ทิน เป็นหนึ่งใน เด็ก ม.6 ที่กำลังจะเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีความมุ่งมั่นในการเรียน ชอบดนตรี ชอบกีฬา ไม่แตกต่างกับเด็กผู้ชายทั่วไป ทินมีเพื่อนสนิทชื่อ พูล ทั้งคู่เรียนมาด้วยกัน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ชั้นประถม พอมาถึงมัธยมก็ยังเรียนโรงเรียนเดียวกัน บ้านของทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กัน สมัยเด็กๆ ก็วิ่งเล่นด้วยกันแทบทุกวัน เอาเป็นว่าเห็นทินที่ไหนก็ต้องเห็นพูลที่นั่น เห็นพูลที่ไหนก็เห็นทินที่นั่นเช่นกัน
ครอบครัวของทั้งสองคนจัดได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดี เหตุที่ทั้งคู่สนิทกันมากทำให้ครอบครัวของทินและพูลก็สนิทกันไปด้วย
ที่โรงเรียนของทินและพูลมีอาจารย์วิชาสังคมศาสตร์ ที่เก่งมากอยู่คนหนึ่งเป็นอาจารย์คนเดียวในโรงเรียนที่จบด็อกเตอร์ ชื่ออาจารย์เชวง อาจารย์เชวงจบสาขาเศรษฐศาสตร์ ทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก อาจารย์เชวงถนัดมากในเรื่องระบบทุนนิยม เวลาสอนหนังสือนักเรียนแกจะผูกโยงเนื้อหาให้เข้ามาสู่เรื่องทุนนิยมได้ทุกเรื่องไป พอวกเข้ามาเรื่องทุนนิยม ซึ่งเป็นเรื่องน่าเบื่อของเด็กมัธยม นักเรียนก็จะเริ่มนั่งสัปหงก บ้างก็นอนหลับไปเลย มีเพียงแต่ทินกับพูลเท่านั้นที่นั่งฟังอย่างตั้งใจและตอบคำถามสนทนาโต้ตอบกับอาจารย์เชวงได้อย่างสนุกสนาน
อาจารย์เชวง ประทับใจทั้งทินละพูลเพราะเป็นเด็กที่ขยันเรียนเวลาว่างพักกลางวัน อาจารย์เชวงจะนั่งทานข้าวกับลูกศิษย์พร้อมถ่ายทอดความรู้ที่มีให้กับลูกศิษย์อย่างเต็มที่เกือบทุกวันที่มีเวลาว่าง นานวันเข้าทินและพูลก็มีความรู้มากขึ้นเกือบเท่าอาจารย์ของเขาแล้ว ทั้งที่เขายังไม่ได้เข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย
“ เธอสองคนจะเรียนอะไรต่อล่ะหลังจากเรียนจบม. 6 แล้ว”
ผู้เป็นอาจารย์ถามศิษย์เอกทั้งสองบนโต๊ะอาหารมื้อเที่ยงที่โรงอาหาร
“ ผมจะเรียนกฎหมายครับ ” ทินตอบ
“ ผมจะเรียนนิเทศครับ ” พูลตอบ
ผู้เป็นอาจารย์ทำหน้าสงสัยไม่เข้าใจในตัวศิษย์เอกทั้งสอง
“ ไม่มีใครอยากเรียนเศรษฐศาสตร์เลยหรือ “ อาจารย์จึงถามต่อ ทินและพูลทำหน้าสงสัยไม่เข้าใจยิ่งกว่าตัวอาจารย์
เห็นอย่างนั้นผู้เป็นอาจารย์จึงถามต่อเพื่อคลายความสงสัย
“อาจารย์เห็นเธอทั้งสองคนสนใจเรื่องทุนนิยมมากแล้วทำไมถึงไม่เรียนด้านนี้ต่อ “ ศิษย์ทั้งสองถึงบางอ้อว่าทำไมอาจารย์จึงถามเช่นนี้
“ ผมเข้าใจหมดแล้วไม่รู้จะเรียนไปทำไมให้เสียเวลาครับ” ตอบเกือบพร้อมกัน
“ อยากได้ความรู้อย่างอื่นบ้างครับ” คราวนี้ตอบพร้อมกัน
โอ้...บัดนี้ลูกศิษย์ ที่เข้าใจเรื่องทุนนิยมดีแล้วก็ใช้ความคิดแบบทุนนิยมจนมีความคิดก้าวหน้ากว่าอาจารย์แล้ว ซึ่งถือเป็นการประสบผลสำเร็จทางการเรียนมากแล้ว ในระบบการศึกษาของไทย
เดือนเมษายนอันร้อนระอุ การสมัครเข้ามหาวิทยาลัยที่เริ่มขึ้น ทิน พูล และเพื่อนๆ ต่างก็สมัครเข้าเรียนตามที่ตนเองตั้งใจไว้(ถ้าคะแนนถึง)
“ พูลมึงเลือกที่ไหนบ้างวะ ” ทินถามเพื่อน
“ กูก็เลือกนิเทศฯ จุฬาฯ อันดับหนึ่งไง แล้วมึงล่ะ “ พูลตอบในสิ่งที่ทินรู้อยู่แล้ว
“ ก็นิติฯ ธรรมศาสตร์นั่นแหละ “ ทินตอบในสิ่งที่เพื่อนรู้แล้วเช่นกัน
“ ไม่รู้คนอื่นที่คะแนนน้อยจะทำไง “ พูลพูดแกมห่วงเพื่อน
“ จะให้ทำอย่างไรได้ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เป็นไปตามสิ่งที่เขา กระทำ ตอนเรียนไม่เรียน สมัครเรียน พิเศษที่สยามฯ ก็ไปเที่ยวอีกจะให้ได้คะแนนดีได้ไง “ ทินพูดถึงเพื่อนๆ และเด็กทั่วไปในเวลานี้
เพื่อนของทินและพูลหลายคนที่มีคะแนนดี ก็เลือกคณะ มหาวิทยาลัยที่ตนเองอยากเรียนได้ตามใจหวัง แต่ก็มีอีกหลายคนที่ต้องเลือก คณะ มหาวิทยาลัยที่ตนเองไม่ชอบ แต่จำเป็นต้องเลือก เพราะอยากเพียงแค่เข้ามหาวิทยาลัยของรัฐไว้ก่อน ชอบไม่ชอบไว้ทีหลัง เหมือนกับจีบผู้หญิง จีบได้ไว้ก่อน ดีไม่ดีไว้ทีหลัง เอาเป็นแฟนไว้ก่อน ไม่ดีไม่ถูกใจก็เลิกกันได้
วกกลับมาเรื่องสมัครเข้ามหาวิทยาลัยของทินและพูลกันต่อ ซึ่งก็ไม่มีปัญหาสำหรับทินและพูล เข้าได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ทินติดคณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ส่วนพูลติดนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ทั้งคู่ดีใจมาก แต่อีกใจหนึ่งก็เสียใจเล็กน้อยที่ต้องจากเพื่อนสนิท เพื่อแยกย้ายกันไปเรียนต่างที่กัน(เหมือนผมและคุณในสมัยมัธยม)
“ ดีใจด้วยนะ ต่อไปคงไม่ค่อยได้เจอกัน “ ทิน
“ ว่างๆ ก็มาหากูที่คณะก็ได้...คณะกูมีของดีเยอะนะ “ ท่าทางพูลอยากให้เพื่อนมาที่คณะมาก
“ ของดีอะไรวะ “ ทิน,พูด,สงสัย
“ หญิง...หญิง “ พูล,พูด,ยิ้ม
“ หญิงไหน? “ ทิน,พูด,งง
“ ผู้หญิง...สวยๆ คณะกูเยอะ เขาอยากเป็นดาราก็เลยมาเรียน “ พูล,พูด,เหตุผล
“ อยากเป็นดารา เดินสยามฯ ก็ได้...
....เห็นสัมภาษณ์ดารากว่าครึ่งเข้าวงการเพราะเดินสยามฯ ทั้งนั้น “ ทิน,พูด,ความจริง
“ อีกครึ่งก็เรียนนิเทศไง...ฮ่าๆ “ พูล,ก็พูด,ความจริง
การเรียนของทั้งสองในมหาวิทยาลัยเริ่มหนักขึ้น แต่พวกเขาก็สามารถผ่านการเรียนชั้นปีหนึ่งด้วยเกรดเฉลี่ยในเกณฑ์ที่ดี พอขึ้นปี 2 ครอบครัวของทินต้องย้ายไปทำอยู่ที่เชียงใหม่เพราะพ่อของทินจะลงสมัคร ส.ส. จังหวัดเชียงใหม่จึงต้องย้ายที่อยู่ไปเป็นคนเชียงใหม่ 6 เดือนก่อนจึงจะลงสมัครและแจกเงินซื้อเสียงได้(อย่างนี้ไม่แน่ใจ)
“ ทำไมพ่อไม่เป็น ส.ส. ที่นี่ล่ะครับ พ่อก็อยู่กรุงเทพ ฯมาตั้งนานแล้ว “ ทิน,เหมือนเด็กถามผู้ใหญ่ทั่วไป
“ มันมีโอกาสมากกว่ากรุงเทพฯ น่ะลูก “ พ่อ,เหมือนผู้ใหญ่ตอบเด็ก
“ แต่พ่อไม่ใช่คนเชียงใหม่นะครับ “ ทิน,เหมือนเด็ก...
“ ใครๆ เขาก็ใช้วิธีนี้แหละลูก...อีกหน่อยลูกก็จะเข้าใจเอง “ พ่อ,เหมือนผู้ใหญ่...
“ เพราะเงินใช่มั๊ยครับ? “ ทิน,เหมือนผู้ใหญ่...และ...พ่อ
พ่อของทินจึงขายบ้านแล้วซื้อคอนโดมีเนียมที่อยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยให้ทินอยู่ ด้วยที่เรียนคนละที่และบ้านก็ไม่ได้อยู่ใกล้กันแล้ว จึงทำให้ทั้งทินและพูลจึงติดต่อกันน้อยลงและระยะหลังก็ห่างเหินกันไป
การใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยวคนเดียวในเมืองใหญ่ก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากทั้งกายและใจของทินพอสมควร ทินใช้ชีวิตอยู่คนเดียวได้สักระยะ เขาก็เกิดปิ๊งสาวคนหนึ่ง เป็นน้องปี 1 คณะบัญชี ชื่อ หยก หยกเป็นหญิงสาวสวย หุ่นดี ผิวขาว เหมือนเด็กตามเซนเตอร์พอยท์ทั่วไป ที่มหาวิทยาลัยมีคนมาจีบหยกมากมาย จนหยกกลายเป็นดาวคณะบัญชีไปแบบไร้คู่แข่ง แต่หยกไม่ยอมเลือกใครซักที หลายคนมองว่าหยกเป็นคุณหนู รักนวลสงวนตัว รู้จักวางตัว ไม่มีข่าวกับผู้ชายคนไหนเลย เป็นแม่พระของเพื่อนๆ
“ หยก พี่เอกวิศวะก็ดีนะเธอไม่สนใจเหรอ “ เพื่อนถามหยก
“ ขอเรียนให้จบแล้วค่อยคิดเรื่องนี้ก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อนหรอก “ หยกตอบเพื่อนด้วยคำตอบประจำ
กรณีทินก็เช่นกัน ทินแวะไปหาหยกที่คณะทุกชาวเย็น แต่หยกก็ไม่ใจอ่อนสักที ทินจึงใช้ไม้ตายเพื่อพิชิตใจสาวหยกให้ได้ โดยการขอพ่อซื้อเบนซ์สปอร์ตราคา 5 ล้านมาขับ หลักจากที่พ่อของทินรับคะแนนเสียงท่วมท้นจากชาวล้านนาได้ไม่นาน
ทั้งๆ ที่คอนโดมีเนียมที่เขาพักนั้นเดินไปเรียนใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที ทินขับรถไปมหาวิทยาลัยไม่ถึง อาทิตย์กลับเป็นหยกที่เป็นฝ่ายไปหาทินที่คณะทุกชาวเย็น สุดท้ายก็ไปหาที่คอนโดฯ และสุดท้ายก็ไป ส...ว...ร...ร............
ส่วนพูลก็ทุ่มเทกับการเรียน ที่คณะของพูลมีกิจกรรมบ่อยๆ และพูลก็มักจะถูกเลือกโดยเพื่อนๆ ให้ออกหน้าเวทีอยู่เสมอเพราะพูลเป็นคนที่มีหน้าตาดี เก่งมีความสามารถและฐานะดีเป็นที่ยอมรับของเพื่อนๆ
และคราวนี้ถึงงานประจำปีของคณะ พูลก็ได้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที และในงานนี้ก็มีศิษย์เก่าที่ทำงานด้านการบันเทิงได้เห็นฝีมือของพูลได้ชวนพูลไปเทสต์หน้ากล้องเพื่อเป็นนักร้อง จากนั้นไม่ถึง 3 เดือน เมืองไทยก็มีนักร้องหน้าใหม่ชื่อ พูล พูลโด่งดังมากในวัยรุ่น งานโชว์ตัว งานคอนเสิร์ต ก็มีเข้ามา แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อการเรียนของพูลเลย มีการก่อตั้งแฟนคลับของพูลอย่างยิ่งใหญ่ พูลออกเทปมากี่ชุด ก็ดังทุกชุด
อีกซีกหนึ่งของกรุงเทพฯ กับความรักของทินที่มีให้กับหยกยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่กับหยกแล้วนักร้องหนุ่มที่ชื่อ พูล เข้ามาในหัวใจของ หยกเต็มทั้งใจไปแล้ว หยกเป็นหนึ่งในสมาชิกแฟนคลับของพูล อันดับต้นๆ ซึ่งพูลก็ไม่รู้ว่า หยกเป็นแฟนของทิน ซึ่งทินก็ไม่เคยบอกหยกว่าพูลเป็นเพื่อนทิน และทินก็ไม่รู้ว่าแฟนตัวเองปันใจให้นักร้องหนุ่มเพื่อนรักหมดแล้ว เพราะมัวแต่ทำงานให้พรรคการเมืองเดียวกับพ่อ ที่เขาจะเข้าไปเป็นสมาชิกพรรคนี้หลังเรียนจบ
2 ปี ต่อมาในงานรับปริญญาของหยก ซึ่งทินและพูลก็เรียนจบไปแล้วก่อนหน้านี้ ในงานนี้หยกเชิญพูลมาด้วยและเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ทินและพูลได้มาเจอกัน และต่างก็รู้ความจริงเรื่องหยก หยกร้องให้โวยวายแสดงความเสียใจและปฏิเสธทุกข้อหา ต่างกับทินและพูลทั้งคู่นิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับว่า เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้หญิงในยุคปัจจุบัน เขาคุยกันแบบผู้ใหญ่บอกลากันและบอกลาหยกด้วย ไม่นานก็ได้ข่าวว่าหยกได้แต่งงานไปกับลูกรัฐมนตรีแล้ว(เฮ้อ...)
25 ปี ผ่านไป เมืองไทยเปลี่ยนไปมาก ชีวิตของทินและพูลก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน ทินกลายไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่ยิ่งใหญ่ เป็นพรรคที่มีการรวบรวมสมาชิกจากพรรคอื่นๆ ที่ยุบพรรคเข้ามารวมกับพรรคของทิน พรรคเล็กพรรคน้อยที่มีอุดมการณ์ทางการเมือง ในสมัยที่ทินยังเด็กๆ เดี๋ยวนี้อุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคเหล่านั้นไม่รู้ว่าหายไปไหนหมดเพียงแค่ทินใช้ยางลบวิเศษ สีแดง สีม่วง และสีเทา ลบอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคเล็กพรรคน้อยนั้นได้หมดสิ้น
พูลก็ไม่ต่างกันหลังจากที่ออกเทปเขาก็เปลี่ยนผันตัวเองมาทำงานเบื้องหลัง มาเป็นโปรดิวเซอร์และเป็นเจ้าของค่ายเพลงตามแบบฉบับของวงการบันเทิง สมัยที่พูลเป็นนักร้องเองก็มีค่ายเพลงเล็กๆ น้อยๆ ที่ขายเพลงที่ตนเองชอบ ไม่ขายเพลงตามตลาด ซึ่งก็เป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ฟังเพลงในบ้านเราอยู่บ้าง แต่เมื่อพูลได้เป็นเจ้าของค่ายเพลง พูลก็ได้ใช้ยางลบวิเศษ สีแดง สีม่วง และสีเ ทา เช่นเดียวกับทินเข้าไปลบอุดมการณ์ของพวกค่ายเพลงเล็กๆ เหล่านั้นเข้ามาเป็นสมาชิกร่วมในค่ายเพลงใหญ่ของตัวเองเกือบหมดจนแทบไม่เหลือทางเลือกให้ผู้ฟังเลย
มาถึงตรงนี้อาจมีบางคนชื่นชมในความสามารถของทินและพูล อีกหลายคนอาจกำลังคิดที่จะเจริญรอยตามทินและพูล แต่คุณรู้ไหมครับทั้งทินและก็พูล เขาไม่ได้ดีใจหรือภูมิใจแม้แต่น้อย
ทำไม?
ทำไมหรือครับ ก็เพราะพวกเขาเองก็กำลังถูก ยางลบอีกหลากหลายสีจากต่างประเทศ ค่อยๆ ลบอุดมการณ์ของเขาทีละตัว ทีละบรรทัดและวันหนึ่งอุดมการณ์ของเขาคงไม่มีเหลือ ทั้งทินและพูลเขาก็ได้แต่หวังไว้ว่า พวกอนาคตของชาติอย่างคุณคุณที่อ่านประวัติเขามาทั้งหมดนี้จะไม่ถูกยางลบ 3 สี ลบอุดมการณ์ ลบความฝัน ลบความเป็นคนในตัวคุณออกไปได้
แวะมาอ่านครับ
hey! my bro.
สู้ๆนะ (V)
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ไม่มีใครสามารถลบ ความเป็นตัวตน ของเราไปได้หรอก ถ้าเราไม่เต็มใจ :)