“มาหย่างนำเฮ็ดหยัง บอกว่ามันฮ้อน มันเมื่อย มาหย่างนำอยู่ได้” ไม่มีเสียงตอบจากผู้หญิงตัวน้อยๆ “เพลี๊ยะ ๆๆ” เสียงฝ่ามือที่กระทบแก้มสะโพก 3 ครั้ง สอดประสานกับเสียงร้องไห้ของเด็กหญิงน้อย ที่เสียดแทงหัวใจของชายผู้ลงมือจนน้ำตาของชายดังกล่าวร่วงหล่นมาอาบสองแก้ม พร้อมๆกับความรู้สึกผิดได้เสียดแทงหัวใจเขาอย่างสุดซึ้ง ตอนนั้นฉันอายุได้ประมาณ 4 ขวบ ปี ที่บ้านกำลังจะทำบ้านหลังใหม่ พ่อต้องลงมือเลื่อยไม้เอง แล้วนำไม้ไปแช่ไว้ในหนองน้ำเพื่อให้ไม้มีความคงทน เวลาที่จะนำไม้มาสร้างบ้าน พ่อต้องไปแบกไม้มาจากน้ำเป็นระยะทางหลายสิบกิโลเมตร เพื่อมาประกอบเป็นบ้าน ฉันเห็นพ่อแบกไม้ที่หนักเดินตากแดด เหงื่อออกท่วมตัว ในตอนนั้นฉันคิดแค่ว่าอยากตามไปดูแลพ่อ อย่างน้อยถ้าพ่อเป็นลมหรือเหนื่อยมาก ฉันจะได้เรียกคนมาช่วยพ่อได้ จึงเดินตามพ่อทุกเที่ยวที่พ่อเดินแบกไม้ พ่อเดิน 10 รอบ ฉันก็เดินตาม 10 รอบ ใครจะรู้ว่าคนสองคนที่เดินตามกันจะมีความคิดและความรู้สึกที่แตกต่างกัน พ่อคงไม่ต้องการให้ลูกมาลำบากลำบนกับท่าน หลังจากพ่อตีดิฉันเสร็จ แม่เอายาหม่องมาทาที่ขาให้ หลังจากวันนั้นมา พ่อไม่เคยตีฉันอีกเลยจนถึงทุกวันนี้
ชีวิตของลูกเกษตรกร อาชีพหลักคือการทำนา พ่อต้องทำงานหนักมาก ตื่นตั้งแต่ตี 4-5 เพื่อมาปลุกฉันและพี่ชาย ให้ไปนากับพ่อ ทุกๆวันพ่อจะแบกคันไถจูงควาย ฉันกับพี่ชายเดินตามหลังพ่อเพื่อไปนา บางครั้งฉันยังหลับตาเดินเพราะยังรู้สึกว่าง่วงนอนอยู่ พอถึงที่นาพ่อจะไถนาได้ประมาณ 1-2 ช่องคันไถ ฉันกับพี่ชาย ต่างคนต่างก้มหน้าก้มตาดำนา ตามรอยไถของพ่อ เป็นอย่างนี้ทุกเช้าก่อนไปโรงเรียน ถ้าเป็นเสาร์- อาทิตย์ หรือ ช่วงปิดเทอมก็จะดำนาทั้งวัน ฉันกับพี่ชายดำนาเป็นตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 ส่วนแม่จะเป็นคนคอยทำอาหาร ไว้ให้เราทานกัน แม่จะมาช่วยพ่อบ้างหลังทานข้าวเช้าแล้ว ส่วนพ่อไถนาไว้ดำในวันนั้น วันละ 4-5 งาน จึงจะลงมาช่วยดำนา พ่อเป็นคนดำนาเร็วมาก ถ้าพ่อมาช่วยดำสักพักก็เสร็จ หลังจากทานอาหารกลางวันแล้ว พ่อจะพาไปถอนกล้า เพื่อเอาไว้ดำวันพรุ่งนี้ “อีพ่อ ข่อยมัดกล้าบ่เป็นได๋” “ถอนแล้วกะกองไว้ เดี๋ยวพ่อสิมัดให้” พ่อพูดกับฉันและพี่ชาย แสงตะวันลับขอบฟ้าจึงจะเป็นเวลาที่พ่อพากลับบ้าน โดยพ่อเดินแบกคันไถและจูงควาย ส่วนพวกเราเดินตาม เป็นอย่างนี้ทุกวัน ไม่เคยได้ยินพ่อบ่นว่าเหนื่อยสักคำ
ในช่วงวิกฤตของครอบครัว ไม่มีเงินทองมาเกื้อหนุน แถมต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากเพื่อรักษาตาที่ป่วยเป็นมะเร็งตับอยู่โรงพยาบาลสรรพสิทธิ์ ฉันกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ส่วนพี่ชายเรียนอยู่ประถมศึกษา 5 ส่วนน้องสาวเรียนอยู่ประถมศึกษา 2 วันนั้นในหมู่บ้านเขาล้มวัว แล้วตกพูดกัน( แบ่งสันปันส่วน ) พูดละ 100 บาท พ่อถามแม่ว่าอยากกินเนื้อวัวไหม? แม่บอกว่าอยากกินแต่ทั้งบ้านเรามีเงินแค่ 15 บาท แล้วพ่อก็หันมาพูดกับลูกๆพร้อมรอยยิ้มว่า “ ต้มหน่อไม้กับแจ่ว ของเฮาแซบกว่าก้อยงัวอีกน้อ” คำพูดของพ่อฉันรับรู้ได้ว่ามันหมายถึงอะไร และฉันก็เข้าใจพ่อ
“ พ่อกินได่ ลูกเทิ่งเบิ่ดสู่คนกะต้องกินได่” พ่อกำลังสอนฉัน พี่ชาย และน้องสาว ไห้กินน้ำพริกกับผักสะเดา น้ำพริกพอกินได้ เพราะเคยกิน แต่เป็นครั้งแรกที่หัดกินผักสะเดา ซึ่งมีความขมมาก ตอนแรกก็ไม่ได้อยากกิน ถามตัวเองว่า ทำไมเราต้องกิน แต่ในเมื่อพ่อกินได้ ทำไมเราจะกินไม่ได้ จนในกระทั่ง ทุกวันนี้ สะเดาเป็นผักโปรดของฉันไปแล้ว ถ้ากินลาบปลาแล้วไม่มีผักสะเดา เหมือนกับอาบน้ำแบบไม่ได้แก้ผ้า
“ เจ้าคือตึกได้โตใหญ่แท้” ชาวบ้านมามุงดูปลาที่ทอดแห วันนั้นเป็นวันลงปลา ( ภาษาไทยไม่ทราบ ) ชาวบ้านทุกหมู่บ้านในอำเภอโนนคูณ จะมาลงปลาที่ทดใหญ่(ฝายน้ำล้น)บ้านหนองมะเกลือ ค่าบัตรลงปลา บัตรละ 50 บาท ใครทอดแหได้มากเท่าไรก็ได้ เท่าที่จะทอดได้ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า จนถึง 5 โมงเย็น ถ้าใครที่จะส่งปลาที่ตนเองทอดได้ เข้าประกวดจะมีรางวัลให้ พ่อส่งปลาตัวใหญ่เข้าประกวด ปรากฏว่าพ่อได้รับรางวัลที่ 1 เนื่องจากทอดได้ปลาที่มีน้ำหนักมากที่สุด ปลาตัวนั้นเป็นปลาจีน น้ำหนักตัว 11 กิโลกรัม “พ่อฉันเป็นฮีโร่” ฉันคิดในใจ และแอบภาคภูมิใจในความสามารถของพ่อเป็นอย่างยิ่ง
“ มึงอยากเป็นหยั่งมึงเฮ็ดเอาโลด” พ่อพูดกับฉันขณะที่มาส่งฉันที่สถานีรถไฟกันทรารมณ์พร้อมกับข้าวสาร 1 กระสอบ ฉันเรียนจบมัธยมศึกษาปี่ที่ 6 ที่โรงเรียนกันทรารมณ์ ฉันต้องการเรียนต่อเพื่อเป็นนางพยาบาล วิชาชีพพยาบาลเป็นวิชาชีพที่ฉันใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นฉันอายุ 18 ปี อาศัยอยู่กับพ่อและแม่มาโดยตลอด ไม่เคยออกจากบ้าน ฉันรู้สึกกลัวและว้าเหว่มาก ที่ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ คนเดียวแต่ความใฝ่ฝันและความมุ่งมั่นของฉัน มันอยู่เหนือความกลัวทั้งหมด พอรถไฟถึงหัวลำโพง ฉันเดินแบกข้าวสารขึ้นรถเมล์สาย 7 ไปลงที่สะพานพุทธ ฉันแบกกระสอบข้าวสารเดินหาบ้านลุง ฉันจำได้ว่าบ้านลุงอยู่ติดกับตลาด เพราะเคยมากับพ่อสมัยเด็ก เดินไปตามตลาด ลองถามแม่ค้าว่าบ้านลุงอยู่ที่ไหน โชคดีมากที่แม่ค้ารู้จักบ้านลุง หลังจากนั้นฉันตระเวนสอบ ทุกที่ที่รับสมัครเรียนต่อพยาบาล จนกระทั่งฉันสอบได้ และได้ทุนเรียนพยาบาลของมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ขอบคุณชีวิต เลือดเนื้อ และ วิญญาณ ที่พ่อให้กับฉันมา ทำให้ฉันคิดดี รักดี และทำดี จนประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้
“ พ่อมึงเป็นแฮง ส่งโตไปโรงบาลใหญ่ มาเบิ่งเอาเด้อ” ฉันตกใจเป็นอย่างมาก ก้าวเท้าไม่ออก พ่อเคยพูดกับฉันว่าจะมีอายุ อยู่แค่ 60 ปีก็พอ วันนั้นพ่ออายุครบ 60 ปีพอดี อนิจจา ฉันนั่งสวดมนต์
“ ไม่นะ ไม่นะ ไม่ใช่” เสียงฉันตะโกนก้องอยู่ในขั้วหัวใจ ฉันตั้งสติได้โทรศัพท์สอบถามอาการของพ่อกับเพื่อนที่เป็นพยาบาลอยู่โรงพยาบาลโนนคูณ และลาหยุดงานได้ 4 วัน ซื้อตั๋วเครื่องบินมาลงที่สนามบินอุบลราชธานี พ่อนอนรักษาตัวอยู่ในห้อง ไอ ซี ยู โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี พ่อเป็นโรคหัวใจขาดเลือด มีเส้นเลือดหัวใจตีบ 2 เส้น พ่อนอนสังเกตอาการอยู่ 2 วัน อาการดีขึ้น แพทย์จึงพิจารณาทำผ่าตัด ใส่เส้นลวดถ่างเส้นเลือดหัวใจ ไว้ 2 เส้น กลับออกจากห้องผ่าตัด พักฟื้นที่ห้อง ไอ ซี ยู ต่อ ฉันเฝ้าดูอาการป่วยของพ่อจนอาการคงที่ และครบวันลาหยุดงาน 4 วัน ฉันจึงเดินทางกลับไปทำงานที่จังหวัดระยอง ในใจฉันอยากดูแลพ่อต่อจนพ่อกลับบ้าน แต่ฉันทำไม่ได้ พ่อนอนรักษาตัวอยู่ห้อง ไอ ซี ยู 1 สัปดาห์ และอีก 1 สัปดาห์ย้ายมาอยู่ห้องผู้ป่วยทั่วไป จึงได้กลับบ้าน ฉันรู้อยู่เต็มอกว่า อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง หลังผ่าตัดหัวใจ ฉันโทรศัพท์สอบถามอาการป่วยของพ่อทุกวัน อยากมาอยู่กับพ่อใจจะขาด แต่ด้วยความจำเป็นหลายประการ จึงไม่สามารถกลับบ้านมาดูแลพ่อได้
“ พ่อมึงไปนอนโรงบาลอีกแล้ว หมอสิส่งโรงบาลใหญ่เด้อ” แม่โทรศัพท์ไปบอกฉัน ช่วงนั้นประมาณต้นเดือนเมษายน ปี 2553 ดิฉันลางานได้ไม่เกิน 4 วัน ฉันจึงลาเต็มที่ 4 วัน เพื่อมาดูแลพ่อ “โอ๊ย 5 ปี แล้วหรือ ที่เราไม่ได้มาดูแลพ่อขณะที่พ่อป่วย” หมอเคยบอกฉันว่า หลังจากผ่าตัดไปแล้ว 5 ปี ถ้าต้องผ่าตัดในรอบที่ 2 จะมีความเสี่ยงมาก “ ไม่ต้องห่วงพ่อหรอก พ่อขอมีอายุแค่ 60 ปี ที่ได้มาอีก5 ปี และชีวิตที่เหลือต่อแต่นี้ไป คือกำไร” พ่อพูดกับฉัน ฉันน้ำตาไหล ฉันเป็นพยาบาล สองมือของฉันดูแลคนมาเป็นแสน ๆคน แต่ทำไมฉันไม่เอาสองมือของฉันมาดูแลผู้มีพระคุณของฉัน ต่อจากนี้ไปฉันจะทำชีวิตที่เหลืออยู่ของพ่อ ให้ได้กำไรมากที่สุด ฉันตัดสินใจลาออกจากงานที่โรงพยาบาลเดิม มาสมัครโรงพยาบาลใกล้บ้าน และได้ดูแลพ่อด้วย ซึ่งเป็นโรงพยาบาลโนนคูณในปัจจุบัน ขณะนี้พ่ออายุ 68 ปี มีสุขภาพแข็งแรงไม่ต้องผ่าตัดรอบที่ 2
พ่อคือพระ คือครู คือผู้ให้
คือแรงใจ ให้เรา ไม่หวังผล
พ่อให้รัก ให้กำเนิด เกิดเป็นคน
จะยากดี มีจน ขอเกิดเป็นลูกพ่อตลอดไป
วัชราภรณ์ ประภาสะสุทธิ์
พยาบาลวิชาชีพ
ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่าคุ้มที่ได้อ่า
ยิ่งบทสุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงชีวิต
ยิ่งรู้สึกว่าน้ำตาจะไหล
-สวัสดีครับ..
-อ่านเรื่องพ่อจากบันทึกนี้ทำให้รู้สึกอบอุ่นและรับทราบถึงความรักที่มีต่อพ่อมากๆ ครับ..
-อ่านด้วยความตื้นตันใจ.....
-บอกกับตัวเอง"น้ำตาเอ๋ย...อย่าไหล..ออกมา..นะ"
-ขอบคุณบันทึกนี้มาก ๆครับ
-คิดถึงพ่อ..ครับ..
สุดยอด