ฟ้าอุ้มฝน คนอุ้มท้อง ต้องเตรียมคลอด
ยามฟ้าปลอด เมฆฉ่ำฝน คนเพรียกหา
คนอุ้มธรรม คร่ำภูมิรู้ ภูมิปัญญา
ต้องนำพา มาโอบอุ้ม คุ้มแผ่นดิน
ทันทีที่เสร็จภารกิจนิเทศการสอน 2-3 โรงเรียนในวันนี้ ก็บ่ายมากแล้ว ผมอำลาเพื่อนครูและทีมงาน แยกตัวเดินทางกลับบ้านอย่างเดียวดาย... คราวนี้ก็เป็นโลกส่วนตัวที่ผมเลือกได้ ผมขับรถอย่างไม่รีบร้อน เปิดเพลงดังๆ พอที่จะสลัดภาระหน้าที่ที่ขังอยู่ในสมองออกไป ทำใจให้โล่งแล้วเปิดรับความสุนทรีย์ในเสียงเพลงเสียงดนตรีกับเครื่องเสียงในรถ รถกระบะคันเก่าแก่คู่ชีพของผม ถูกใช้เป็นรถที่ใช้ในราชการก็ได้มานานแล้ว ผมมีนิสัยไม่หยุมหยิมกับระเบียบราชการ สบายใจที่ใช้รถส่วนตัวไปราชการ เบิกค่าน้ำมันได้ก็เบิก เบิกไม่ได้ก็ไม่ได้ติดใจ อยากไปไหนก็ไป อยากแวะไหนก็แวะ ไม่ต้องขนถ่ายเอกสาร สัมภาระในการนิเทศทั้งปวง ไม่มีใครบงการในการเดินทางนอกจากใจตัวเอง ...ขณะที่ขับรถผ่านทุ่งนาโล่งอยู่เพลิน ๆ ฟ้าที่สว่างอยู่ดีๆ ก็หรี่สลัวลง พอมองไปทางขวา ก็แลเห็นฟ้าอุ้มฝนอยู่ใกล้ๆ มันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เห็นบ่อยนัก ...ผมเลยอดใจไม่ไหวที่จะจอดรถแล้วหยิบกล้องออกมากดชัตเตอร์ 2-3 แชะ พอการรับรู้ผ่านเข้าไปถึงใจ อารมณ์กวีก็เกิดขึ้น....เห็นเมฆฝนทะมึนให้นึกถึงบ้านเมืองในระบบธรรมาภิบาล นึกถึงสันติสุขในสังคม ...เรื่อยเปื่อย พอถึงบ้านผมก็ยังอารมณ์ค้าง จึงจับปากกามาเขียนกลอนในสมุดบันทึกเล่มเล็ก ได้ 1 บท....
ภาพโดเด่นบทกลอนไพเราะ
และอย่าลืมมีบทต่อไปน่ะ
-สวัสดีครับ..
-ภาพสวย...สอดแทรก"บทกลอนเพราะๆ " ครับ..
-เป็นการผ่อนคลายที่ดีมาก ๆครับ "ขับรถอย่างไม่รีบร้อน เปิดเพลงดังๆ พอที่จะสลัดภาระหน้าที่ที่ขังอยู่ในสมองออกไป แล้วเปิดรับความสุนทรีย์ในเสียงเพลงเสียงดนตรีกับเครื่องเสียงในรถ" .
-ขอบคุณครับ
สวัสดีครับท่าน สมานเขียว
ผมขับรถอย่างไม่รีบร้อน เปิดเพลงดังๆ พอที่จะสลัดภาระหน้าที่ที่ขังอยู่ในสมองออกไป
ข้อความข้างบนเป็นสิ่งที่ผมทำเป็นประจำครับ
ขอบคุณครับ