด็กยุคใหม่ ไม่รู้สรีระศาสตร์ตนเอง ร่างกายตนเอง กลไกต่างๆ เพราะมีเครื่องอำนวยให้ไม่ต้องคิด แต่มีคนชงให้เรียบร้อย ซึ่งยามอ่อนแอลง ก็จะเข้าโรงบาลหรือหายากินหรือวิ่งไปหาหมอ ซึ่งดูภาพรวมก็น่าจะดี แต่อีกมุมหนึ่ง พวกเรากลับอ่อนแอง่าย ไม่ทน ไม่ดื้อต่อโรค ส่วนชาวบ้านที่ทำงาน อยู่กับแดด สายลม ดินโคลน นั่นคือ ภูมิคุ้นกันอย่างหนึ่ง

             ความรู้ชุดนี้ เราต้องได้รับการสอน ชี้แนะ เพราะเราไม่ได้อยู่แบบป่าเขาอีกต่อไป เมื่อมาอยู่ในเมืองก็ย่อมมีความรู้ชุดใหม่ในการเอาตัวรอด หรือป้องกันตัวเอง วิทยาการต่างๆ จึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง 

          ๖) "สัจธรรม" คือ ความจริง ที่สายตาบอกไม่ได้ว่า จริง มันเป็นกฎที่ระบบธรรมชาติสร้างสรรค์มาให้โลก ที่กำหนดให้สรรพสิ่งดำเนินไปเช่นนั้น (ตถาตา) ทุกสรรพสิ่ง ล้วนแต่ถูกฎความจริงให้เป็นไปทั้งสิ้น อะไรคือ กฎความจริง การเกิด การเจริญเติบโต การเจ็บป่วย ความตาย การเปลี่ยนแปลง การไม่มีอะไรถาวรคงทน กฎนิยามต่างๆ ฯ เหล่านี้คือ กฎที่เป็นเหมือนโครงกระดูกของชีวิต เป็นเหมือนนโยบายถาวรของสรรพสิ่ง ไม่มีสิ่งไหนรอดพ้นได้

              กฎเหล่านี้เป็นกฎที่แย้งความรู้สึกของเรา หากเราถอนความรู้สึกตัวตนออก ก็จะได้กฎที่ตายตัวนี้ หากเราถอนไม่ได้ เราก็กลายเป็นผู้แบกกฎหรือแบกโลกไว้คนเดียว แม้พระพุทธศาสนาจะสอนเป็นพื้นฐานไว้ให้เราก็ตาม เดิมหลักนี้มีอยู่แล้ว ตั้งแต่โลกกำเนิด เราก็ได้อานิสงส์ไปด้วย เช่น ทุกข์ สุข เจ็บป่วย ตาย ฯ ซึ่งเป็นกฎที่ซุกอยู่ใจกาย ในใจเรานี่เอง เรียกว่า "สัจธรรม"

             เมื่อร่างกายเราเกิดวิกฤตหรือเจ็บป่วยมา เราย่อมเห็นความอ่อนแอของกาย และความจริงที่เป็นสมบัติของเรา แต่ถ้าเรามุ่งมั่นที่จะกำจัด ถอนรากถอนโคนให้มันหายไป เพื่อให้เป็นปกติ หลักจากนั้น เราก็สนุกสนาน ใช้ชวิตตามใจปรารถนาต่อไป เราจะคิดแค่กรอบแคบๆ ทางที่จะเอื้อให้เรารู้กฎนี้ สัจธรรม อย่างแน่นหนัก ถาวร คือ รู้ลุ่มลึกในกฎกาย เข้าใจสัจธรรมของชีวิต ในยามเจ็บป่วย เพราะนั่นคือ สิ่งเตือนใจหรือครูอาจารย์ที่สอนเราให้เข้าใจความจริงของสังขารขันธ์ เรียกว่า "เจ็บไข้ได้ธรรมด้วย"

--------------------<>--------------------

คำสำคัญ (Tags): #เจ็บไข้#ได้ธรรม
หมายเลขบันทึก: 558164เขียนเมื่อ 4 มกราคม 2014 08:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มกราคม 2014 20:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สวัสดีปีใหม่จ้ะคุณ ส. ต้องขอแก้ข่าวนิดนะจ๊ะ ที่บอกว่า ได้อ่านบันทึกของคุณมะเดื่อเรื่อง อย่าพูด นั้น..

คงไม่ใช่จ้ะ ดูเหมือนว่า จะเป็นบัีนทึกของ คุณพ.พิชัย นะจ๊ะ แต่ถ้าเป็น คอมเม้นท์ ล่ะก็ใช่จ้ะ ...

ถ้าสุขภาพอ่อนแอ เป็นหวัดง่าย ขอให้ลองดื่มน้ำผึ้งแท้เพียว ๆ ไม่ต้องผสมอะไร วันละ 1 ช้อน ดูนะจ๊ะ

ดืมทุกวัน ต่อเนื่องกันไป ภูมิแพ้จะค่อยจางหายไปจ้ะ ขอขุณที่แวะไปทักทายนะจ๊ะ

ขออภัยคุณมะเดื่อครับ.. เป็นของคุณ พ. แจ่มจำรัสจริงๆ ครับ ขอบคุณครับ

ขอบคุณครับคุณ ส. ที่ติดตามอ่านบันทึก

ความเป็นไปของชีวิตในปัจจุบันขณะ น่าสนใจใฝ่เรียนรู้ รับรู้ยิ่งนักแล...ดั่งที่ท่านเขียนไว้ว่า

มันเป็นกฎที่ระบบธรรมชาติสร้างสรรค์มาให้โลก ที่กำหนดให้สรรพสิ่งดำเนินไปเช่นนั้น (ตถาตา) ทุกสรรพสิ่ง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท