608. สมองอัศวินเจได (The Jedi's Brain)


เมื่อวานผมได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง Star wars หนังที่ผมหลงรักมาตั้งแต่เด็กอีกครั้ง เป็นตอนที่ 3 ของไตรภาคแรก.. เป็นอะไรที่ผมยังรู้สึกชอบอยู่ครับ.. มีความสุขมาก ยังนึกถึงความตื่นตาตื่นใจสมัยเด็กๆได้ดี กับความอลังของฉาก..

ตอนที่สามนี้เป็นตอนที่พระเอกค้นพบว่าจริงๆแล้วดาร์ธ เวเดอร์เป็นพ่อของตนเอง และเจ้าหญิงเลห์อา เป็นพี่สาว.. ผมชอบตอนที่โยดา ปรมาจารณ์เจไดจำเป็นต้องเผยความจริงอันสุดเศร้าให้ลุ๊ค สกายวอกเกอร์ว่าปีศาสจร้ายแห่งจักรวาลคือพ่อของตนเอง และบอกว่าน่าเศร้าาที่พ่อลูกอาจต้องฆ่ากันเอง เพราะดาร์ธได้เปลี่ยนไปอยู่ในด้านมืดอย่างสมบูรณ์แล้ว.. แต่ลุ๊คบอกปรมาจารย์โยดาว่า เขายังเชื่อว่าพ่อยังมีด้านสว่างอยู่ เขาจะไปหาพ่อ..

ที่สุดฉากสำคัญมาถึงลุ๊คยอมให้กองกำลังของจักรพรรดิจับตัวไป. แล้วทั้งสามก็เผชิญหน้ากัน.. จักรพรรดิ ลอร์ดเวเดอร์ และลุ๊ค.. จักรพรรดิและเวเดอร์ พยายามทุกวิถีทางให้ลุ๊ค "หลุด" ครับ หลุดจากความดีด้วยการยั่วโทสะ.. แผนแรกก็ล่อกองยานของฝ่านปฏิวัติมาติดกับแล้วรุมถล่ม ลุ๊กก็ไม่หลุด ที่สุดพ่อของลุ๊ก ดาร์ธ เวเดอร์เลยตัดสินใจจะฆ่าลูก ก็เลยเอาดาบมาปะลอง.. ที่สุดพอพูดคำว่า .. “โอบีวันฉลาดที่ซ่อนพี่สาวของเจ้าไว้ แต่ก็ล้มเหลว เพราะข้ารู้ เมื่อเปลี่ยนเจ้าไม่ได้ ฆ่าจะเปลี่ยนพี่สาวเจ้าแทน".. เท่านั้นลุ๊คหลุด ไล่ฟันจนดาร์ธเวเดอร์เสียที เกือบตายอยู่แล้ว แต่ลุ๊คก็หยุดไม่ลงดาบ แม้จักรพรรดิจะเชียร์เอา เชียร์เอา.. ที่สุดจักรพรรดิเลยปล่อยพลังพิฆาต ขณะลุ๊คกำลัจะตายร้องเสียดง พ่อของลุ๊คก็ตื่นแล้วกลับใจจับจักรพรรดิโยนลงเหวในดาวมรณะ ดาร์ธเวเดอร์กลับมากลายเป็นคนดี ได้เห็นหน้าลูกแต่ก็ตายเพราะเจ็บสาหัส.. ที่สุดดาวมรณะก็ระเบิด จักรวรรดิล่มสลายผ่ายกบฏชนะ

ปรากฏการณ์ที่ลุ๊ค และกองกำลังกบฎที่ดูเหมือนไม่ค่อยมีเทคโนโลยี และกำลังทหารมากมาย แถมต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาตลอด แต่กลับเอาชนะอำนาจที่ชั่วร้ายที่สุดในจักรวาลได้.. เป็นเรื่องที่น่าสนใจครับ.. น่าสนใจขนาดที่ผมต้องมาเขียนวิเคราะห์วันนี้เลย..


ฝ่ายพระเอกชนะด้วยฉลาดกว่า อันนี้แน่นอน ความฉลาดของฝ่ายพระเอกทำให้พวกเขาเอาชนะกองกำลังมหึมาได้ครับ... แต่นี่ต้องฉลาดมากจริงๆ อะไรอยู่เบื้องหลังความฉลาดมากจริงๆ.. ต้องขอบอกว่า "ความดี" ครับ.. ความีดในตรงนี้จะเห็นว่าเกี่ยวข้องกับ "ความเมตตา และ ความกรุณา" หรือการที่เอาใจใส่ดูแลผู้อื่นครับ ถ้าเท่ากันก็เมตตา ถ้าด้อยกว่าก็ความกรุณา.. พระเอกเก่งครับ และต้องคอยช่วยเหลือดูแลฝ่ายกบฎที่น่าสงสารมากๆ..

คุณจะเห็นความต่างชัดมาก จากฐานที่เท่ากันด้านสมองในตอนแรก (ผู้นำสองฝ่ายเป็นอัศวินเจได ที่มีความสามารถสูงเหมือนกัน) แต่ความเมตตากรุณาไม่เท่ากัน ในเวลาต่อมาฝ่ายกบฎกลับดูฉลาดและเก่งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่ทรัพยากรน้อย เทคโนโลยีด้อยกว่า ทหารน้อยกว่า... แสดงว่าเรื่องนี้มีผล..

และก็พบว่ามีผลจริงๆ ครับ.. จากทฤษฎีด้านสมองที่ผมอ่านเจอในหนังสือเรื่อง Buddha's brain น่าทึ่งมากครับ

ผู้เขียนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์สมองพูดไว้อย่างน่าตื่นเต้นครับว่า.. ดูสัตว์เลื้อยคลานสิ มันไม่สนใจใครมันกินแม้กระทั่งลูกของมันเอง. สมองมันมีขนาดนิดเดียว.. ดูพวกลิง นกสิ.. คน ที่เป็นสัตว์สังคม ต้องร่วมมือ ต้องดูแลกัน บางตัวจับคู่กันก็อยู่ด้วยกันจนตาย.. ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ต้องใช้สมองที่ใหญ่ครับ.. เพราะฉะนั้นสัตว์พวกนี้จึงมีขนาดสมองใหญ่กว่าสัตว์เลื้อยคลานมากๆ.. มีการศึกษาลิงครับ.. ยิ่งฝูงใหญ่ ยิ่งใช้เวลาหาเหา และดูแลลูกมากเท่าไร ลิงพันธ์ุนั้นจะมีสมองใหญ่ครับ.. เอาเป็นว่าความฉลาดของมนุษย์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีพัฒนาการมาจากการที่สัตว์เหล่านี้ต้องดูแลกัน ปกป้องกันเพื่อความอยู่รอดครับเลยฉลาด


ฝ่ายกบฏฉลาดขึ้นเก่งขึ้น เพราะสนใจ มีความเมตตา กรุณาคนที่เดือดร้อนจากการกดขี่ของจักรววรดิจึงพัฒนาตนเองจนเก่ง สมองเติบโตอย่างมีคุณภาพไปตามๆกัน.. ส่วนฝ่ายจักรวรรดิฉลาดยังไงอยู่อย่างนั้น เหมือนสัตว์เลื้อยคลานเห็นแก่ตัว ฆ่ากันเองเล่นๆก็มี ที่สุดก็ล้าหลัง ทั้งที่ยังทันสมัยแพ้ภัยตัวเองในที่สุด..


คุณจำได้ไหมการที่เราต้องดูแลคนอื่น ยิ่งมากเท่าใด โดยตัวเราก็ยังอยู่ได้ไม่เดือดร้อนด้วยนี่ มันยากมากๆ นะครับ ต้องใช้สมองใช้ความคิดมากที่เดียว ที่สำคัญเราจะตกอยู่ในภาวะขาดแคลนโดยธรรมชาติ ทำให้เราต้องดิ้นรนต่อสู้ ทั้งต้องหาทรัพยากร และยังต้องบริหารความเสี่ยงอีก ช่วงนั้นเมื่อผ่านมาได้ดีแล้ว เป็นอะไรที่คุณจะเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น มากกว่าที่คุณจะอยู่เฉยๆ ไม่เกี่ยวข้องกับใครไม่สนใจใครอีก...


ผมได้ยินเพื่อนผมเล่าให้ฟังว่า "วันหนึ่งผมถามน้องคนหนึ่งว่า อาจารย์หมอคนไหนเป็นไอดอลของเธอ" เธอตอบ "อาจารย์คนนั้นค่ะพี่ แกดูแลคนไข้ด้วยความเมตตากรุณามากๆ.. ดูกระตือรือร้นในการทำงาน แกเป็นหมอตา คนไข้มีปัญหาเรื่องตาที่อาจต้องมีการดูแลเป็นพิเศษ แกจะดูแลประสานงานจนคนไข้ที่แม้ยากจน ก็จะได้การรักษาที่ดีมากๆ ...อาจารย์คนนี้สอนดี เข้าใจมากๆ เป็นความต่างจริงๆ และท่านก็มีชีวิตที่ดี น่าเอาเป็นแบบอย่าง" เอาเป็นว่าผมยังจับความไม่ครบ แต่เท่าที่ฟังมาอาจารย์ที่เก่งมากๆ ขั้นเทพ จะมีความเมตตาและกรุณามากอย่างโดดเด่น.. และ "ให้" มากกว่ารับครับ

เรื่องนี้สอดคล้องกับที่ผมเคยทำครับ.. ผมให้นักศึกษานึกถึงไอดอลของคนที่เขายินดีร่วมงานด้วย หรืออยู่ร่วมได้อย่างเต็มใจ ราวๆ เกือบร้อยคน จะพูดเหมือนๆกันว่าไอดอลในชีิวตของเขา "ให้" ครับ ให้ก่อน ให้มากกว่ารับ.. คล้ายๆ กับความเมตตากรุณาไหมครับ.. ผมมองว่าการให้ใช้สมองใช้ความพยายามมากจริงๆ เพราะให้น้อยก็ไม่ไหว ให้มากก็ไม่ดี และทำอย่างไรมีน้อยแต่ต้องให้มาก แล้วต้องสร้างผลกระทบในทางบวกด้วยนี่ก็ไม่ง่ายๆ..


เอาเป็นว่าวันนี้ผมเจอคำตอบแล้วครับ และค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าชีวิตที่เหลือจะทำอะไร ต้องให้ครับ แล้วเราจะฉลาดขึ้นแข็งแกร่งขึ้น เราจะเปลี่ยนเรา เปลี่ยนคนอื่นและเปลี่ยนโลกได้เอง..ในการพัฒนาองค์ การศึกษาไม่ว่าองค์กรใด เน้นสอนความเมตตา กรุณา แล้วปฏิบัติ บริหาร "การให้" .. เป็นอะไรที่ต้องทำครับ เพราะนี่มันคือกระบวนการสร้างสติปัญญา ความฉลาดที่สำคัญมากๆ.. เท่ากับคุณกำลังสร้างอัศวินเจไดให้เกิดขึ้นในองค์กรทีเดียวครับ..


วันนี้เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะรับ


Reference:

The first picture retrieved October 30, 2013 from

http://www.themovies.co.za/2013/04/18/get-ready-fo...

The second picture retrieved October 30, 2013 from http://mcnealy.deviantart.com/gallery/40129577

The third picture retrieved October 30, 2013 from http://www.futurehealth.org/populum/podcasts_index...

The fourth picture retrieved October 30, 2013 from http://aworkcovervictimsdiary.com/useful-stuff/gre...


หมายเลขบันทึก: 552070เขียนเมื่อ 30 ตุลาคม 2013 10:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 5 พฤศจิกายน 2019 20:42 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท