ความสุขในกำมือ : ภาค ๔ มองโลกเป็นสุข มองทุกข์เป็นครู (ว.วชิรเมธี)


ภาพประกอบหน้า ๑๐๔...

   เมื่อเผชิญหน้ากับความทุกข์

อย่าประหวั่นพรั่นพรึง หันไปสบตาความทุกข์

ความทุกข์อาจกำลังส่งสาส์นบางอย่างเพื่อให้เราเห็นธรรม

   ดังคำของพระพุทธองค์ที่ว่า

"บัวกลั่นตัวเองจากตมและน้ำฉันใด

ธรรมะก็กลั่นตัวเองจากความทุกข์ฉันนั้น"

..........

ขอบคุณหนังสือความสุขในกำมือ

ท่าน ว.วชิรเมธี เขียน

สำนักพิมพ์ ปราณ

หมายเลขบันทึก: 554421เขียนเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2013 22:48 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2013 22:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (11)

ทุกข์ อาจจะเป็น สุขที่เราถูกยึดคืน ก็ได้นะ เพราะก่อนทุกข์ ย่อมมีสุขมาเป็นแบบอย่างแล้วนี่นา แล้วสุขใหม่ที่ไม่เคยสัมผัส(ปิติสุข) ก็ควรกตัญญูต่อผู้มอบ มิใช่เนรคุณ ยกสะพานออก(ไม่มีพระเจ้า,พอชาชินหนักเข้า วันนี้ ก็"ไม่เอาเจ้า"ได้แล้วนะ) มาติดตามแง่มุมหนึ่งที่ถูกซ่อนเร้นปกปิดเถิด

ทุกข์ คือ สภาวะที่ต้องตรวจสอบ

ทุกข์ สุข ในวันนี้ มีความจริงที่สามารถเชื่อมโยงให้ชัดได้ด้วยสารจากผู้สร้างทั้งสองสิ่งแล้ว จะมาแทนความเข้าใจเดิมๆโบราณๆไปตามวรรณกรรมที่มีมนุษย์ด้วยกันแต่งให้พี่น่องมนุษย์เสพ จนตกผลึกเป็นมายาคติฝังแน่นในสมอง ว่า กรรม หรือ สิ่งที่ต้องดับ

มันเป็นการอุตริอวดอ้างหรือไม่ที่จะไปดับ ในสิ่ง ที่เรามิได้เป็นผู้สร้าง หรือ ออกกฎในเรื่องนั้น มิไตร่ตรองให้เที่ยงตรงหรือ บางสิ่งอวดอ้าง แต่บางสิ่งไม่อวดอ้าง หลากหลายมาตรฐาน มันจะเที่ยงตรงหรือ

วรรณกรรมว่า ทุกข์ คือ กรรม และ สิ่งที่ขันธ์นั้นมิได้มุ่งดับมาก่อน. ขอให้เราสังเกตุเถิดว่า ถ้าเป็นกรรม แล้ว กรรมนั้นยังตกเป็นวลีที่ใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินแสวงหาความพึงใจ ไปจบที่ความร่ำรวย เครื่องมือชิ้นนี้ จะรับผิดชอบในทุกข์ หรือ สุข เราได้จริงๆหรือ ในเมื่อกรรมยังช่วยตัวเองไม่ได้ ยังอยู่ในสภาวะเป็นทาสสิ่งหนึ่ง เป็นนายสิ่งหนึ่ง อยู่เลย

ทุกข์ อาจสังเกตุอย่างมีสติ มีปัญญา มีสมาธิ ได้อีกมิติหนึ่งก็ได้ว่าว่า คือ สุขที่ ถูกยึดคืนชั่วคราว(ในกรณีที่เคยสุขเรื่องในบริบทนั้นมาก่อน เช่นเคยรัก แล้วมาชัง เช่นนี้เป็นต้น) หรือ อีกหนึ่ง(ที่เป็นสุขใหม่ที่ไม่เคยสุข หรือ อาจเรียก ปิติสุข ก็ได้) คือ การมอบให้มาใหม่ของผู้ทรงสิทธิ์ที่เรามิได้ไปอวดอ้างเกินเลยการสร้างสุขนั้น

แล้วใครกันล่ะ ที่ให้ ที่ยึดคืน ในสุขที่เราประสพกัน. ก็ผู้เดียวกันกับผู้ให้ชีวิตในมดลูกแม่ เมื่อครั้งเคยเป็นสภาพวิญญาณล่องลอยมาก่อนไงล่ะ. ผู้นั้นเคยให้ตระหนักการกตัญญู ในสัญญากตัญญูมาก่อน มีวรรณกรรมใดใดเข้ามาที่สมองเราว่า ผู้นั้นไม่มีหรอก เป็นเรื่องงมงายไร้สาระ นั่นคือ เราเสพวรรณกรรมที่พาเราก่อ การเนรคุณ ต่อต้นทางที่เราสัญญาไว้ว่า เกิดมาแล้วจะกตัญญู. แต่ด้วยเมตตาปราณีและความสปอร์ท ของผู้นั้น เราทุกคนยังสามารถมีออกซิเจนหายใจ มีแสงอาทิตย์ให้พืชสังเคราะห์อาหาร มีการให้สุขมาก่อน แล้ว ยึดคืนชั่วคราวเพื่อตักเตือนเรา. นั่นคือ เรายังอยู่ในสายสัมพันธ์ของผู้มีพระคุณตั้งแต่แรก ของขันธ์ทั้งหลายทุกคน

จงกตัญญู อย่าเพิ่งรีบ ยกสะพานที่สุจริตนี้ ออกไป บ้านเมืองที่มีพลเมิลือง เนรคุณมากพอควร ย่อมมีการตักเตือนที่ มากพอควรตามมาด้วย ฉะนั้นวันนี้ ทุกข์ของส่วนรวม คือ การยึดคืนสุขที่เคยได้รับมาเท่านั้น จงกตัญญูเพื่อส่งแรงกตัญญูนั้น ไปบริหารสายสัมพันธ์ต่อผู้ทรงสิทธิ์ในทุกข์ และ สุข. อย่าไปโทษพี่กรรม เราสมควรด้วยหละ ที่จะต้องช่วยพี่"กรรม" ออกมาจากปกครองของผู้กักขังหน่วงเหนี่ยว ใช้พี่กรรม ไปทำมาหากิน

ในปรัชญากตัญญูนิยม จะไม่มีการยกเลิก การกตัญญูต่อผู้สร้างธรรมชาติ สร้างความสุข สร้างความทุกข์ สร้างพระพุทธเจ้าทสรา้งโมเสส สร้างเยซู สร้างมูฮัมมัด มาเสพสิ่งต่างๆที่สร้างไว้ให้มาก่อน. มุ่งให้มนุษย์ทุกนาม และ รูป มีการ กตัญญูไปพลางๆ ไม่นิยมการเนรคุณ ลบหลู่ผู้มีพระคุณใดใด ไม่มีการยกสะพานออกจากผู้มีพระคุณที่มอบสิ่งเสพ แม้จะยังไม่พบตัวตนก็ตาม ออกซิเจนที่เราเสพนี้ ผู้นั้นก็มีหลักฐานที่ทำลายไม่ได้ว่าเป็นเจ้าของ

แล้วเช่นนี้ ปรัชญาอิสลาม ก็เข้าข่ายเป็นปรัชญาที่กตัญญู มีขันติธรรม รอพบผู้มีพระคุณ กตัญญูไปพลางๆ ไม่มีการฝึกจิตให้เนรคุณไปพลางๆ. อิสลาม ถึงน่ากลัวต่อ ผู้ใช้ปรัชญาแสวงหาผลประโยชน์ แสวงหาความพึงใจ หาข้าว หาอาหารดีดี(ที่ตลาดนัดตอนเช้า) แสวงหาโอกาส จับต้องงบประมาณชุมชน

ท่านอาจเคยพบ หรือ รู้จัก มุสลิม. แต่ท่านรู้จักอิสลาม หรือยัง

สุขฯ ได้อย่างไร

วลีนี้ตกแก่ มนุษยชาติ มิใช่ตกแก่กลุ่มชาติพันธ์ใด ชาติพันธ์หนึ่ง หมู่ชนปรัชญาใด ปรัชญาหนึ่ง แต่เมื่อร่วมเป็นมนุษย์ วลี สุข นี้

ย่อมสาดใส่ที่สิทธิมนุษยชน มาตรฐานของความสุขนั้น ย่อมต้องการความเป็นสากล มิใช่ปิดกั้นอยู่ที่หมู่ชน ชาติพันธ์

ในเมื่อสากล ได้ยินว่า มีผู้เนรคุณต่อผู้สร้างโลกได้ ทั้งๆที่เขาเสพผลประโยชน์ เสพ ผลิตภัณฑ์ ของผู้สร้างโลกมาตลอด มนุษยชาติ

ในสากล ได้รับทราบเรื่องนี้ เขาจะมีความสุขได้ไหมล่ะ ในเมื่อมีพี่น้องที่เนรคุณ เรียกร้องให้ผู้มีพระคุณออกมาพบอย่างขาด"ขันติ"

อ้างเหตุผลที่ตื้นกว่าสารพื้นๆในการตักเตือน ชักชวนให้กตัญญูไปพลางๆ มีการลบทำลานสาร แห่งทิศทางที่กตัญญู สุจริต มีธรรม

แล้วจะสุขอย่างแท้จริงในวงกว้างหรือ. หรือ เพียงท่านมามายาว่า"สุข" แล้วใช้ได้ แล้วจบกัน. มันไม่เห็นแก่ตัวดอกหรือ.

ทุกข์หรือสุขอยู่ที่ใจของเราจ้ะคุณพิชัย มิใช่อยู่ที่ใคร หรืออะไรทั้งสิ้น

...ทุกข์ หรือ สุข...คนเราคิดไปเอง...ว่าทุกข์ คิดไปเอง...ว่าสุข...แล้วทำไมถึงไปคิดถึงความทุกข์ล่ะ...ทำไมไม่คิดให้เป็นความสุขจะได้หมดเรื่อง...ไม่ต้องมานั่งเป็นทุกข์...(เป็นการมองโลก ดร.พจนา แย้มนัยนา...ไม่สงวนลิขสิทธิ์ แต่ถ้าเอาไปใช้ช่วยบอกที่มา ด้วยนะคะ)...23/11/2013)

ข้อย บ่ออยากมีทุกข์ อยากมีแต่สุข แต่มันเป็นไปบ่ได้ดอก(เพราะข้อยยังเป็นมนุษย์เดินดินกินปลาแดกจร้า)

บางคนรู้สึก และกล่าวว่าตนสุข ในขณะที่บัญชีพ่อแม่ที่จะยื่นเสนอต่อผู้พิพากษาในวันสอบสวน เสียหาย

นั่นคือ พ่อแม่จะพบเหตุแห่งทุกข์ เมื่อบัญชีท่านเปืดเผยมา !อ้าว! ฉันทำแต่ผลที่เกิดบวกต่อบัญชีมาทั้งชีวิตนะ. แต่ไม่ได้หรอก พ่อแม่ของ...

ลูกของท่านทำสิ่งที่เป็นผลลบต่อบัญชีเขา พ่อแม่ก็จะต้องรับบันทึกนั้นด้วย เพราะ พ่อแม่คือ ผู้รับผิดชอบ มิใช่"กรรม" ดังมายาคติกล่อมเกลามาช้านาน.

ฉะนั้น ระมัดระวังว่า สุขท่าน จะเป็นเหตุแห่งทุกข์ของพ่อแม่ท่าน ในวันสอบสวนหรือเปล่า สุขกันจังนะ

หากทุกข์ และสุข อยู่ที่การคิดเอง

ฉะนั้น จงกตัญญูต่อผู้สร้างมนุษย์ให้สามารถคิดเองได้ไม่ต้องพึ่งพาคิดผู้อื่น. นั่นคือการดับเหตุแห่งทุกข์ในวันสอบสวน บัญชีเปิดเผยมาว่าท่านเนรคุณต่อผู้มอบความคิดให้ทุกข์ ให้สุข เมิ่อไร เหตุแห่งทุกข์แน่ทเพราะเราหลงไปไม่กตัญญูไปพลางๆเช่นสากลเขากระทำกัน

สิ่งนี้มีหลักฐานปรากฎมากกว่า6500ปี วันนี้ มีพยานยืนยันมากกว่า5000ล้านคนแล้ว เริ่มศึกษาเถิด

เมื่อมีทุกข์ จะเกิดแรงขับในการที่จะพ้นทุกข์ ขอบคุณความทุกข์

ใช้เชื่อเพลิงอะไรขับ

หากจะขับเคลื่อนให้พ้นทุกข์ ก็อย่าใช้เชื้อเพลิงที่เนรคุณ ที่ขโมยมา. มันเกิดมลภาวะต่อโลก ต่อลูกหลานได้

อย่าเนรคุณต่อ ผู้ให้ออกซิเจนพระพุทธเจ้าเสพ หรือ เคยเสพ ครั้งเป็นมนุษย์แบบเราๆ มิใช่อมนุษย์ที่ไม่เคยเสพออกซิเจน

อย่าเพิ่งลบหลู่ว่า ไม่มี เพราะ บรรพบุรุษเสพจริง หากเขาไม่รู้และไม่ยอบขอบคุณ เขาก็ขโมย หากบอบคุณก็ไม่ขโมย

แต่บรรพบุรุษ จะบอก หรือไม่บอกเรานั้น คนละเรื่อง เพราะท่านคงทราบดีว่า มนุษย์ยุคนั้น มีปัญญา มีญาณวิสัยพอไหม

หากเสพสิ่งใด ไม่เสพไม่ได้ ไม่เสพตาย ต้องเสพไปก่อน เสพมานาน และ ยังเสพต่อไป

เมื่อเรายังไม่พบเจ้าของ แต่มีการอ้างสิทธิ์สิ่งที่เราเสพ ด้วยหลักฐานเอกสาร และ มีพยานมากกว่า5000ปาก ก็สามารถขอบคุณไปก่อนได้

นั่นคือ ทางหลุดพ้นจากการกล่าวหาว่า ขโมย. และที่หนักกว่านั้นอีก หวาดกลัวว่าจะต้องขอบคุณเลยเถิดไปถึงการกล่าวว่า ไม่มีเจ้าของอีก

การปิดกั้น ปฎิเสธ ยอมมุสา ต่อหลักฐานและพยานล้นโลก เพื่อดีดดิ้นต่อ หลักกตัญญูกตเวทิตาธรรม. เช่นที่เรากระทำอยู่นั่นหรือ คือ "สุข"

เราอาจจะมุสาไปก่อนว่า เราสุข แต่ผู้พบเห็น รวมถึงพ่อแม่เรา ต้องทุกข์จริง บวกลบแล้ว สุขจริงหรือ. ทางเดียว ง่ายๆตรงๆ คือ กตัญญู

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท