บทคัดย่อ
การศึกษาวิเคราะห์แนวคิดธรรมราชาตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาวิเคราะห์แนวคิดธรรมราชาตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา และเปรียบเทียบแนวความคิดเกี่ยวกับธรรมราชาของปราชญ์ทางพระพุทธศาสนากับผู้นำทางสังคม ผู้นำทางการเมืองและผู้นำชุมชน งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงเอกสารและเชิงคุณภาพ โดยเน้นค้นคว้าในคัมภีร์พระไตรปิฎก และการสัมภาษณ์เชิงลึก โดยนำมาวิเคราะห์และเรียบเรียงในเชิงพรรณนาวิเคราะห์
ผลการวิจัยพบว่า ธรรมราชาตามแนวคิดทางพระพุทธศาสนา แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ธรรมราชาในทางศาสนาหรือทางธรรม และในทางโลก ธรรมราชาในทางศาสนาหรือทางธรรม หมายถึง พระพุทธเจ้าเพราะทรงเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติที่ดีงามครบถ้วน ส่วนธรรมราชาในทางโลก หมายถึง ผู้นำหรือผู้ปกครองบ้านเมืองที่ดี มีคุณธรรมประจำใจซึ่งในคัมภีร์พระไตรปิฎกระบุถึงพระเจ้าทัลหเนมิ ผู้เป็นกษัตริย์ที่พิชิตเขตแดนโดยไม่ต้องใช้ศาสตราวุธ หากเผยแพร่แสนยานุภาพทางธรรมให้แพร่หลาย ทรงบริบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ อันเป็นองค์ประกอบของธรรมราชาทางโลก ผลการวิจัยยังพบอีกว่า นอกจากธรรมราชาจะต้องดำรงตนอยู่ในคุณธรรมเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไปแล้ว ยังต้องบำเพ็ญหลักของผู้นำหรือผู้ปกครองที่ดีอีก ๔ หลักด้วยกัน กล่าวคือ จักรวรรดิวัตร ๕, ทศพิธราชธรรม ๑๐, ราชสังคหวัตถุ ๔, และละเว้นจากอคติ ๔
ผลจากการเปรียบเทียบแนวคิดธรรมราชาของปราชญ์ทางพระพุทธศาสนากับผู้นำทางสังคม ผู้นำทางการเมืองและผู้นำชุมชน พบว่า ความเห็นของปราชญ์ทางพระพุทธศาสนา ผู้นำทางสังคม ผู้นำทางการเมืองและผู้นำชุมชน มีทั้งที่เหมือนและแตกต่างกัน โดยแยกออกได้ ดังนี้
๑) ด้านแนวคิดเกี่ยวกับธรรมราชา มีความเหมือนกันเกี่ยวกับ คุณสมบัติของตัวผู้นำและความสามารถนำหลักธรรมราชาไปประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการ ส่วนความแตกต่างอยู่ที่การให้ความหมายของธรรมราชา
๒) ด้านภาวะผู้นำกับความเป็นธรรมราชา ในส่วนที่เหมือน คือ การที่ต้องใช้หลักธรรมในการบริหารจัดการเป็นสำคัญ ส่วนความแตกต่างอยู่ที่กรอบแนวคิดการทำงานต้องเป็นไปตามลำดับ กฎหมายต้องส่งเสริมสนับสนุนความเข้มแข็งให้กับชุมชน
๓) ด้านประสบการณ์ธรรมราชาที่ผ่านมา ที่มีความเหมือนกัน คือ การยอมรับซึ่งกันและกันก่อน โดยมุ่งที่ประโยชน์ที่จะพึงได้ร่วมกัน ไม่มีคำว่าแพ้-ชนะ บางกรณีมีการปรับใช้ภูมิปัญญาแทนกฎหมาย ส่วนความแตกต่างไม่มีในประเด็นนี้
๔) ด้านต้นแบบธรรมราชา มีความเหมือนกัน กล่าวคือ เห็นว่าพระศาสดาทุกศาสนา เป็นแบบอย่างธรรมราชาในทางธรรม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นต้นแบบแห่งธรรมราชาในทางโลก ส่วนความแตกต่างอยู่ที่การนำหลักการไปประยุกต์ใช้
๕) ด้านความเชื่อมั่นต่อธรรมราชา มีความเห็นที่สอดคล้องกันว่า ธรรมะเป็นเรื่องของคนทุกคน ส่วนความแตกต่างอยู่ที่การให้ความหมายของศัพท์เชิงภาษา
๖) ด้านการสื่อสารแนวคิดธรรมราชาต่อสาธารณะ มีความเหมือนกันเกี่ยวกับการใช้สื่อทุกช่องทางเพื่อสร้างกระแสธรรมราชา ส่วนความแตกต่าง อยู่ที่วิธีการนำเสนอให้คนเข้าถึงความเป็นธรรมราชา
เกี่ยวกับการประยุกต์แนวคิดธรรมราชาในการปกครองบ้านเมือง ผลการวิจัยที่พบสามารถแยกประเด็นได้ ดังนี้ เช่น
๑) ด้านแนวคิดธรรมราชากับการปกครองบ้านเมือง มุ่งประยุกต์โดยเน้นใน ๓ ระดับ คือ (๑) ระดับต้น ต้องมีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำที่ดี (๒) ระดับกลาง จะต้องอาศัยธรรมเป็นหลักในการปกครอง (๓ ) ระดับสูง สร้างบุคคลให้มีธรรมราชาในจิตใจ
๒) ด้านภาวะผู้นำทางการเมืองกับความเป็นธรรมราชา มุ่งเน้นพัฒนาภาวะผู้นำทางการเมืองอีก ๓ ด้าน คือ (๑) พัฒนาตน คือ พัฒนาตัวของผู้นำเอง โดยใช้หลักแห่งความเข้าใจ และการมีฐานแห่งความเป็นธรรมที่สถิตอยู่ในใจ เป็นต้น (๒) มุ่งพัฒนาผู้ใต้การปกครอง ใน ๓ ระดับ คือ ด้านพฤติกรรม ด้านจิตใจ และด้านสติปัญญา (๓) พัฒนาองค์รวมของสังคม โดยยึดกรอบศีลธรรมเป็นหลัก ในขณะเดียวกันก็กำหนดกฎหมายเป็นเครื่องส่งเสริมสนับสนุนศีลธรรมเพื่อให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน นอกจากนั้น ควรมีการผสมผสานโดยการประยุกต์ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อให้ทุกคนสามารถเคารพตนเองได้
๓) ประสบการณ์ธรรมราชากับผู้นำทางการเมือง สามารถนำมาประยุกต์ในการปกครองบ้านเมือง คือ (๑) มุ่งเน้นหลักการ โดยอาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นแนวคิดหลักในการปกครองบ้านเมือง (๒) มุ่งเน้นหลักปฏิบัติ โดยนำหลักธรรมดังกล่าวลงสู่การปฏิบัติ (๓) มุ่งเน้นกระบวนการ โดยอาศัยกระบวนการทางกฎหมาย และหรือกรอบขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม หลักของศีลธรรม เป็นต้น
๔) ธรรมราชากับคุณสมบัติของผู้นำทางการเมือง ประกอบด้วย (๑) ด้านบุคคล โดยการศึกษาแบบอย่างจากบุคคลที่เป็นธรรมราชาเพื่อเป็นต้นแบบในการปฏิบัติตน (๒) ด้านคุณสมบัติ บุคคลที่จะเป็นธรรมราชาต้องมีคุณสมบัติที่ดีงามพร้อม (๓) ด้านวิธีคิด บุคคลที่จะเป็นธรรมราชาจะต้องศึกษาแบบอย่างของบุคคลที่เป็นธรรมราชายุคก่อน
๕) ความเชื่อมั่นธรรมราชากับผู้นำทางการเมือง คนที่จะเป็นผู้นำทางการเมืองจะต้องมีความเชื่อมั่นว่าสามารถสร้างธรรมราชาให้เกิดขึ้นในจิตใจได้ เชื่อมั่นในความมุ่งหมายของความเป็นธรรมราชา และสามารถนำหลักธรรมราชาไปประพฤติปฏิบัติได้ในทุกระดับ
๖) แนวทางเผยแพร่หลักธรรมราชา มี ๓ ระดับ คือ การสร้างองค์ความรู้ การนำไปใช้ และสร้างการตระหนักรู้ ร่วมกัน
นมัสการท่าน
หายไปนานมากๆ
เข้าใจว่างานยุ่งนะครับ
สบายดีไหมครับ
ท่านอาจารย์ขจิต…เนินนานพอสมควร…ด้วยภาระกิจด้านบริหารกิจการคณะสงฆ์ที่รับผิดชอบอยู่ บวกกับการเรียนการสอนในมหาจุฬาฯที่มี งานด้านบริการวิชาการแก่สังคม ตลอดจนถึงงานวิชาการที่กำลังทำอยู่(วิจัย-เอกสารคำสอน-งานสร้างสรรค์). ที่ยุ่งอิรุงตุงนัง……จึงทำให้หายไปนาน นี้เป็นเหตุผลข้อที่ 1 ส่วนข้อที่ 2 เป็นทั้งเหตุผล(ข้ออ้าง) และเป็นคำถามไปพร้อมกันคือระบบgotoknow.org ทำไมเข้ายากขึ้น…ข้อสงสัยเบื้องต้นคือ 1)ระบบเปลี่ยน 2)เครื่องมือของอาตมาล้าสมัย….เนื่องจากพยายามหลายครั้งแล้วเครื่องไม่ตอบสนอง…ไม่บันทึก….แปลกมาก