ยางลบ 3 สี


พูลก็ได้ใช้ยางลบวิเศษ สีแดง สีม่วง และสีเ ทา เช่นเดียวกับทินเข้าไปลบอุดมการณ์ของพวกค่ายเพลงเล็กๆ

         ทิน เป็นหนึ่งใน เด็ก ม.6 ที่กำลังจะเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย  มีความมุ่งมั่นในการเรียน ชอบดนตรี ชอบกีฬา ไม่แตกต่างกับเด็กผู้ชายทั่วไป ทินมีเพื่อนสนิทชื่อ พูล ทั้งคู่เรียนมาด้วยกัน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ชั้นประถม พอมาถึงมัธยมก็ยังเรียนโรงเรียนเดียวกัน บ้านของทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กัน สมัยเด็กๆ ก็วิ่งเล่นด้วยกันแทบทุกวัน เอาเป็นว่าเห็นทินที่ไหนก็ต้องเห็นพูลที่นั่น เห็นพูลที่ไหนก็เห็นทินที่นั่นเช่นกัน               

        ครอบครัวของทั้งสองคนจัดได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดี     เหตุที่ทั้งคู่สนิทกันมากทำให้ครอบครัวของทินและพูลก็สนิทกันไปด้วย                

          ที่โรงเรียนของทินและพูลมีอาจารย์วิชาสังคมศาสตร์ ที่เก่งมากอยู่คนหนึ่งเป็นอาจารย์คนเดียวในโรงเรียนที่จบด็อกเตอร์  ชื่ออาจารย์เชวง      อาจารย์เชวงจบสาขาเศรษฐศาสตร์ ทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก   อาจารย์เชวงถนัดมากในเรื่องระบบทุนนิยม เวลาสอนหนังสือนักเรียนแกจะผูกโยงเนื้อหาให้เข้ามาสู่เรื่องทุนนิยมได้ทุกเรื่องไป  พอวกเข้ามาเรื่องทุนนิยม ซึ่งเป็นเรื่องน่าเบื่อของเด็กมัธยม นักเรียนก็จะเริ่มนั่งสัปหงก บ้างก็นอนหลับไปเลย  มีเพียงแต่ทินกับพูลเท่านั้นที่นั่งฟังอย่างตั้งใจและตอบคำถามสนทนาโต้ตอบกับอาจารย์เชวงได้อย่างสนุกสนาน

        อาจารย์เชวง ประทับใจทั้งทินละพูลเพราะเป็นเด็กที่ขยันเรียนเวลาว่างพักกลางวัน อาจารย์เชวงจะนั่งทานข้าวกับลูกศิษย์พร้อมถ่ายทอดความรู้ที่มีให้กับลูกศิษย์อย่างเต็มที่เกือบทุกวันที่มีเวลาว่าง   นานวันเข้าทินและพูลก็มีความรู้มากขึ้นเกือบเท่าอาจารย์ของเขาแล้ว ทั้งที่เขายังไม่ได้เข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย

                เธอสองคนจะเรียนอะไรต่อล่ะหลังจากเรียนจบม. 6 แล้ว         

ผู้เป็นอาจารย์ถามศิษย์เอกทั้งสองบนโต๊ะอาหารมื้อเที่ยงที่โรงอาหาร

                 ผมจะเรียนกฎหมายครับ   ทินตอบ

                ผมจะเรียนนิเทศครับ   พูลตอบ

ผู้เป็นอาจารย์ทำหน้าสงสัยไม่เข้าใจในตัวศิษย์เอกทั้งสอง

                ไม่มีใครอยากเรียนเศรษฐศาสตร์เลยหรือ อาจารย์จึงถามต่อ         ทินและพูลทำหน้าสงสัยไม่เข้าใจยิ่งกว่าตัวอาจารย์

     เห็นอย่างนั้นผู้เป็นอาจารย์จึงถามต่อเพื่อคลายความสงสัย

                 อาจารย์เห็นเธอทั้งสองคนสนใจเรื่องทุนนิยมมากแล้วทำไมถึงไม่เรียนด้านนี้ต่อ   ศิษย์ทั้งสองถึงบางอ้อว่าทำไมอาจารย์จึงถามเช่นนี้

                 ผมเข้าใจหมดแล้วไม่รู้จะเรียนไปทำไมให้เสียเวลาครับ  ตอบเกือบพร้อมกัน

                อยากได้ความรู้อย่างอื่นบ้างครับ   คราวนี้ตอบพร้อมกัน

               โอ้...บัดนี้ลูกศิษย์ ที่เข้าใจเรื่องทุนนิยมดีแล้วก็ใช้ความคิดแบบทุนนิยมจนมีความคิดก้าวหน้ากว่าอาจารย์แล้ว ซึ่งถือเป็นการประสบผลสำเร็จทางการเรียนมากแล้ว ในระบบการศึกษาของไทย

        เดือนเมษายนอันร้อนระอุ  การสมัครเข้ามหาวิทยาลัยที่เริ่มขึ้น ทิน พูล และเพื่อนๆ ต่างก็สมัครเข้าเรียนตามที่ตนเองตั้งใจไว้(ถ้าคะแนนถึง)

         พูลมึงเลือกที่ไหนบ้างวะ   ทินถามเพื่อน

         กูก็เลือกนิเทศฯ จุฬาฯ อันดับหนึ่งไง แล้วมึงล่ะ     พูลตอบในสิ่งที่ทินรู้อยู่แล้ว

         ก็นิติฯ ธรรมศาสตร์นั่นแหละ    ทินตอบในสิ่งที่เพื่อนรู้แล้วเช่นกัน

          ไม่รู้คนอื่นที่คะแนนน้อยจะทำไง     พูลพูดแกมห่วงเพื่อน

          จะให้ทำอย่างไรได้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เป็นไปตามสิ่งที่เขา   กระทำ ตอนเรียนไม่เรียน สมัครเรียน              พิเศษที่สยามฯ ก็ไปเที่ยวอีกจะให้ได้คะแนนดีได้ไง     ทินพูดถึงเพื่อนๆ  และเด็กทั่วไปในเวลานี้ 

       เพื่อนของทินและพูลหลายคนที่มีคะแนนดี ก็เลือกคณะ  มหาวิทยาลัยที่ตนเองอยากเรียนได้ตามใจหวัง  แต่ก็มีอีกหลายคนที่ต้องเลือก คณะ มหาวิทยาลัยที่ตนเองไม่ชอบ แต่จำเป็นต้องเลือก เพราะอยากเพียงแค่เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐไว้ก่อน   ชอบไม่ชอบไว้ทีหลัง เหมือนกับจีบผู้หญิง   จีบได้ไว้ก่อน ดีไม่ดีไว้ทีหลัง เอาเป็นแฟนไว้ก่อน  ไม่ดีไม่ถูกใจก็เลิกกันได้

        วกกลับมาเรื่องสมัครเข้ามหาวิทยาลัยของทินและพูลกันต่อ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาสำหรับทินและพูล  เข้าได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ทินติดคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ส่วนพูลติดนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ทั้งคู่ดีใจมาก แต่อีกใจหนึ่งก็เสียใจเล็กน้อยที่ต้องจากเพื่อนสนิท เพื่อแยกย้ายกันไปเรียนต่างที่กัน(เหมือนผมและคุณในสมัยมัธยม)

            ดีใจด้วยนะ  ต่อไปคงไม่ค่อยได้เจอกัน    ทิน

           ว่างๆ ก็มาหากูที่คณะก็ได้...คณะกูมีของดีเยอะนะ ท่าทางพูลอยากให้เพื่อนมาที่คณะมาก

           ของดีอะไรวะ   ทิน,พูด,สงสัย

           หญิง...หญิง   พูล,พูด,ยิ้ม

           หญิงไหน? ทิน,พูด,งง

           ผู้หญิง...สวยๆ คณะกูเยอะ  เขาอยากเป็นดาราก็เลยมาเรียน พูล,พูด,เหตุผล

           อยากเป็นดารา เดินสยามฯ ก็ได้...

              ....เห็นสัมภาษณ์ดารากว่าครึ่งเข้าวงการเพราะเดินสยามฯ ทั้งนั้น ทิน,พูด,ความจริง

           อีกครึ่งก็เรียนนิเทศไง...ฮ่าๆ   พูล,ก็พูด,ความจริง

         การเรียนของทั้งสองในมหาวิทยาลัยเริ่มหนักขึ้น แต่พวกเขาก็สามารถผ่านการเรียนชั้นปีหนึ่งด้วยเกรดเฉลี่ยในเกณฑ์ที่ดี   พอขึ้นปี 2 ครอบครัวของทินต้องย้ายไปทำอยู่ที่เชียงใหม่เพราะพ่อของทินจะลงสมัคร ส.ส. จังหวัดเชียงใหม่จึงต้องย้ายที่อยู่ไปเป็นคนเชียงใหม่ 6 เดือนก่อนจึงจะลงสมัครและแจกเงินซื้อเสียงได้(อย่างนี้ไม่แน่ใจ)

           ทำไมพ่อไม่เป็น ส.ส. ที่นี่ล่ะครับ  พ่อก็อยู่กรุงเทพ ฯมาตั้งนานแล้ว    ทิน,เหมือนเด็กถามผู้ใหญ่ทั่วไป

           มันมีโอกาสมากกว่ากรุงเทพฯ น่ะลูก พ่อ,เหมือนผู้ใหญ่ตอบเด็ก

           แต่พ่อไม่ใช่คนเชียงใหม่นะครับ    ทิน,เหมือนเด็ก...

           ใครๆ เขาก็ใช้วิธีนี้แหละลูก...อีกหน่อยลูกก็จะเข้าใจเอง     พ่อ,เหมือนผู้ใหญ่...

           เพราะเงินใช่มั๊ยครับ?   ทิน,เหมือนผู้ใหญ่...และ...พ่อ

         พ่อของทินจึงขายบ้านแล้วซื้อคอนโดมีเนียมที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยให้ทินอยู่  ด้วยที่เรียนคนละที่และบ้านก็ไม่ได้อยู่ใกล้กันแล้ว จึงทำให้ทั้งทินและพูลจึงติดต่อกันน้อยลงและระยะหลังก็ห่างเหินกันไป

         การใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยวคนเดียวในเมืองใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากทั้งกายและใจของทินพอสมควร  ทินใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้สักระยะ เขาก็เกิดปิ๊งสาวคนหนึ่ง เป็นน้องปี 1 คณะบัญชี ชื่อ หยก  หยกเป็นหญิงสาวสวย หุ่นดี ผิวขาว เหมือนเด็กตามเซนเตอร์พอยท์ทั่วไป  ที่มหาวิทยาลัยมีคนมาจีบหยกมากมาย จนหยกกลายเป็นดาวคณะบัญชีไปแบบไร้คู่แข่ง  แต่หยกไม่ยอมเลือกใครซักที  หลายคนมองว่าหยกเป็นคุณหนู  รักนวลสงวนตัว รู้จักวางตัว ไม่มีข่าวกับผู้ชายคนไหนเลย เป็นแม่พระของเพื่อนๆ

             หยก พี่เอกวิศวะก็ดีนะเธอไม่สนใจเหรอ  เพื่อนถามหยก

           ขอเรียนให้จบแล้วค่อยคิดเรื่องนี้ก็ได้  ไม่ต้องรีบร้อนหรอก    หยกตอบเพื่อนด้วยคำตอบประจำ

      กรณีทินก็เช่นกัน ทินแวะไปหาหยกที่คณะทุกชาวเย็น แต่หยกก็ไม่ใจอ่อนสักที  ทินจึงใช้ไม้ตายเพื่อพิชิตใจสาวหยกให้ได้  โดยการขอพ่อซื้อเบนซ์สปอร์ตราคา 5 ล้านมาขับ หลักจากที่พ่อของทินรับคะแนนเสียงท่วมท้นจากชาวล้านนาได้ไม่นาน

        ทั้งๆ ที่คอนโดมีเนียมที่เขาพักนั้นเดินไปเรียนใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ทินขับรถไปมหาวิทยาลัยไม่ถึง อาทิตย์กลับเป็นหยกที่เป็นฝ่ายไปหาทินที่คณะทุกชาวเย็น  สุดท้ายก็ไปหาที่คอนโดฯ  และสุดท้ายก็ไป ส...ว...ร...ร............

      ส่วนพูลก็ทุ่มเทกับการเรียน ที่คณะของพูลมีกิจกรรมบ่อยๆ และพูลก็มักจะถูกเลือกโดยเพื่อนๆ ให้ออกหน้าเวทีอยู่เสมอเพราะพูลเป็นคนที่มีหน้าตาดี เก่งมีความสามารถและฐานะดีเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ

       และคราวนี้ถึงงานประจำปีของคณะ พูลก็ได้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที และในงานนี้ก็มีศิษย์เก่าที่ทำงานด้านการบันเทิงได้เห็นฝีมือของพูลได้ชวนพูลไปเทสต์หน้ากล้องเพื่อเป็นนักร้อง จากนั้นไม่ถึง 3 เดือน เมืองไทยก็มีนักร้องหน้าใหม่ชื่อ พูล  พูลโด่งดังมากในวัยรุ่น งานโชว์ตัว งานคอนเสิร์ต ก็มีเข้ามา แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการเรียนของพูลเลย มีการก่อตั้งแฟนคลับของพูลอย่างยิ่งใหญ่ พูลออกเทปมากี่ชุด ก็ดังทุกชุด

      อีกซีกหนึ่งของกรุงเทพฯ กับความรักของทินที่มีให้กับหยกยังไม่เปลี่ยนแปลง  แต่กับหยกแล้วนักร้องหนุ่มที่ชื่อ พูล เข้ามาในหัวใจของ หยกเต็มทั้งใจไปแล้ว  หยกเป็นหนึ่งในสมาชิกแฟนคลับของพูล อันดับต้นๆ  ซึ่งพูลก็ไม่รู้ว่า หยกเป็นแฟนของทิน ซึ่งทินก็ไม่เคยบอกหยกว่าพูลเป็นเพื่อนทิน และทินก็ไม่รู้ว่าแฟนตัวเองปันใจให้นักร้องหนุ่มเพื่อนรักหมดแล้ว เพราะมัวแต่ทำงานให้พรรคการเมืองเดียวกับพ่อ ที่เขาจะเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคนี้หลังเรียนจบ

       2 ปี ต่อมาในงานรับปริญญาของหยก ซึ่งทินและพูลก็เรียนจบไปแล้วก่อนหน้านี้  ในงานนี้หยกเชิญพูลมาด้วยและเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทินและพูลได้มาเจอกัน และต่างก็รู้ความจริงเรื่องหยก  หยกร้องให้โวยวายแสดงความเสียใจและปฏิเสธทุกข้อหา ต่างกับทินและพูลทั้งคู่นิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับว่า เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้หญิงในยุคปัจจุบัน  เขาคุยกันแบบผู้ใหญ่บอกลากันและบอกลาหยกด้วย   ไม่นานก็ได้ข่าวว่าหยกได้แต่งงานไปกับลูกรัฐมนตรีแล้ว(เฮ้อ...)

     25 ปี ผ่านไป เมืองไทยเปลี่ยนไปมาก ชีวิตของทินและพูลก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน  ทินกลายไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่ เป็นพรรคที่มีการรวบรวมสมาชิกจากพรรคอื่นๆ ที่ยุบพรรคเข้ามารวมกับพรรคของทิน พรรคเล็กพรรคน้อยที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง ในสมัยที่ทินยังเด็กๆ เดี๋ยวนี้อุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคเหล่านั้นไม่รู้ว่าหายไปไหนหมดเพียงแค่ทินใช้ยางลบวิเศษ สีแดง สีม่วง และสีเทา  ลบอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคเล็กพรรคน้อยนั้นได้หมดสิ้น

      พูลก็ไม่ต่างกันหลังจากที่ออกเทปเขาก็เปลี่ยนผันตัวเองมาทำงานเบื้องหลัง   มาเป็นโปรดิวเซอร์และเป็นเจ้าของค่ายเพลงตามแบบฉบับของวงการบันเทิง  สมัยที่พูลเป็นนักร้องเองก็มีค่ายเพลงเล็กๆ น้อยๆ ที่ขายเพลงที่ตนเองชอบ  ไม่ขายเพลงตามตลาด ซึ่งก็เป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ฟังเพลงในบ้านเราอยู่บ้าง แต่เมื่อพูลได้เป็นเจ้าของค่ายเพลง พูลก็ได้ใช้ยางลบวิเศษ สีแดง สีม่วง และสีเ ทา เช่นเดียวกับทินเข้าไปลบอุดมการณ์ของพวกค่ายเพลงเล็กๆ เหล่านั้นเข้ามาเป็นสมาชิกร่วมในค่ายเพลงใหญ่ของตัวเองเกือบหมดจนแทบไม่เหลือทางเลือกให้ผู้ฟังเลย

      มาถึงตรงนี้อาจมีบางคนชื่นชมในความสามารถของทินและพูล อีกหลายคนอาจกำลังคิดที่จะเจริญรอยตามทินและพูล  แต่คุณรู้ไหมครับทั้งทินและก็พูล เขาไม่ได้ดีใจหรือภูมิใจแม้แต่น้อย

      ทำไม?

       ทำไมหรือครับ ก็เพราะพวกเขาเองก็กำลังถูก ยางลบอีกหลากหลายสีจากต่างประเทศ ค่อยๆ ลบอุดมการณ์ของเขาทีละตัว ทีละบรรทัดและวันหนึ่งอุดมการณ์ของเขาคงไม่มีเหลือ      ทั้งทินและพูลเขาก็ได้แต่หวังไว้ว่า พวกอนาคตของชาติอย่างคุณคุณที่อ่านประวัติเขามาทั้งหมดนี้จะไม่ถูกยางลบ 3 สี ลบอุดมการณ์ ลบความฝัน ลบความเป็นคนในตัวคุณออกไปได้

 

คำสำคัญ (Tags): #เรื่องสั้น
หมายเลขบันทึก: 54551เขียนเมื่อ 14 ตุลาคม 2006 10:10 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:06 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

 ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่มีใครสามารถลบ ความเป็นตัวตน ของเราไปได้หรอก ถ้าเราไม่เต็มใจ :)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท