อภิมหาโครงการด้านอุดมศึกษาและวิจัย (1)
13 - 15 ต.ค.48 ผมเข้าร่วมประชุม "นักวิจัยรุ่นใหม่พบเมธีวิจัยอาวุโส สกว." ที่ชะอำ เป็นการประชุมที่จัดทุกปีมาเป็นเวลาหลายปี แต่ปีนี้คนมากและคึกคักกว่าปีก่อน ๆ คือเกือบ 700 คน รวมทั้งย้ายจากประชุมที่กาญจนบุรีมาเป็นที่ชะอำ
มีเรื่องสำคัญ ๆ สู่การประชุมมากมาย โครงการหนึ่งคือ Megaproject เพื่อพัฒนาอาจารย์และนักวิจัยของ สกอ. ชื่อ "โครงการเครือข่ายเชิงกลยุทธเพื่อการพัฒนาบุคลากรอาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ" ระยะที่ 1 (2549 - 2552) เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ (Mega Project) เสนอโดย สกอ. เมื่อวันที่ 28 ก.ย.48 นี้เอง ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐบาล
ผมคิดว่าเป็นโครงการที่สำคัญยิ่งต่อบ้านเมือง น่าชื่นชม ศ. (พิเศษ) ดร. ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการ สกอ. ที่ริเริ่มโครงการนี้ จะเป็นประวัติศาสตร์ในวงการอุดมศึกษาและวงการวิจัย และน่าชื่นชมคณะยังเติร์กแห่งวงการวิจัยของประเทศ นำโดย รศ. ดร. วันชัย ดีเอกนามกูล ([email protected]), ศ. ดร. สุพจน์ หารหนองบัว, ศ. ดร. เกตุ กรุดพันธุ์, รศ. ดร. วัชรพงศ์ อนันต์ชื่น, และ ผศ. ดร. ธีรเกียรติ เกิดเจริญ ที่ร่วมกันเขียนข้อเสนอโครงการนี้ในเวลาอันสั้นและฉุกละหุก
เป้าหมายในระยะ 4 ปี (2549 - 2552)
อย่าลืมว่านี่เป็นฉบับร่าง
ยังต้องมีการปรับปรุงต่อรองอีกมาก
1. ผลิตปริญญาเอก 7,800 คน
2. พัฒนาบุคลากรสายวิชาการระดับแนวหน้า จำนวน 2,300 คน
3. ผลิตผลงานวิจัยในระดับนานาชาติ 12,000 เรื่อง
4. สร้างหลักสูตรเชิงกลยุทธระดับนานาชาติ 25 หลักสูตร
5. ผลิตสิทธิบัตรผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรม 70 ชิ้น
6. เกิดเครือข่ายวิจัยกับต่างประเทศ 700 เครือข่าย
7. เกิดศูนย์ความเป็นเลิศในสถาบันอุดมศึกษาต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า 60
ศูนย์
เครือข่ายเชิงกลยุทธฯ มี 20 เครือข่าย แบ่งออกเป็น 5
กลุ่ม ดังนี้
1.
กลุ่มกระบวนทัศน์ใหม่
เน้นการก้าวทันสากล ศาสตร์ใหม่
และการดักแนวโน้มนวัตกรรมในอนาคตสู่โลกของ Molecular Economy
ประกอบด้วย 4 เครือข่ายคือ
(1) เครือข่ายพลังงานทางเลือก
(2) เครือข่ายนาโนวัสดุและนาโนอุปกรณ์
(3)
เครือข่ายเทคโนโลยีผสมผสานด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ
(4)
เครือข่ายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการป้องกันประเทศ
2.
กลุ่มฐานเศรษฐกิจของประเทศ
เน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตตามยุทธศาสตร์รัฐบาล
ประกอบด้วย 6 เครือข่ายคือ
(5) เครือข่ายความปลอดภัยด้านอาหาร
สมุนไพร และผลไม้
(6)
เครือข่ายเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรก้าวหน้า
(7) เครือข่ายอัญมณี
เครื่องประดับ และแฟชั่น
(8)
เครือข่ายเทคโนโลยีดิจิตัลและซอฟท์แวร์
(9)
เครือข่ายระบบการจัดการเรื่องมาตรฐานและเครื่องมือวิเคราะห์
(10) เครือข่ายะบบ logistics การขนส่ง
การบิน (Aviation) และการจราจร
3.
กลุ่มการจัดการความรู้และทรัพยากรเพื่อความมั่นคงของชาติ
ประกอบด้วย 6 เครือข่ายคือ
(11)
เครือข่ายโรคอุบัติใหม่และภัยคุกคามด้านชีวภาพ
(12)
เครือข่ายการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพ
(13) เครือข่ายเคมีเพื่อการสร้างนวัตกรรม
(14)
เครือข่ายเทคโนโลยีและการจัดการภาวะฉุกเฉิน ภัยพิบัติ
และสิ่งแวดล้อม
(15)
เครือข่ายนวัตกรรมการศึกษาและการจัดการความรู้
(16)
เครือข่ายทรัพย์สินทางปัญญาและการพาณิชย์เชิงองค์ความรู้
4.
กลุ่มวัฒนธรรมและสังคม ประกอบด้วย 2
เครือข่ายคือ
(17) เครือข่ายภาษา วัฒนธรรม
ศิลปะ และภูมิปัญญา
(18)
เครือข่ายสังคมศาสตร์เพื่อการจัดระเบียบสังคม
5.
กลุ่มพิเศษเพื่อแก้ปัญหาวิทยาศาสตร์พื้นฐานของประเทศ
ประกอบด้วย 2 เครือข่ายคือ
(19) เครือข่ายฟิสิกส์
(20) เครือข่ายคณิตศาสตร์
เนื่องจากคณะผู้ยกร่างโครงการเป็นนักวิจัยระดับยอดของประเทศ
และมีความใกล้ชิดกับทั้ง สกว. และ สวทช.
จึงเข้าใจความสำคัญของการจัดการและได้ร่างหลักการด้านการจัดการไว้อย่างดีมาก
โดยได้ระบุนวัตกรรมในการบริหารเครือข่ายไว้ดังนี้
- มีการสรรหาผู้จัดการเครือข่ายมืออาชีพ (เครือข่ายละ 1 คน รวม 20
คน)
- ผู้จัดการเครือข่ายต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการวิจัย
มี bird eye view และเป็นที่ยอมรับในสาขาเครือข่าย
- ผู้จัดการเครือข่ายมีหน้าที่ในการจัดทำ package
ของเครือข่าย
พร้อมตัวชี้วัดที่สอดคล้องต่อเป้าหมายของโครงการฯ
เพื่อเสนอให้ สกอ. เห็นชอบ
-
ผู้จัดการเครือข่ายและคณะกรรมการมีค่าตอบแทนที่สูงเพียงพอ
มีการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานโดยหน่ายงานภายนอกทุกปี
- ผู้จัดการเครือข่ายบริหารงานภายใต้คณะกรรมการเครือข่าย
โดยมีสำนักงาน อุปกรณ์สำนักงาน
และบุคลากรประจำเพื่อทำหน้าที่ในการประสานงาน
งบประมาณของโครงการตามในเอกสาร ระบุว่า 28,800 ล้านบาทใน 4 ปี แต่ ศ. (พิเศษ) ดร. ภาวิช ทองโรจน์ เลขาธิการ สกอ. กล่าวเมื่อคืนวันที่ 14 ต.ค. ว่าคาดว่าค่าใช้จ่ายช่วง 5 ปีแรกจะตกประมาณ 16,000 ล้านบาท โดยปี 2549 จะมีงบครุภัณฑ์ประมาณ 7,000 ล้านบาท ฟังดูเข้าใจว่ายอดเงิน 28,800 ล้านบาทเป็นยอด 10 ปี
ศ. ภาวิชกล่าวในการบรรยายเมื่อคืนวันที่ 14 ต.ค. ว่า ระบบอุดมศึกษาของไทยขยายตัวเชิงขนาดหรือจำนวนในลักษณะที่เร็วมาก เกิดมหาวิทยาลัยใหม่ 50 แห่งในเวลาปีเดียว (มรภ. & มรม.) ทำให้เกิด "หลุมยักษ์" ด้านคุณภาพ โครงการ Megaproject นี้จึงเป็นเครื่องมือถมบ่อและถมเนินทางคุณภาพอุดมศึกษาไปพร้อม ๆ กัน
เอกสารโครงการระบุว่า
แต่ละเครือข่ายจะมีองค์ประกอบเชิงบูรณาการครบถ้วนในตัวเอง
ได้แก่
- หลักสูตรร่วมระหว่างสถาบัน
- คลัสเตอร์ของเครือข่าย
- สหสาขาวิชา
- การใช้ประโยชน์จากผลงาน
- ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในประเทศ
- ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านจากต่างประเทศ
- ภาคอุตสาหกรรม, เอกชน
- ชุมชน
- ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
องค์ประกอบหรือหน่วยงาน/องค์กรที่จะเข้ามาร่วมในแต่ละเครือข่ายมีดังนี้
- มหาวิทยาลัย ก
- มหาวิทยาลัย ข
- มหาวิทยาลัย ค
- .......
- .......
- มหาวิทยาลัย ฮ
- สถาบันวิจัย
- อุตสาหกรรม
- ชุมชน
- สถาบัน/มหาวิทยาลัย ตปท.
ในการประชุมใหญ่ วันที่ 15 ต.ค. คณะผู้ยกร่างโครงการที่นำโดย รศ. ดร. วันชัย ดีเอกนามกูล ได้ขอให้ผมให้ความเห็น ด้วยความจำกัดของเวลา ผมได้สัญญาว่าจะกลับมาคิดให้ลึก ๆ และเสนอความเห็นในบล็อกนี้เพื่อช่วยกันผลักดันให้โครงการดี ๆ แบบนี้ประสบความสำเร็จ โดยอาจต้องค่อย ๆ คิดและเสนอความเห็นในบันทึกบล็อกหลายบันทึก ไม่ใช่บันทึกเดียว เพราะผมเป็นคนที่คิดช้า คล้าย ๆ ควาย ที่ต้องค่อย ๆ เคี้ยวเอื้อง ผมต้องค่อย ๆ คิดทีละเปลาะ ทีละจุด และคงต้องบอกไว้ก่อนว่า โครงการใหญ่อย่างนี้ต้องคิดให้ลึก ๆ วางยุทธศาสตร์ในหลายด้าน คล้าย ๆ ทำสงคราม (war) ซึ่งผมไม่เก่ง ผมเก่งในระดับทำศึก (battle) เท่านั้น และถนัดแค่ศึกในระดับ "กองโจร" ไม่เก่งในศึกหรือสงครามยึดพื้นที่ ดังนั้นความเห็นของผมอาจจะผิดโดยสิ้นเชิงก็ได้ เมื่อเอาเข้าไปพิจารณาในภาพรวมของ "สงคราม"
ในชั้นนี้ผมคิดว่ามีเรื่องใหญ่ ๆ ที่ควรพิจารณาอย่างน้อย 7 ประเด็น
คือ
1. การคิดเชิงทำ "สงคราม" (war)
2. การ "แยก" แต่ "เชื่อมโยง" ระบบจัดการกับระบบดำเนินการ
3. การจัดการในช่วง "ฟักไข่"
4. ระบบการจัดการ
5. การพัฒนาระบบวารสารวิชาการไทยรับใช้สังคมไทย
6. การพัฒนาระบบตำแหน่งวิชาการสายรับใช้สังคมไทย
7. ระบบ Empowerment Evaluation
ก่อนที่ผมจะลืม ผมขอระบุเรื่องของ 4 ระบบการจัดการ ไว้เสียก่อนว่า ต้องตั้งองค์กรอิสระที่เป็นองค์การมหาชนกำหนดให้มีอายุ 10 ปี ขึ้นมารองรับ เพื่อหลีกเลี่ยง "จุดตาย" ของโครงการ คือการตกเข้าไปอยู่ใต้ bureaucracy ของราชการ และตกอยู่ใต้ politics ของข้าราชการ เพราะว่าเมื่อไรที่โครงการแบบนี้ตกเข้าไปเป็นเครื่องมือไต่เต้าสู่ตำแหน่งของข้าราชการระดับสูง เป้าหมายจะถูกบิดเบี้ยวไปหมด
ผมจะค่อย ๆ ให้ความเห็นทีละข้อ พรุ่งนี้จะเริ่มที่ข้อ 1 การเตรียมทำสงคราม
เลขาธิการ สกอ. กำลังเล่าแนวความคิด คณะผู้ยกร่างโครงการ
รศ. ดร. วันชัย ดีเอกนามกูล
วิจารณ์ พานิช
16 ต.ค.48
ในการประชุมสภา มม. วันที่ ๑๙ ตค. มีการพูดถึงเรื่องนี้ เป็นห่วงกันว่าจะเป็นโครงการ "เกลี่ยดิน" คือทำให้คุณภาพลดลงมาเท่าๆ กันหมด ผมเชื่อว่าท่านเลขาฯ ภาวิช คงจะไม่เอาชื่อเสียงของตนมากลบลงหลุมยักษ์ด้านคุณภาพอุดมศึกษานี้ แต่ก็เอามาเล่าเพื่อให้เห็นว่ามีคนในมหาวิทยาลัยที่คุณภาพสูงอยู่แล้ว ไม่สบายใจ
วิจารณ์ พานิช
พิจารณาจากการรับทุน คปก. แล้ว ในประเทศไทยมีมหาวิทยาลัยที่มีขีดความสามารถอยู่ในกลุ่ม มหาวิทยาลัยวิจัย อยู่ ๙ - ๑๐ แห่ง มีความเสี่ยงสูงมากในปัจจุบันที่มหาวิทยาลัยเหล่านี้จะถูกเกลี่ยลงหลุม ทำให้มหาวิทยาลัยไทยอ่อนแอเท่าๆ กันหมดเมื่อมองจากมุมวิจัย มหาวิทยาลัยกลุ่มนี้น่าจะรวมตัวกันเพื่อคิดภาพใหญ่ของการทำหน้าที่มหาวิทยาลัยวิจัยให้แก่ประเทศ และเสนอต่อ public ว่า มีอะไรบ้างที่จะช่วย facilitate การทำหน้าที่นั้น
วิจารณ์ พานิช
๕ พย. ๔๘
โดยหลักการทั้งหมด ถือว่าเป็นแนวความคิดที่ดีครับ แต่พบว่าจากการที่เขียนโครงการกันอย่างฉุกละหุกดังที่กล่าวไว้ข้างต้น พบว่าขณะนี้มีปัญหามากมายเกิดขึ้นจากโครงการดังกล่าว เนื่องจากคณะผู้ร่างไม่ใช่นักการศึกษาที่เชี่ยวชาญเพียงพอ เป็นเพียงนักวิจัยที่เชี่ยวชาญในสาขาตนเอง
ปัญหาที่พบในขณะนี้ชัดเจนก็คือ ทุนศึกษาต่อต่างประเทศ เนื่องด้วยเงินงบประมาณในส่วนนี้ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มการสอบทุนกลยุทธ์เพียงอย่างเดียว ซึ่งจำกัดสาขาในการสอบแต่ละปี... ปัญหาที่จะตามมาชัดเจนก็คือ การกระจุกตัวเป็นรุ่นๆของนักวิจัยในสาขานั้น เช่นให้ทุนสาขาคณิตศาสตร์ทั้งหมด(แม้จะแยกสาขาย่อยออกไปก็ตาม)ในปี 2548 อีกประมาณห้าปีจะไม่มีการให้ทุนของคณิตศาสตร์อีกแน่นอน เพราะได้ให้ไปแล้วในปี 2548 รวมถึงความไม่สำเร็จในการส่งนักเรียนไปศึกษายังมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ซึ่งแม้จะมีการตรวจสอบ Professor จริง แต่ก็ปรากฎว่านักเรียนที่ไปนั้น ไปเพียงเพราะสอบได้ในสาขานั้นและจะต้องไปเรียนในสาขานั้น ให้จบ ก็เท่านั้นเอง โดยขาดความต้องการเรียนรู้ในการเรียนสาขานั้นอย่างแท้จริง... ด้วยเหตุนี้ปัญหาที่ชัดเจนก็คือ นักเรียนที่ต้องการจะไปเรียนคณิตศาสตร์ หรือคอมพิวเตอร์หรือในสาขาสังคมศาสตร์ในปี 2549 เป็นต้นไป... ไม่มีทุนไปเรียนต่างประเทศแน่นอน... บางท่านอาจยกค้านด้วยการกล่าวว่ามีทุนของกระทรวงวิทย์ ของ กพ. และอื่นๆ แต่การยกค้านนี้ไม่เป็นผล... เพราะคณะผู้ทำงานน่าจะทราบถึงข้อจำกัดของทุนเหล่านั้น ทั้งด้านจำนวนและคุณสมบัติ...
โดยภาพรวมเหมือนว่าโครงการนี้จะเป็นโครงการชั้นเลิศ แต่ในทางปฏิบัติ อาจกล่าวได้ว่า ไม่ประสพความสำเร็จเท่าที่ควร... ไม่แน่ใจว่าจะคุ้มกับเงินทุนที่ทุ่มไปทั้งหมดหรือไม่... ทางที่ดีในการจัดสรรหรือพิจารณาครั้งหน้าควรจะหานักการศึกษาในหลากหลายสาขามาทำงานมากกว่าจะจำกัดอยู่ที่เภสัชกรวิจัยเพียงเท่านั้น และควรจะมีระบบการตรวจสอบผลจากการทำงานนี้อย่างรอบคอบด้วย ขอบคุณครับ