นวนิยาย..ร้ายสาระ
เกศินี จุฑาวิจิตร
ชุมชน 100 เล่มเกวียนเปลี่ยนชีวิต
ฉันนั่งประมวลบันทึกที่ใช้คำว่า "หนังสือเปลี่ยนชีวิต" และ "หนังสือนี้เพื่อเธอ" ในรอบสองเดือนที่ผ่านมา แล้วก็พบว่าแต่ละบันทึกล้วนมีคุณค่าในแง่มุมที่แตกต่างกันไป แต่ทุกบันทึกได้จุดประกาย เชิญชวนและเร่งเร้าให้ฉันอยากเดินเข้าไปใน "สวนอักษร" เหล่านั้นเสียจริงๆ
บันทึกส่วนใหญ่ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการพัฒนาตัวตน ชีวิตด้านในและจิตวิญญาณประกอบกับการใช้ “พุทธธรรม” เป็นเครื่องนำทาง อีกส่วนหนึ่งเป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับเด็กทั้งในด้านการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม และการสร้างเสริมจินตนาการ
แต่ในขณะเดียวกัน ฉันก็พบว่าบางสิ่งบางอย่างหายไป นั่นดูเหมือนจะเป็นหนังสือประเภทนวนิยายและเรื่องสั้น
... ฤาหนังสือประเภทนี้ คงจะไร้สาระเกินไป …
สำหรับฉัน...แม้ว่านวนิยายและเรื่องสั้นจะเป็น "เรื่องแต่ง" ที่แฝงไว้ด้วย “จินตนาการ” หากก็ไม่ได้หมายความว่า นั่นเป็นเรื่องเล่าที่ไร้สาระและโกหก หลอกลวงหรือไม่จริงอย่างสิ้นเชิง เพราะนักเขียนแต่ละคนต่างก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของสังคม จินตนาการของเขา คือ การเล่นกับความเป็นจริงของสังคมด้วยการตั้งคำถามประเภท What if.. หรือ If only..
และตัวละครของพวกเขาก็คือ คนตัวเล็กๆ คนหนึ่งซึ่งมีวิถีชีวิตแบบธรรมดา ๆ เรื่องราวของคนเหล่านี้ไม่เคยถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของทางการ เพราะการบันทึกประวัติศาสตร์ของทางการนั้น เป็นแต่เพียงการบันทึกเรื่องราว เหตุการณ์สำคัญ และบุคคลสำคัญ โดยมักจะไม่ปรากฏเรื่องของคนธรรมดาๆ ที่ถูกกระทบจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์นั้นๆ ไม่มีรายละเอียดปลีกย่อย ไม่มีทั้งอารมณ์ความรู้สึกของคนในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์แห่งยุคสมัย แต่สิ่งเหล่านี้ปรากฏอยู่ในวรรณกรรม
ดังนั้นในแง่มุมที่สำคัญแง่มุมหนึ่ง นักเขียนนวนิยายและเรื่องสั้น จึงเป็นผู้บันทึกเหตุการณ์ ชีวิตและความเป็นไปในสังคม
ส่วน บทบาทของนักเขียน ก็คือ การบันทึกประวัติศาสตร์ที่ว่าด้วยวิถีชีวิตและความรู้สึกนึกคิดของบุคคลนั่นเอง
ด้วยความที่นวนิยายและเรื่องสั้นเป็นเรื่องสมมติหรือเรื่องที่มาจากจินตนาการของผู้เขียนเป็นสำคัญ จึงทำให้ในสายตาของคนทั่วไป นวนิยายและเรื่องสั้นเป็นเพียงงานเขียนที่ไม่ได้มีคุณค่าใดๆ มากไปกว่าการสร้างความเพลิดเพลินให้แก่ผู้อ่าน แต่ถ้าศึกษาย้อนอดีตโดยพิจารณาร่วมกับบริบททางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองแล้ว จะพบว่างานเขียนประเภทนี้ “ซ่อน” สิ่งต่างๆ ไว้มากมาย จนกล่าวได้ว่านอกจากคุณค่าในด้านความบันเทิงแล้ว นวนิยายและเรื่องสั้นยังมีคุณค่าต่อสังคมในด้านการบันทึกความทรงจำอีกด้วย
นวนิยายและเรื่องสั้น เปรียบได้กับ “กระจกเงา” ที่สะท้อนภาพสังคมจากสายตาและมุมมองของนักเขียน อันหมายความว่า ภาพสะท้อนที่ได้จากกระจกนี้มีทั้งส่วนที่เป็น “ข้อเท็จจริง”และส่วนที่เป็น “การตีความ” ของผู้เขียนเอง ในการอ่านนวนิยายหรือเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งๆ เราจะเห็นเรื่องราวต่างๆ มากมายทั้งวิถีการดำเนินชีวิต อาชีพ กิจกรรม เทคโนโลยี ความเชื่อ ระบบคุณค่าที่บุคคลยึดถือ ที่อยู่อาศัย สุขภาพ สถานภาพทางเพศของผู้หญิง ฯลฯ และเมื่อวันหนึ่งที่วิถีชีวิตและความคิดของบุคคลเปลี่ยนแปลงและผันแปรไปตามกาลเวลา อดีตของมนุษยชาติก็ยังคงอยู่จากการที่ถูกบันทึกไว้อย่างไม่เป็นทางการนี้เอง
เช่น ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไทยครั้งแรก เมื่อประมาณทศวรรษ 2470 ศรีอิสรา ได้เขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า วิธีดุลยภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่มีแก่นเรื่องเกี่ยวกับความเดือดร้อนของข้าราชการและประชาชนทั่วไปจากนโยบายดุลยภาพของรัฐบาล โดยใช้ท่วงทำนองการเขียนแบบเสียดสี เย้ยหยันและชวนหัว แต่ก็ชี้ให้เห็นปัญหาที่ชัดเจน
อันนับได้ว่าเป็นตัวอย่างหนึ่งของคุณค่าของวรรณกรรม ในฐานะที่เป็น “ผลผลิตทางสังคมและวัฒนธรรม” ซึ่งถ้าอ่านอย่างพินิจและวิเคราะห์ ก็จะพบว่า
.... นวนิยายและเรื่องสั้น นอกจากจะไม่ได้ไร้สาระแล้ว แต่ยังแฝงไว้ด้วย "สาระอย่างร้ายกาจ" เลยทีเดียว ... เนื่องจากเป็นสาระที่ถูก “ซ่อน” ไว้อย่างบรรจง
ใครมีนวนิยายหรือเรื่องสั้นในดวงใจ อย่าลืม "บันทึก" มาแลกเปลี่ยนกันด้วยนะคะ และอย่าลืมคำสำคัญ "หนังสือเปลี่ยนชีวิต" ด้วยค่ะ
ชอบอ่านทั้งเรื่องสั้นและนวนิยาย
สวัสดีปีใหม่ครับอาจารย์
ปกติจะชอบเรื่องสั้นมากกว่านวนิยาย ด้วยความที่ใช้เวลาน้อยกว่าแต่จินตนาการมากกว่า
หลังๆมาชอบอ่านนวนิยายมากขึ้น เพราะชอบรายละเอียดที่มีมากกว่าเรื่องสั้นครับ
ชอบครับผม ถ้าเป็นนักเขียนไทยจะชอบอ่านเรื่องสั้นเป็นพิเศษ มือเรื่องสั้นที่เก่งคนหนึ่งของเมืองไทยคือ กนกพงษ์ แห่งหุบเขาฝนโปรยไพร่ ครับ ซึ่งตอนนี้เหลือแต่หุบเขากับสายฝน ส่วนกนกพงษ์ ไม่อยู่แล้วครับ ...