การฝึกอบรมทีม (Training for
Teams)
เริ่มจากการวิเคราะห์งานหรือภารกิจ ( Task analysis ) แต่ไม่ได้มุ่งไปที่หน้าที่ของทีม
ต่อมาเมื่อได้ข้อมูลแล้วก็นำมากำหนดวัตถุประสงค์ของการฝึกอบรมทีม (Specify
team training objectives)
การฝึกอบรมทีม (Team Training) ตามทัศนะของ Salas และ Cannon-Bowers (1997) กล่าวว่า การฝึกอบรมทีมีโครงสร้างอยู่ 3 โครงสร้างได้แก่ การคิด
(Thinking) การทำ (Doing) และ ความรู้สึก (Feeling) ตามแผนภาพต่อไปนี้
การประเมินผลงานในทีม (Performance Appraisal in
Teams)
การประเมินผลงานเป็นคนๆหรือประเมินทั้งทีม
ก็มีการวิเคราะห์ที่คล้ายๆกัน
แต่การประเมินทีมจะมีปัจจัยบางอย่างที่การประเมินเป็นคนๆไปจะไม่มี
ส่วนใหญ่การประเมินผลงานเป็นทีมจะมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ที่ออกมา
แต่ความจริงแล้วควรจะให้ความสำคัญกับสิ่งที่เรียกว่า “ปัจจัยด้านกระบวนการ (process factors)” ด้วย
ปัจจัยด้านกระบวนการ
(process
factors) เช่น
·
ระดับความมีส่วนร่วมในทีม : ช่วยออกความเห็น ช่วยกันทำงานดีไหม
·
การติดต่อสื่อสารทางวาจาและลายลักษณ์อักษรภายในทีม :พูดคุยกันแค่ไหน
·
การร่วมมือร่วมใจกัน : ช่วยเหลือกันไหม
·
ระดับความน่าเชื่อถือและเชื่อมั่นต่อกัน : จริงใจต่อกันหรือไม่
·
การแก้ไขปัญหา
และนำทักษะการวิเคราะห์มาใช้งาน : คิดกันเป็นหรือเปล่า
·
ความสัมพันธ์ระหว่างคนในทีม
วิธีการประเมินผลงานของทีม
ทำได้หลายวิธี เช่น
1.
เปรียบเทียบทีมของเรากับทีมของที่อื่น
ซึ่งยากตรงที่ต้องหาทีมที่คล้ายคลึงกัน
2.
เปรียบเทียบกับเป้าหมายของทีมเป็นสำคัญ
และให้การกำหนดตารางเวลาการทำงานมีความสำคัญรองลงมา เพราะ
บางทีมีสิ่งที่ไม่คาดหมายมาขัดขวางให้ทำงานไม่เสร็จตามตารางเวลาได้
3.
ใช้คนกลางเข้ามาประเมิน
โดยให้ที่ปรึกษาภายนอกเข้ามาสังเกตการณ์ทำงานของทีมเรา
4.
นัดคุยหารือกันอย่างไม่เป็นทางการอยางสม่ำเสมอ
เหมาะกับโครงการระยะสั้นๆ
5.
วิธีที่ดีมากคือ
จัดให้มีการสอบถามข่าวคราวว่างานใดกำลังไปได้ดี งานใดมีปัญหา
เพราะทำให้สมาชิกในทีมสามารถเผชิญหน้ากับสิ่งที่ทำได้ดีและความผิดพลาด
6.
การประเมินเป็นรายบุคคล
แต่ทว่าควรจะประเมินวิธีการต่อไปนี้อย่างน้อย
2 วิธี
1.
การให้คะแนนโดยเพื่อนร่วมงาน
2.
การวัดความพึงพอใจของลูกค้า
3.
การประเมินตนเอง
4.
การให้ผู้นำทีมเป็นผู้ประเมิน
5.
การให้ผู้บริหารเป็นผู้ประเมิน
มีอีกวิธีหนึ่งที่คล้ายกับวิธีต่างๆข้างต้นมาก
เรียกว่า 360-degree feedback คือ กระบวนการประเมินผลงานจากแหล่งประเมินหลายๆแห่ง เช่น
ตนเอง,เพื่อนร่วมงาน,หัวหน้างาน เป็นต้น
Credit: M. Edwards
& A. Ewen, "360 Degree Feedback: The Powerful New Model for Employee
Assessment & Performance Improvement," 1994,
Jackson และ
LePine (2003) กล่าวถึง
การมองคนที่เป็นจุดอ่อนในทีมแต่ละสถานการณ์ที่แตกต่างกัน กล่าววคือ
สมาชิกที่ทำงานแย่ เนื่องจากสาเหตุที่มันนอกเหนือการควบคุมของเขาเองได้นั้น เช่น
ทีมจะรู้สึกเห็นใจสมาชิกคนนี้มาก
แต่ถ้าสาเหตุที่คนนั้นควบคุมได้ ทีมจะรู้สึกเห็นใจน้อยกว่า
และถ้าทีมรู้สึกเห็นใจก็จะเข้ามาฝึกคนที่ทำงานแย่คนนั้น
หรือช่วยทำงานให้บางส่วนด้วย แต่ถ้าทีมไม่เห็นใจ ก็ทำเพียงการกระตุ้น
บางทีก็ข่มขู่ด้วย หรือปฏิเสธคนนั้น
ยกตัวอย่างเช่น ผมทำนิทรรศการเสร็จไม่ทันเนื่องจากไฟดับ
เพื่อนๆจะเห็นใจผมมากกว่า และจะเข้ามาช่วย แต่ถ้า ผมทำนิทรรศการไม่เสร็จเพราะว่า
ผมเริ่มต้นทำงานช้า มัวแต่ไปเดินเล่น เพื่อนๆก็จะไม่รู้สึกเห็นใจผม
และก็พูดว่าทำไมผมไม่ทำซักที
และเพื่อนๆก็ไปทำธุระอื่นต่อ.
การอู้งาน (Social loafing)
มีการศึกษาเรื่องนี้ พบว่า
ทีมที่มีขนาดใหญ่นั้น
การอู้งานของสมาชิกบางคนจะไม่ค่อยถูกสังเกตเท่าไหร่
เมื่อให้ความสำคัญกับผลงานของทีมที่ออกมา
คนแต่ละคนจะเชื่อมโยงไม่ค่อยได้ระหว่างสิ่งที่ตนเองลงแรงไป
(เวลา,ความพยายาม,ความสามารถ) กับ รางวัลที่ตนเองได้รับ
คนจะรู้สึกว่าขาดแรงกระตุ้นในการทำงานหนัก
Locke และคณะ
(2001) ระบุว่า มี 3 สิ่งที่ทำให้คนขาดแรงกระตุ้นในการทำงาน ซึ่งนำไปสู่การอู้งาน
ได้แก่
การกินแรง
(Free
riding)
ในบางสถานการณ์
การอู้งานจะมาจากการที่อยากได้ผลประโยชน์จากความพยายามของคนอื่น
เมื่อไม่มีการระบุว่าสิ่งที่สมาชิกแต่ละคนได้ลงแรงไปคืออะไรบ้าง
อีกทั้งรางวัลที่ได้มาก็ share เท่ากันหมด
สิ่งนี้ทำให้ทีมลดความพยายามลง แต่ก็ยังพอใจกับรางวัลที่ share อยู่ ดังนั้นการอู้งานอาจจะเกิดขึ้นเมื่อสมาชิกในทีมเชื่อว่าสิ่งทีลงแรงไปนั้นไม่ได้ถูก
present ออกมาเป็นคนๆไป
ผลของการถูกหลอกใช้
(The
“sucker” effect) คนที่ทำงานหนักกว่าคนอื่น (คนถูกหลอกใช้)
จะลดความพยายามที่จะคาดหวังต่อคนอื่น Mulvey และ Klein
(1998) พบผลของการถูกหลอกใช้ในการทำงานทางวิชาการ เช่น การทำรายงาน
ในนิสิตนักศึกษา
การรู้สึกไม่สำคัญ
(Felt
dispensability)
สมาชิกในทีมจะรู้สึกว่าตนเองไม่สำคัญเมื่อเชื่อว่าตนได้พยายามมากเกินความจำเป็น
เพราะ ตนได้ไปลงแรงกับงานของคนอื่นด้วย
Locke และคณะ
พบว่าการอู้งานทั้ง 3 ลักษณะข้างต้น มีลักษณะร่วมกันได้แก่ 1.
คนตระหนักถึงสิ่งที่ตนเองลงแรงไป 2.คนคาดหวังว่าน่าจะมีอะไรตอบแทนมาบ้างหลังจากที่ตนได้พยายามไป
3.การทำงานเป็นทีมสามารถทำให้การเชื่อมโยงลดลงระหว่าง ความพยายามของคนแต่ละคน,
สิ่งที่ลงแรงไปเพื่อให้ทีมสำเร็จ และผลงานของแต่ละคน
ถึงแม้ว่ากระบวนการทำงานจะสำคัญต่อความสำเร็จเพียงใด
แต่การใส่ใจต่อคนแต่ละคน ในเรื่องของ reward ก็มีความสำคัญด้วย
นอกเหนือจากประเด็นการอู้งานแล้ว
ยังมีประเด็น การประเมินเพื่อนร่วมงาน (Peer appraisal) ซึ่งการประเมินเพื่อนร่วมงานมีอิทธิพลต่อทั้งคนและทีมด้วย Druskat และ Wolff
(1999) พบว่าการพัฒนาการประเมินเพื่อนร่วมงานนี้ดีต่อการทำงานเป็นทีม
ในเรื่องของการสื่อสารกันในทีมและความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในทีม
____________________________________!
รายการอ้างอิง
Alan, M. S., & Gary, J.
(2005). Group and Teamwork. Organizational Behavior:
understanding and manage life at work (pp.205-237). Pearson Prentice
Hall.
Muchinsky, P. M. (2006).
Teams and Teamwork. Psychology Applied to Work. (pp.284-
311). Thomson
สวัสดีค่ะ คุณเว็บมาสเตอร์ คะ
ป้านพขออนุญาต นำภาพในลิงค์นี้ไปเผยแพร่ ที่ http://www.budpage.com/forum/view.php?id=592 นี่นี่ด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ