เหลียวหลังทบทวนตนเอง ปี 2013


 

 

เหลียวหลังทบทวนตนเอง ปี 2013

 

“ทำวันนี้ให้ดีกว่าวันวาน” ผมใช้ประโยคนี้ตั้งแต่เริ่มทำงานรับราชการ จนถึงวันนี้ แล้วยังนำไปใช้เสริมแรงให้กำลังใจกับเพื่อนร่วมงาน ญาติมิตรเพื่อนฝูงที่สนิทชิดเชื้อ ยามที่ทดท้อ เสียขวัญ รวมทั้งใช้เป็นคำอวยพร อบรม ตักเตือน ลูกหลาน    คนรุ่นใหม่ที่เรียกเราว่า “พ่อ... ลุง... ปู่ ...ตา...” ด้วยหวังให้พวกเขาตระหนักไม่นิ่งดูดายต่อการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้ชีวิตนี้มีคุณค่าเป็นพลังของสังคม ชาติบ้านเมือง บ่อยครั้งที่ผมรื้อไดอารีเก่าๆ ออกมาอ่านแล้วนึกขำแกมสมเพชตัวเองที่คิดอะไรเชยๆ ทำอะไรเปิ่นๆ จนเสียโอกาสทองอย่างไม่น่าให้อภัย  แต่บางช่วงเวลาก็อยากกราบตัวเองสักพันครั้ง ที่ได้ค้นพบจุดเปลี่ยนของชีวิตเข้าโดยบังเอิญ จนพลิกสถานการณ์จากดำเป็นขาวได้อย่างน่าอัศจรรย์

 วงเวียนชีวิตในรอบปีที่ผ่านมาเป็นหนึ่งไดอารีที่บันทึกถึงความคุ้มค่าของการมีชีวิตอยู่ เพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว และเพื่อสังคม ซึ่งประเมินได้จากตาชั่งดุลย์ความสุขความทุกข์ของตัวเองและผู้คนรอบข้าง ผมจึงได้รับรู้ถึงผลสำเร็จจากงานที่ทำ...ดังงานวัดผลและประเมินการจัดการศึกษา ที่เคยแก้ปัญหาอย่างหนักหน่วงในกระบวนการจัดสอบระดับชาติ และนำข้อมูลไปใช้พัฒนาเด็กในชั้นเรียนในปีก่อนๆ ก็ถึงจุดลงตัว อาศัยเพื่อนคู่คิดมิตรคู่งานที่รู้ใจหนึ่งคน เรียนรู้บทเรียนที่ผ่านมา วางแผนนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้จัดการข้อมูล ใช้ความเป็นกัลยาณมิตรดึงบุคลากรในสำนักงานทุกฝ่ายมาช่วยลงแขกทำงานศูนย์สอบ ...งานก็สำเร็จลุล่วง เรียบร้อย ทันเวลา..ได้ใจได้งาน..ได้พี่ได้น้อง... ส่วนงานนิเทศระบบเครือข่ายโรงเรียนขนาดเล็กที่ลองผิดลองถูกมาหลายปีทั้งวิจัย ทั้งพัฒนานวัตกรรม ทั้งพัฒนาระบบ  ก็ถึงจุดลงตัวเช่นเดียวกัน...เมื่อครูเก่ง ผู้บริหารเก่ง ตระหนักในการดำรงอยู่ด้วยคุณภาพได้รับการเชิญชวนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นทีมงานในระบบเครือข่ายอย่างเต็มใจสมัครใจ ในบรรยากาศของพี่น้องที่ต้องช่วยเหลือพึ่งพากัน ทำให้ปัญหาเรื่องครูไม่ครบชั้น และความไม่แน่นอนของนโยบายส่วนกลาง ไม่ใช่ปัญหาของพวกเราอีกต่อไป แล้วยังเกิดโรงเรียนขนาดเล็กคุณภาพที่ได้รับการประกันคุณภาพจากชุมชนเกิดขึ้นหลายแห่ง...ทุกคนภูมิใจร่วมกัน...จุดลงตัวทั้งสองเรื่อง เป็นธงที่ผมตั้งไว้เมื่อ 2 ปีก่อน ดังนั้น ผมควรอ้างสิทธิ์ได้ว่า เป็นสิ่งที่ตนเองทำได้สำเร็จตามหวัง

 

 อย่างไรก็ตาม แม้พวกเราจะมีความพยายามปรับปรุงพัฒนางานในหน้าที่อย่างทุ่มเท จนมีความเชื่อมั่นว่า คุณภาพเด็กอันเป็นปลายทางแห่งคุณภาพการจัดการศึกษาในระดับเขตพื้นที่ จะต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเรางุนงงไม่น้อย ก็คือผลการทดสอบระดับชาติของนักเรียนครั้งล่าสุด อันเป็นตัวชี้วัดหนึ่งของคุณภาพเด็ก กลับมีค่าเฉลี่ยลดลง แม้จะเป็นการลดลงเป็นค่าเฉลี่ยเศษทศนิยม ก็ยังสะเทือนความรู้สึกถึงความไม่คุ้มค่ากับความเพียรพยายามที่ได้ลงทุนไป ได้แต่พากันทำตาปริบๆ หาคำตอบจากโจทย์ที่ว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?? ...นโยบายห้องสอบสีขาวที่เข้มงวด???....ฟันเฟืองบางตัวขัดข้องในกลไลขับเคลื่อนการจัดการศึกษา???....มีปัญหาบางเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุม???.... ถือเป็นบทเรียนที่ต้องแก้ไข  แต่ตอนนี้ต้องปลงใจยอมรับว่า ไปไม่ถึงจุดที่ต้องการ จึงเป็น  สิ่งที่ตนเองทำไม่สำเร็จได้ตามหวัง

 ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยกล่าวไว้ว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม” และ “ทำงานด้วยจิตว่าง” ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน จึงลองนำมาขบคิด พิจารณาปรับปรุงแก้ไขตนเอง ดังนั้นถ้าตั้งโจทย์ว่า อยากจะปรับปรุงอะไรในชีวิตให้ดีขึ้นอีก??? เห็นทีจะต้องตอบแบบอิงหลักความจริงนี้ว่า “อยากทำใจให้คลายติดยึด อยากประพฤติทางสายกลาง  อยากปล่อยวางอคติสิ่งไร้สาระ  อยากพบปะเหล่าบัณฑิต  อยากมีชีวิตที่ไร้โรค อยากบริโภคข้อมูลหรือองค์ความรู้ใหม่ และอยากเอาชนะใจของตนเอง” เพียงเท่านี้ก็คงเพียงพอที่จะทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ มีความสุข สนุกกับงาน จิตเบิกบานด้วยหลักธรรมะ โดยมีความหวังอยู่ลึกๆว่า “สิ่งที่เราทำอยู่ในวันนี้ อาจได้รับการยอมรับว่า เป็นผลสำเร็จที่ยั่งยืน ในวันข้างหน้า” ก็ได้

 

หมายเลขบันทึก: 557656เขียนเมื่อ 29 ธันวาคม 2013 19:39 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 ธันวาคม 2013 19:52 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

เป็นเพืือนกับปัจจุบัน และเป็นมิตรกับอนาคตค่ะ

เพียงทำทุกวันให้ดีที่สุด ผลเป็นอย่างไร ค่อยว่ากันอีกทีค่ะ

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท