ชีวิตที่พอเพียง : ๑๙๕๗. เดินทัวร์เมืองเก่า ไฮเดลเบิร์ก เยอรมันนี



          เย็นวันที่๑๓ มิ.ย. ๕๖ คณะดูงาน DFC 3 มีกำหนดเดินชมเมือง ไฮเดลเบิร์ก ๒ ชั่วโมง  แต่เอาเข้าจริงๆ มีเวลาชมเพียงชั่วโมงเศษๆ  เพราะเข้าใจว่า สมาชิกคนอื่นๆ ไม่สนใจประวัติศาสตร์  อยากไป ช็อปปิ้งมากกว่า

          หลังจากกลับมาที่โรงแรม ผมบันทึกไว้ใน iPad สั้นๆ (เพราะไม่มีเวลา) ดังนี้

          ไกด์นำเที่ยวเมือง ไฮเดลเบิร์ก ชื่อ Andreas Reimelt  อธิบายสนุกและได้ความรู้ดีมาก  สมกับเป็นไกด์แนะนำโดยการท่องเที่ยว  ได้รู้ว่าเป็นเมืองมหาวิทยาลัย มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกในเยอรมันนี (คือ ม. ไฮเดลเบิร์ก)ในปี 1386  แต่เป็นเมืองเล็ก  ประชากรเพียง ๑.๔แสน  ในจำนวนนี้ ๔ หมื่นเป็น นศ. หรือนักวิจัยในมหาวิทยาลัย  เมืองนี้เป็นเมืองแห่งปัญญา  คุณไรเมลท์ บอกว่ามหาวิทยาลัยนี้ได้เงินสนับสนุนการก่อสร้างโดยเงินยิวไม่ทางตรงและทางอ้อม ทั้งตอนก่อตั้ง และตอนสร้างอาคารสีขาว  อาคารต่างๆ ในเมืองเป็นที่พักหรือที่บริการ นศ. ทั้งสิ้น ห้องเช่าพัก นศ. แพงมากห้องขนาด ๒๐ ตร.ม. ค่าเช่าเดือนละ ๖๐๐ ยูโร 


          เรานัดพบไกด์ เวลา ๑๗ น. ที่ริมถนนเลียบฝั่งแม่น้ำ Neckar  มีนักท่องเที่ยวมาเมืองนี้ถึงปีละ ๔.๕ ล้านคน  เขาใช้คำว่า เป็นเมืองที่โรแมนติค  แต่เมืองไม่เก่ามาก อายุไม่เกิน ๓๐๐ ปี  ก่อสร้างใน Baroque Style  ไม่มีอาคารไม้เหลืออยู่เพราะโดนไฟไหม้หมดจากสงคราม  เมืองนี้ไม่มีอุตสาหกรรม  ไม่มีทรัพยากรอื่นๆ นอกจากสมองคน

          Red Ox Inn เป็นหอพัก นศ. ที่เก่าที่สุดแห่งหนึ่ง   Mark Twain เคยมาพัก  ราชินีองค์สุดท้ายของออสเตรียก็เคยมาพัก 

          ปราสาทไฮเดลเบิร์ก เป็นตัวดึงดูดบุคคลสำคัญมาที่นี่  เพื่อมาชมศิลปะของพระราชวังโบราณนี้

          ผมได้เข้าใจประวัติศาสตร์การต่อสู้ระหว่างศาสนาคาทอลิค กับโปรเตสแตนท์ ในยุโรปว่าในวันที่ 26 เม.ย. 1518 Dr.Martin Lutherเดินทางมาที่เมืองนี้ ตามคำสั่งของโป๊ปที่โรม  เพราะครึ่งปีก่อนหน้านี้ เขาเขียนหนังสือเสนอการปฏิรูปศาสนาคริสต์  โป๊ปต้องการให้เขาไปเรียนรู้กับพระนิกายออกัสตินที่มหาวิทยาลัย ไฮเดลเบิร์ก เพื่อจะได้กล่าวขอโทษความคิดผิดๆ ของตนก่อนหน้านี้  ซึ่ง มาร์ติน ลูเธอร์ ไม่เคยกล่าวขอโทษ  แต่ยิ่งทำให้ลัทธิโปรเตสแตนท์ยิ่งก่อตัวมั่นคงยิ่งขึ้น  จนในที่สุดร้อยละ ๙๐ ของพลเมืองไฮเดลเบิร์กนับถือศาสนา โปรเตสแตนท์

          สี่ร้อยกว่าปีมาแล้ว พระคาทอลิคองค์หนึ่งจาก ดุสเซนดอร์ฟ ได้รับแต่งตั้งให้มีเป็นสังฆราชที่ ไฮเดลเบิร์ก เมืองที่คนร้อยละ ๙๐ นับถือศาสนาโปรเตสแตนท์  และสั่งให้สร้างอนุสาวรีย์อันสวยงามที่จตุรัส Kornmarkt  เป็นรูปพระแม่มารีอุ้มทารกพระคริสต์ และแขนซ้ายของทารกจีซัสชี้ลงเบื้องล่างไปยังมังกร ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย ซึ่งหมายถึงพวกโปรเตสแตนท์  นี่คือฝีมือปฏิบัติการทางการเมืองอันเร้นลับของพวกเจซูอิต ซึ่งเป็นสายลับของโป๊ป  นี่เล่าตามการตีความของคุณไรเมลท์ นะครับ  เท็จจริงผมไม่ทราบ   แต่วิธีเล่าของเขามีสีสันมาก  เขาบอกว่าเขาจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก และมีอาชีพนี้จนเกษียณ จึงมาเป็นไกด์  

          ประวัติศาสตร์ และสิ่งก่อสร้างที่ดำรงอยู่ของ ไฮเดลเบิร์ก บอกเราว่า ในอดีตมีการต่อสู้ระหว่างศาสนาคาทอลิกกับโปรเตสแตนท์  จนมาสู่สภาพอดทนซึ่งกันและกันในปัจจุบัน  กว่าคนในแต่ละสังคมจะอดทนความแตกต่างกัน ก็ต้องผ่านการสู้รบฆ่าฟันสูญเสียมากมายหลายชั่วคน  ไม่ทราบว่าในเมืองไทยเรายังอยู่ระหว่าง learning curve หรือเปล่า  เราเรียนรู้หรือไม่  

          ไฮเดลเบิร์ก เป็นเมืองที่อยู่บนพื้นที่ราบลุ่มน้ำ Neckar  แต่จะเห็นว่าปราสาทอยู่บนเขา  คงจะเพื่อหนีน้ำ เพราะที่ผนังอาคารหนึ่งใกล้ถนนเลียบแม่น้ำ มีป้ายบอกระดับน้ำท่วมใหญ่ในปีต่างๆ  ที่สูงสุดคือปี ค.ศ. 1784 ระดับน้ำสูงสุดวันที่ ๒๗ ก.พ.  ณ จุดนั้นสูงกว่า ๓ เมตร

          เราไปถ่ายรูปหมู่ที่สะพานเก่า ได้วิวแม่น้ำ Neckar  คุณไรเมลท์เล่าให้เราทราบว่า ผู้ครองนคร ไฮเดลเบิร์ก คือ Prince Elector by Rhine  ผมเขียนบันทึกนี้ที่บ้าน โดยการฟังเสียงบรรยายของไกด์ ที่บันทึกไว้โดย iPod mini  ประกอบกับดูรูปที่ถ่ายไว้ และค้นเรื่องโดย Google เพื่อทำความเข้าใจเพิ่มขึ้น   โดยวิธีนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้เรื่องการเมืองและการศาสนาในยุโรปสมัยหลายร้อยปีก่อน  และรู้เกร็ดชีวิตผู้คน  โดยคุณไรเมลท์เล่าถึง Prince Elector bei Rhine ท่านหนึ่ง มีลูกถึง ๑๕๒ คน  และกำหนดกติกาให้ผู้คนรู้จักบังคับใจตนเอง (abstinence) โดยไม่ดื่มไวน์เกินวันละ ๗ ขวด  ทั้งนี้ไม่รวมเบียร์

          ในศตวรรษที่ ๑๙ ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัย ไฮเดลเบิร์ก พักที่บ้านพักฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ Neckar  นศ. จะข้ามสะพานเก่านี้ไปหาอาจารย์ เพื่อขอเรียนวิชา

          เราเดินผ่านบริเวณเมืองเก่า ซึ่งถนนแคบ  และอาคารเป็นหอพัก นศ. เกือบทั้งสิ้น  เพราะมหาวิทยาลัยไม่มีหอพัก  นศ. ต่างชาติที่มากที่สุดคือจีน  ที่ ๒ โรมาเนีย   การบรรยายที่มหาวิทยาลัยทั้งหมดเปิดให้คนทั่วไปเข้าฟังได้   

          คุณไรเมลท์ เล่าผลการวิจัยเอกสารโบราณ  คำสอนของศาสนาอิสลาม กับของศาสนาคริสต์เหมือนกันแบบลอกกันมา 

          เราเดินผ่านพิพิธภัณฑ์ สถานที่เกิดของประธานาธิบดีคนแรก Friedrich Ebertเกิดที่นี่ในปี 1871  ได้รู้ว่า ชื่อรถ Porche คือ Audi ในภาษาละติน  ได้เห็นว่าสมัยโบราณคนอยู่กันอย่างแออัดอย่างไร  ในตึกที่มีลานว่างตรงกลางนี้ มีคนอาศัยอยู่ถึง ๔๐ ครอบครัว  และเพื่อเพิ่มพื้นที่เช่าอาศัย จึงทำชั้นลอยเพิ่มขึ้น  เพราะอาคารสมัยก่อนเพดานสูงมาก  เราได้เข้าไปดูบ้านของ ปธน. อีเบิร์ด ก็อยู่แบบมีชั้นลอย 

          ที่จตุรัสมหาวิทยาลัย คุณไรเมลท์เล่าประวัติการก่อตั้งมหาวิทยาลัย ไฮเดลเบิร์ก ในคริสตศตวรรษที่ ๑๔  ซึ่งฝรั่งเศสเจริญกว่าเยอรมัน และมีโป๊ปของตนเอง  คนเยอรมันไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ซอบอนน์ ที่ฝรั่งเศส  แต่ไม่สะดวก  Prince Elector bei Rhine จึงขออนุญาตจากโป๊ปที่โรม ขอตั้งมหาวิทยาลัยที่ไฮเดลเบิร์ก ก็ได้รับอนุญาต  แต่ Prince Elector มีเงินไม่พอ

          สมัยนั้นเป็นยุคกาฬโรคระบาดในยุโรป  แต่ไม่ระบาดในไฮเดลเบิร์ก เพราะมีน้ำสะอาดไหลมาให้ใช้จากภูเขา  และในเมืองมีชุมชนยิว ที่มีวัฒนธรรมล้างมือก่อนสวด และก่อนกินอาหาร ทำให้ไม่เกิดโรคติดต่อ  จึงมีคนยิวอพยพเข้ามาอยู่มากขึ้น  คนเหล่านี้ต้องจ่ายค่าเข้าเมือง  เงินเหล่านี้แหละที่นำมาใช้ก่อสร้างมหาวิทยาลัย  มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์กจึงได้ชื่อว่าสร้างโดยเงินยิว

          ต่อมาในศตวรรษที่ ๑๙ มี นศ. อเมริกันมาเรียนที่มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก  แล้วต่อมาได้เป็นทูตอเมริกันประจำเยอรมันนี้ช่วงระว่างสงครามโลกครั้งที่ ๑  กับสงครามโลกครั้งที่ ๒  และหาเงินสนับสนุนการก่อสร้างตึกใหม่ให้แก่มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก ได้ ๕๐๐,๐๐๐ ดอลล่าร์  ซึ่งเทียบกับสมัยนี้ก็ราวๆ ๓๐ - ๔๐ ล้านยูโร  จึงได้สร้างอาคารใหม่เป็นตึกเรียน  นศ. ไม่ต้องข้ามสะพานไปเรียนที่บ้านอาจารย์อย่างสมัยก่อน   อาคารนี้เปิดใช้ในปี ๑๙๓๑  พอถึงปี ๑๙๓๓ ก็เป็นยุคมืดของเยอรมัน ภายใต้ลัทธินาซี ๑๒ ปี  มหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่สนับสนุนนาซี  เพราะผู้นำนาซีระดับรองๆ หลายคนเรียนจบจากที่นี่   

          เงินอเมริกัน ๕๐๐,๐๐๐ ดอลล่าร์ ที่บริจาคสร้างอาคารใหม่สำหรับเป็นห้องบรรยาย มาจากนักธุรกิจอเมริกัน ซึ่งเป็นยิวเกือบทั้งสิ้น  ดังนั้นจะเห็นว่า การก่อสร้างใหญ่ของมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์กทั้งสองยุค มาจากเงินยิวทั้งสิ้น  นี่คือการตีความของคุณไรเมลท์ นะครับ

          เขาบอกว่า ในสงครามโลกครั้งที่ ๒  ไฮเดลเบิร์กไม่โดนทิ้งระเบิดเลย

          จำไม่ได้ว่าหยิบแผ่นพับ Sights Heidelberg และ Heidelberg Palaceจากที่ไหน  เอามาอ่านประกอบที่บ้าน ทำให้เข้าใจเมืองนี้มากขึ้น   และรู้ว่านักท่องเที่ยวที่มาเมืองไฮเดลเบิร์กต้องไปชมพระราชวังโบราณนี้   แต่คณะที่ผมร่วมเดินทาง ไปเรียนรู้เรื่องมหาวิทยาลัยเป็นหลัก  เที่ยวเป็นของแถม  เราไม่ได้ไปที่วัง และได้ชมเมืองเก่า ไฮเดลเบิร์กเพียงส่วนเดียว   เข้าใจว่า ดร. นงเยาว์ตัดสินใจตัดเวลาเดินฟังไกด์บรรยายลง เพราะคนในกลุ่มส่วนใหญ่ไม่สนใจ

          ของแถมที่ผมได้คือ วิธีฟังไกด์บรรยายและใช้ iPod mini บันทึกเสียงไว้ด้วย  ทำได้สะดวกและเสียงชัดเจนดีมาก  รวมทั้งได้เสียงบรรยากาศของกลุ่มในช่วงนั้นมาทั้งหมด  เอามาเปิดฟังสบายๆ ที่บ้าน  ได้ความรู้ส่วนที่ฟังไม่ทันอีกมาก  รวมทั้งค้นจากอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย


วิจารณ์ พานิช

๑๗ มิ.ย. ๕๖




Red Ox Inn หอพักนักศึกษาที่มีชื่อเสียง



Karlsplatz หรือ Carl's Square อาคารตรงหน้าคือ Academy of Science
ส่วนอาคารบนเขาคือ Heidelberg Palace



Kornmakt มีรูปปั้นพระแม่มารีอุ้มกุมารเยซู



รูปปั้นที่คุณไรเมลท์ตีความว่าเป็นการประกาศทางอ้อมว่า
ศาสนาคาทอลิกเหนือโปรเตสแตนท์



อาคารศาลาว่าการเมือง ด้านหน้าเป็นตลาด



ถนนในเมืองเก่าแคบทั้งสิ้น



ถนนสู่สะพานเก่า



ถ่ายจากบนสะพาน ไปทางเมืองเก่า



ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ เน็คคา เป็นบ้านของอาจารย์



สะพานเก่า



จตุรัสมหาวิทยาลัย



เหล้า Schnaps ผลิตในครัวเรือน


 


หมายเลขบันทึก: 543370เขียนเมื่อ 23 กรกฎาคม 2013 11:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 กรกฎาคม 2013 11:55 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ดีคับอาจารย์ดูงานได้เที่ยวด้วยครับ

ภาพสวยครับ

ไปลุยมาแล้วค่ะ ณ ตรงนี้ เมื่อปี 2011 ค่ะ 

ขอบคุณภาพและเร่องราวนะคะ เหมือนได้ย้อนกลับไปท่องเที่ยวอีกครั้งค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท