ในการประชุมสภามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิท่านหนึ่งแนะนำว่า เรื่องการเข้าสู่ตำแหน่งวิชาการของอาจารย์ ฝ่ายบริหารควรมีการจัดการแบบ proactive / supportive ไม่ใช่ดูอยู่เฉยๆ
ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง ว่านี่คือระบบ Human Resources Development อย่างหนึ่ง และเป็นเรื่องที่ฝ่ายบริหารของทุกมหาวิทยาลัยควรถือเป็นหน้าที่ ที่จะจัดระบบที่เอื้อให้อาจารย์ขยัน และมีไฟในการทำงานตามหน้าที่ และเมื่อทำงานแล้ว ก็มีผลต่อความเจริญก้าวหน้าทางวิชาการของตน ซึ่งก็จะมีผลต่อความเจริญรุ่งเรืองของสถาบันด้วย
กฎเกณฑ์กติกาในการนับเวลาการทำงาน ในการประเมินคุณภาพของผลงานวิชาการ เป็นเรื่องที่ควรมีการทบทวนครั้งใหญ่ เพราะการปฏิบัติหน้าที่อาจารย์มหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ ๒๑ ไม่เหมือนในศตวรรษที่ ๒๐ บทบาทที่ต้องเปลี่ยนไปในลักษณะจากหน้ามือเป็นหลังมือคือหน้าที่สอน ต้องเปลี่ยนไปเป็น “สอนแบบไม่สอน” คือเปลี่ยนไปทำหน้าที่ “คุณอำนวย” (facilitator) ของการเรียนรู้ ของ นศ. และอาจารย์ต้องจับกลุ่มกันฝึกฝนตนเอง เรียนรู้ร่วมกันผ่านการปฏิบัติ ในการทำหน้าที่ออกแบบการเรียนรู้ และเอื้ออำนวยหรือเป็นโค้ช ให้แก่การเรียนรู้ของศิษย์ จากกิจกรรมจับกลุ่มฝึกฝนกันเอง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า PLC (Professional Learning Community) ควรมีผลงานวิจัยการเรียนรู้ออกมาเผยแพร่ และเป็นผลงานวิชาการประเภท “วิชาการด้านการเรียนรู้” และผู้บริหารพึงจัดกฎเกณฑ์กติกาให้มีวิธีประเมินคุณภาพ และเกณฑ์การยอมรับผลงานวิชาการประเภทนี้
นอกจากนั้น พึงจัดระบบการยอมรับ/ยกย่อง ผลงานวิชาการรับใช้สังคมด้วย
วิจารณ์ พานิช
๒๒ มิ.ย. ๕๖
กฎเกณฑ์กติกาในการนับเวลาการทำงาน ในการประเมินคุณภาพของผลงานวิชาการ เป็นเรื่องที่ควรมีการทบทวนครั้งใหญ่ เพราะการปฏิบัติหน้าที่อาจารย์มหาวิทยาลัยในศตวรรษที่ ๒๑
คงจำเป็นที่จะต้องทบทวนการประเมินผลงานทางวิชาการกันอย่างจริงจัง และต้องมีเกณฑ์ที่เป็นที่ยอมรับ รวมทั้งการหาผู้ประเมินที่ไม่มีอคติและมีความเหมาะสม อย่างน้อยต้องมาจากศาสตร์เดียวกันหรือใกล้เคียง ซึ่งเป็นเรื่องที่มีปัญหามาตลอด ในปัจจุบันตามกฏเกณฑ์ให้มีการประเมินการสอนของผู้เสนอผลงานเพื่อตำแหบ่งทางวิชาการ เท่าที่ทราบ บางแห่งให้ผ่านตลอด บางแห่งเอา รศ. สายครุศาสตร์คนหนึ่งประเมินแทบทุกคนไม่ว่าจะมาจากสาขาใดแล้วมักมีปัญหาให้คะแนนประเมินต่ำกว่าคนอื่นโดยทั่วไป บางครั้งก็ไม่ผ่าน แน่นอนที่เจ้าตัวบอกว่ามีหลักเกณฑ์ แต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของคนส่วนมาก บางแห่งก็ตั้งกรรมการที่เป็น รศ. หรือ ศ. เพื่อประเมิน กรณีให่ผ่านก็ไม่เกิดปัญหานักแม้จะมีผู้สงสัยในความเหมาะสม แต่ถ้าไม่ผ่านขึ้นมาจะเป็นปัญหาอย่างมาก เช่นมีอาจารย์ท่านหนึ่งเสนอผลงานเพื่อขอ ศ. ด้านประวัติศาสตร์มีผลงานมากมาย เจ้าตัวก็โดดเด่นพอควรเป็นที่รู้จักของนักวิชาการด้านนี้พอควร เป็นภาคีราชบัณฑิต แต่ถูกประเมินการสอนไม่ผ่าน ไม่น่าเกิดขึ้นเลย เขาสอนมาตลอดชีวิต ผู้ประเมินเป็นอาจารย์ในสาขาอื่น ๆ เช่นภาษาไทย หลักสูตร ฟิสิกส์ เป็นต้น บุคคลเหล่านี้ไปประเมินการสอนทางด้านประวัติศาสตร์ คำถามคือกรรมการสอนเก่งสอนดีกว่าเขาหรือ
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ