ย้อนรอยเส้นทาง PhD ของโอ๋-อโณ (24): โรงพยาบาลเด็กที่เมืองเพิร์ธ


เขียนเล่าเรื่องราวสมัยที่อยู่เพิร์ธลงในวารสารสายใยพยาธิฯเมื่อนานมาแล้ว และเอามาลงใน GotoKnow อยู่พักหนึ่ง แล้วก็หยุดไป จำไม่ได้ว่าทำไม แต่ช่วงนี้เอาไปเก็บใส่ไว้ในเว็บไซต์ของบุคลากรมอ.Share.psu แล้วเลยเอามาเผื่อแผ่ตรงนี้ไปด้วยให้จบค่ะ ดีใจที่ได้เขียนไว้จริงๆ เพราะตอนนี้ให้เขียนก็คงไม่ได้รายละเอียดขนาดนี้แน่ๆ

ถึงคราวเล่าเรื่องโรงพยาบาลเด็กที่เมืองเพิร์ธ ออสเตรเลียบ้าง ที่เคยเล่าไปแล้วเรื่องของผู้ใหญ่ว่าเวลาเป็นอะไรไม่มาก พวกเราก็จะพาไปหาหมอเด็กที่ Student Medical Center เหมือนกัน ถ้ามีอะไรที่ต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติม ทางศูนย์ก็จะส่งเราไปอีกที แต่ยังไงก็ตามศูนย์นี้เขาก็เปิดเฉพาะในเวลาราชการเท่านั้น ถ้าเป็นอะไรนอกเวลานั้นก็ต้องหาหนทางจัดการเอาเอง เราก็เคยพาเด็กๆไปหาหมอคลินิกใกล้บ้านเหมือนกัน

เหตุเพราะเกาเท่านั้นเอง

สำหรับครั้งแรกที่เราได้ใช้บริการโรงพยาบาลเด็ก ซึ่งมีเฉพาะที่เมืองเพิร์ธชื่อ โรงพยาบาล Princess Margaret Hospital นั้นเป็นเพราะเจ้าตัวกลาง น้องเหน่น เป็นคนขี้แพ้ มีแผลแกะเกาเยอะมาก ถึงแม้จะดีขึ้นมากตอนไปอยู่ที่เพิร์ธเพราะอากาศจะมีความชื้นน้อยกว่าและเย็นกว่าหาดใหญ่ แต่คราวนี้เป็นมากเพราะมีหนองที่แขนข้างขวาตรงข้อศอก คืนวันที่ตัดสินใจพาไปโรงพยาบาลเพราะหนองแตกแล้ว แต่มองดูเหมือนยังมีค้างอยู่ข้างในลึกลงไป เพราะบวมเป่งมากอย่างน่ากลัวและบวมไปทั้งแขน ตอนนั้นคุณพ่อยังไม่ค่อยคล่องแคล่วเรื่องภาษามากนักและค่ำแล้ว ต้องมีผู้ใหญ่อยู่บ้านกับพี่วั้นและน้องฟุง คุณแม่ก็เลยต้องเป็นคนพาไป ดูจากแผนที่แล้วโรงพยาบาลอยู่ในที่ตั้งที่ขับรถไปเองพอได้ เป็นถนนเส้นหลักๆทั้งนั้น (มีไฟจราจรทุกแยกไม่ต้องตัดสินใจเอง)

ตอนที่เข้าไปที่แผนกฉุกเฉินมีคนรออยู่ก่อนเรา 2 กลุ่ม รอไม่นานพยาบาลที่ front desk ก็เรียกไปถามชื่อ อายุ อาการ ดูแผลนิดหน่อยแล้วก็เอาผ้าก๊อซมาแปะไว้ให้ แล้วก็เปลี่ยนที่นั่งรอเข้าไปข้างใน สถานที่ของเขาค่อนข้างกว้างขวางและเนื่องจากเป็นโรงพยาบาลสำหรับเด็กโดยเฉพาะ แม้จะเป็นโรงพยาบาลรัฐบาลก็รู้สึกว่าเขาจะบริการเราดีกว่าโรงพยาบาลผู้ใหญ่ ระหว่างที่นั่งรอก็มีหนังสือเด็กให้อ่านเยอะแยะ น้องเหน่นไปเจอเอาหนังสือที่มีเพลงเด็ก (Nursery rhyme) ที่กำลังติดใจก็เลยได้นั่งดูไปฮัมไปด้วย (ไม่เดือดร้อนใจกับเราเลย) ซักพักพยาบาลก็มาทาครีมให้ที่ข้อมือแล้วก็แปะพลาสติกใสทับไว้บอกว่าเป็นยาชา เผื่อต้องใส่เข็มเจาะเลือด (ขั้นตอนนี้ไม่เคยเห็นที่บ้านเราเลย) หมอคนแรกที่มาดูเป็นหมอหน้าเด็กๆ หน้าตาเหมือนชาวสิงคโปร์ (ที่เพิร์ธมีหมอหน้าตาเอเชียเยอะมาก คงเป็นเพราะคนที่มีเชื้อสายเอเชียมักจะเรียนดีกว่าฝรั่งและมักจะเลือกเรียนสายนี้) แกขอส่งไปเอ๊กซเรย์เพราะแขนบวมมาก ห้องเอกซเรย์ของเขาก็อยู่ติดกันในนั้นเลย แป๊บเดียวได้ผล หมอดูแล้วบอกว่าขอรอปรึกษาหมออีกคนว่าจะต้องผ่าเพื่อเอาหนองออกหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆคือต้อง admit เพื่อฉีดยาเข้าเส้นและ observe อาการ พอหมอผู้ชายหน้าตาแขกๆอีกคนมาดูก็บอกว่า รอดูพรุ่งนี้ก่อนว่าต้องผ่าเอาหนองออกหรือเปล่า หลังจากเจ้าหน้าที่ให้เรากรอกแบบฟอร์มเอกสารเกี่ยวกับประกันสุขภาพอะไรเสร็จก็ส่งขึ้นไปบนวอร์ดเลย ก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคนไข้ ตอนนั้นก็ 5 ทุ่มแล้ว คุณแม่ขอกลับบ้านไปจัดการตัวเองเพื่อจะมานอนเฝ้า

คืนทรมาน

ขากลับเนื่องจากมืดมากแล้ว ก็เลยเลี้ยวรถออกผิดทาง วนไปรอบนอกไปอีก แถมเข้าเลนผิดหลงไปอีก 2-3 ถนน ดีที่ยังเป็นแถวๆที่เคยไป และถนนที่เพิร์ธจะค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมต่อๆกัน ถ้านับถนนดีๆและจำทิศให้แม่นๆก็กลับมาที่เดิมได้ โชคดีที่ดึกแล้วถนนก็โล่งขับสบายมาก เลยไม่ค่อยเดือดร้อนใจเท่าไหร่ ตอนขามาใช้เวลาแค่สิบห้านาที แต่ขากลับกว่าจะถึงบ้านก็เที่ยงคืน อาบน้ำอาบท่าจัดการตัวเองเสร็จ ก็ต้องปลุกพี่วั้นที่ตอนนั้นก็อายุ 9 ขวบให้คอยดูน้องฟุงที่เพิ่งจะ 3 ขวบเผื่อน้องตื่นตอนที่พ่อไปส่งแม่ที่โรงพยาบาล ตอนที่ไปถึงโรงพยาบาลน้องเหน่นหลับไปแล้วเรียบร้อย แขนข้างที่เจ็บโดนห้อยสูงเอาไว้ อีกข้างก็เสียบสายน้ำเกลือและยาเอาไว้ วอร์ดที่อยู่เป็นวอร์ดทั่วไป พยาบาลเอาโซฟามาให้นอนข้างเตียงน้องเหน่น เจอเอาเด็กชาวพื้นเมืองที่นอนอยู่เตียงตรงข้ามร้องทั้งคืนเลย น่าสงสารมากทั้งเขาทั้งเราเลย

ต่อมาจาก series นี้ค่ะย้อนรอย PhD

หมายเลขบันทึก: 550148เขียนเมื่อ 3 ตุลาคม 2013 17:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 สิงหาคม 2014 19:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เล่าได้เห็นภาพช่วงลำบากของการดูแลลูกที่เจ็บป่วย...ทั้งอดทนและรักษาสติให้มั่นคงมากค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท