ข้อคิด คติธรรมและเรื่องราวจากท่านเจ้าอาวาสวัดหาดใหญ่ใน


 

รู้สึกจะ 2-3 ปีมาแล้ว ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
ท่านวิทยากรรูปหนึ่ง คือท่านเจ้าอาวาสวัดหาดใหญ่ใน ซึ่งให้ความเมตตามาบรรยาย
ในห้องสัมมนาซึ่งต้องให้ลูกศิษย์แบกหามท่านใส่รถเข็นมา
แต่เนื้อหาการบรรยายนั้น สนุกมาก จนข้าพเจ้าถอดความไว้ตามที่จะทรงจำได้
หลังจากกลับมาแล้วต้องทำรายงานส่งให้ต้นสังกัด
อยากให้ทุกท่านลองอ่านดูเผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษาของบ้านเรา
และเป็นประโยชน์ต่อเราๆท่านๆทั้งหลายตามสมควร!!

 

ทัศนะการสอนเพื่อพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม : มุมมองด้านศาสนาพุทธ
โดยพระมหาสมโภชน์ กิจจสาโร
(ท่านพระมหาสมโภชน์กิจจสาโร  ปัจจุบันจำพรรษา ณวัดหาดใหญ่สิตาราม และเพิ่งได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระพิศาลปริยัตยาภรณ์  ซึ่งในชั้นต่อไปจะขอแทนชื่อท่านว่า “ท่านเจ้าคุณ”)


 อะไรคือคุณธรรม??   อะไรคือจริยธรรม???

  ในทัศนะของพุทธศาสนาคุณธรรมคือสภาวะอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจของบุคคลและเมื่อประพฤติออกไปในทางกายเรียกคุณธรรม

ท่านเจ้าคุณได้บรรยายโดยลักษณะบอกเล่าสู่กันฟังเหมือนผู้ใหญ่เล่านิทานให้เด็กฟัง มีน้ำเสียงเนิบๆ
แต่สามารถดึงดูดให้ผู้ฟังได้ติดตามอย่างไม่เบื่อหน่าย และสอดแทรกมุขตลกเป็นระยะๆ
มีเนื้อเรื่องดังนี้

 “อาตมาเติบโตมาในชนบท บ้านนอกสุดเขตอำเภอ  ในวัยเด็กไม่เคยรู้เลยว่าคุณธรรม จริยธรรมคืออะไร จนกระทั่งอายุล่วงกาลผ่านไปจึงรู้ว่า “คุณครู”เป็นผู้ปลูกฝังคุณธรรมให้”

“ในสมัยก่อนอาตมาต้องเดินไปโรงเรียน ระยะทางไกลมาก จำได้ว่าต้องขี่หลังพี่ชายไป  เดินไปไกล..รองเท้าไม่มีใส่โรงเรียนที่อาตมาเรียนนั้นมีชั้นเดียว 4 ห้องมีครูสองคน คือครูใหญ่กับครูน้อย  อาตมาเรียนอยู่ 3 ปี เจอครูใหญ่ 2 หน ครูน้อยเป็นผู้สอนทั้งหมด ห้องเรียนเป็นโรงโล่งๆ ไม่มีฝากั้นห้อง นั่งรวมกันหมด"

"พอเช้าขึ้นมา ครูสอน ป.2 ก่อน  ให้พี่ป.4 สอนป.1 พอสอนป.2 เสร็จครูไปสอนพี่ป.4
ให้ป.3สอนป.1 ต่อเสร็จแล้วครูไปสอนป.3 พี่ป.4ดูป.2 สอนอย่างนี้ทุกวัน

 อยู่มาวันหนึ่ง อาตมาจำได้แม่นยำมาก
เรื่องมีอยู่ว่าก่อนหน้าจะเกิดเหตุการณ์นี้ไม่นานนัก  ทางโรงเรียนสั่งห้ามเด็กผู้ชายไม่ให้เอาหนังสะติ๊กไปโรงเรียน
เพราะนักเรียนเที่ยวยิงหนังสะติ๊กไปถูกผนังโรงเรียนแตกเสียหาย(เข้าใจว่าเป็นกระเบื้อง/ผู้เขียน)
 ทีนี้เช้าของวันนั้น ซึ่งทุกเช้าครูจะสอนเรื่องอะไรต่อมิอะไรหน้าเสาธง หลังเคารพธงชาติ
พอเสร็จเรื่องที่ครูพูดแล้ว ครูก็ถามว่าใครมีอะไรจะพูด จะถามบ้างมั้ย

 ก็มีเด็กผู้หญิงคนนึงยกมือขึ้น

  “ครูขาเมื่อวานนี้ตอนกลับบ้าน ค่ะ  หนูถูกหมากัดกระโปรงขาด แต่ไม่มีใครช่วยหนูเลย
เด็กหญิงคนนั้นฟ้องครูต่อไป

  “มีพวกเด็กผู้ชายอยู่
แต่พวกนั้นวิ่งหนีหมดเลยค่ะ”

 ครูเลยถามนักเรียนทั้งหมดว่า  “ผู้ชายคือใคร?”

นักเรียนบางคนก็ตอบว่า  “ผู้ชายคือครูครับ”
ครูก็ถามว่า
แล้วผู้ชายหมายถึงอะไร..ก็ไม่มีใครตอบ

"อาตมาจำได้แม่นว่าครูของอาตมาชื่อครูสมบูรณ์"

ครูอธิบายต่อไปว่า “ผู้ชายคือผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องผู้หญิง  จำไว้นะว่า
ผู้ชายคือผู้ที่ทำหน้าที่ปกป้องผู้หญิง

 “แต่นี้ต่อไปให้พวกเราที่เป็นผู้ชายทุกคนดูแลผู้หญิง
ตอนมาโรงเรียนและตอนกลับจากโรงเรียน ถ้าเจอหมาให้ไล่หมา  ถ้าเจอคนเมา เปรียบเหมือนเจอหมา
  “แต่อย่าไปไล่ ให้พาเด็กผู้หญิงซ่อนตัวแอบไว้ข้างทาง
รอจนกว่าคนเมาจะพ้นไป”

ครูยังบอกต่อไปอีกว่า “ครูอนุญาตให้พวกเราทุกคนเอาหนังสะติ๊ก(ที่ก่อนหน้านี้ครูสั่งห้ามไม่ให้เอามาโรงเรียน)
มาโรงเรียนได้” 

พอสิ้นเสียงครู
เราทุกคนต่างดีใจเฮกันทั้งโรงเรียน ข้อนี้ทำให้อาตมาจำได้แม่น และรู้สึกดีใจมาก
ประทับใจว่าสามารถนำหนังสะติ๊กมาโรงเรียนได้
อยู่โรงเรียนนี้ได้ไม่นาน
ก็ย้ายโรงเรียนไปโรงเรียนใหม่ ในใจก็คิดว่าโรงเรียนใหม่ต้องใหญ่และดีกว่าโรงเรียนเก่า
สมัยก่อน อาตมาต้องเดินไประยะทาง ๗ -๘ กิโล

 โรงเรียนใหม่นี้อยู่สุดชายแดนอำเภอ มี ๒ ชั้น
สอนถึงป.๗ มีครูสองคนเหมือนโรงเรียนเดิม ครูใหญ่กับครูน้อย อาตมาเรียนอยู่ ๒ ปี  พบครูใหญ่ ๒ ครั้ง


"ครูที่โรงเรียนใหม่นี้ชื่อครูสุชาติ  อาตมาเรียนถึงชั้นป.๗ เกิดเหตุไม่สบาย
ครูสุชาติของอาตมานี้ ขี่จักรยานดั้นด้นมาเยี่ยมครูถึงบ้าน ถามว่า
“วันจันทร์ไปโรงเรียนไหวมั้ย” ตอนนั้นจำได้ว่า
อาตมาเป็นไข้สูงมาก ในใจอยากจะหยุดยาวต่ออีกสักสองสามวัน
แต่ด้วยความที่ครูอุตส่าห์มาเยี่ยมทำให้รู้สึกดีใจ ชุ่มชื่นใจ บอกไม่ถูก
ทำให้อาตมาหายป่วยเร็วขึ้น ไปโรงเรียนได้ในวันรุ่งขึ้น
นี้เป็นความทรงจำที่รู้สึกดีใจและประทับใจในความรักที่ครูมีต่ออาตมา"


 พอเรียนจบป. ๗ อาตมาโตขึ้นแล้ว
ก็ทำงาน สมัยก่อนจำได้ว่าพาเพื่อนไปชกมวย เจอพี่เลี้ยงนักมวยซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้าม
ปรากฏว่าเป็นครูของอาตมาเอง 
ครูเดินมาตบไหล่ บอกว่า
“ถ้านักมวยเธอแพ้เธอต้องเลี้ยงข้าวครู”  อาตมารู้สึกดีใจมากที่ได้เจอครู รักครูมาก

"ทุกวันนี้ อาตมาไหว้พระสวดมนต์
นั่งสมาธิแผ่เมตตาให้ในหลวง ราชินี พ่อแม่ ครูบาอาจารย์
ในใจไม่เคยลืมครูของอาตมาเลย"

เคยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักพุทธ(สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ) ถามอาตมาว่า
สอนให้มีคุณธรรม จริยธรรม สอนอย่างไร

 

อาตมาตอบไปว่า “สอนตามยถากรรม”

หมายถึงสอนตามหลักพระพุทธเจ้า  สอนตามหลักพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร

 สัพพะปาปัสสะอะกะระณัง  การไม่ทำบาปทั้งปวง

  กุสะลัสสูปะสัมปะทา  การทำกุศลให้ถึงพร้อม

  สะจิตตะปะริโยทะปะนัง  การชำระจิตของตนให้ผ่องแผ้ว 

  เอตัง
พุทธานะสาสะนัง
  ธรรม ๓ อย่างนี้    เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

ท่านเจ้าคุณได้บรรยายต่อไปอีกว่าชีวิตของมนุษย์ควรเป็นอย่างไร?

เหตุที่ทำให้เรียนสำเร็จ
 ๑.มีความเพียร
 ๒.มีสติปัญญา แสวงหา
๓.มีบุญเก่า

เหตุที่ทำให้เรียนไม่สำเร็จ
๑. ยินดีในการพูดคุย
๒. ยินดีในการหลับ
๓. คิดถึงงานที่ทำค้างไว้
๔. อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องลุกไปหาคนอื่น

 

รู้ได้อย่างไรว่าคนไหนควรสอนอย่างไร?


“อาตมามีหลักอยู่ว่า
เณรทุกคนที่อาตมาดูแล ให้เขียนเรียงความ ๑ เรื่อง เฉพาะเณร ชื่อเรื่องคือ “ความชั่วของข้าพเจ้า” ความชั่วที่ว่านี้
อาตมาถามเณรว่า ใครที่เคยทำชั่วกับผู้พระคุณ ไม่ว่าจะคิด พูด ทำ ในเขียนออกมาเอาเรื่องจริง
 
เพราะอุปสรรคของชีวิตคือความไม่ดี 
 ให้บอกเล่าความไม่ดีของตัวเองออกมา
จะทำให้อุปสรรคในชีวิตหมดไป 
"เมื่อได้ข้อมูลของแต่ละคนแล้วจึงเริ่มสอน เพราะแต่ละคนสอนไม่เหมือนกัน
แม้ว่าจะอยู่ในวัยเดียวกัน

  ถึงตอนนี้ท่านเจ้าคุณยกตัวอย่างว่า


พ่อแม่หลายคนไม่เคยทราบเลยว่าเด็กคิดจะฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่ายายมาแล้ว
เด็กหลายคนคิทำร้ายบุพการีผู้ให้กำเนิด หรือผู้ที่เลี้ยงดูตนเองมา
เด็กหลายคนลงมือโดยเตรียมการซ่อนอาวุธไว้ข้างบ้าน ซ่อนมีดไว้บ้าง  ที่ทราบเพราะเรียงความจากเด็ก
เวลาพระเทศน์สอนว่าให้กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เณรจะยกมือแย้งเลยว่า
“พ่อแม่ผมไม่เห็นจะมีพระคุณดังที่หลวงพ่อสอนเลย” ดังนี้เป็นต้น

ท่านเจ้าคุณยกตัวอย่างเรื่องจริงให้ฟังว่า 

  “มีตากับยายพาเด็กมาฝาก  ตอนที่พบเด็กนั้น เด็กไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
อาตมาจะถามอะไรเด็ก ตากับยายจะตอบแทนเด็กหมด ทุกเรื่อง เลยต้องให้ตากับยายออกไปก่อน

  เมื่อออกไปแล้วอยู่กันสองคนกับเด็กอาตมาก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ
ทีนี้เด็กตอบ

  คำถามแรกเลย
  ถามเด็กว่า

  "เป็นไงบ้าง"
เด็กตอบว่า 
“พ่อชอบด่า”

 อาตมาถาม “ทำไมถึงด่า”
 เด็กว่า  “ผมไปเล่นเกมส์  พ่อชอบมาตาม”

  “แล้วไง” อาตมาถาม เด็กตอบว่า
“ผมไม่เคยเล่นเกมส์จบเลย!!
ทุกครั้งเลย!”

 เด็กพูดออกมาเองทีนี้ พูดว่า

"ผมเลยวางแผนไว้สองแผน
กะว่าถ้าพ่อมาตามอีก จะเอาไม้ตีพ่อ!!"(ระหว่างทางที่พ่อมาตามกลับบ้านให้ไปกินข้าว)

  ผมเตรียมไม้ไว้
แล้วพ่อก็มาตาม ผมเลยเอาไม้ตีพ่อ

"พอพ่อลุกขึ้นได้
ตบผมคว่ำลงไป   แล้วตากับยายก็พาผมมาที่วัด"

  อาตมาว่าถูกพ่อตบก็หายกันแล้วทีนี้
(เข้าข้างเด็กไว้ก่อน เพื่อให้เด็กพูดความจริง)

ทีนี้อาตมาถามต่อไปว่า ถ้าถูกพ่อตบอีกแล้วไง
เด็กบอกว่า “ก็บอกแล้วมีสองแผน”

 “ถ้าพ่อตบอีกจะเอาปืนยิง”

  “ถ้ายิงพ่อตาย
แล้วหนูจะไปอยู่ที่ไหน ใครจะทำกับข้าวให้หนูกิน” อาตมาถามต่อไป

  เด็กตอบว่า
“ที่ที่ผมจะไปอยู่เขามีข้าวให้กิน”

  ถามไปเรื่อยๆ
แล้วค่อยๆสอน ท่านเจ้าคุณสอนเด็กว่า
ที่พ่อไปตามหนูมากินข้าวนั้นเพราะหนูเป็นลูกพ่อ จะให้พ่อไปตามหมาที่ไหนมากินข้าว

 ท่านเจ้าคุณสอนว่า
เกมส์คอมพิวเตอร์นั้น หลวงพ่อเรียกมันว่าเครื่องทำลายความเป็นมนุษย์
ทีหลังหนูจะไปเล่นเกมส์นี้ ให้ขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ว่า

  “คุณแม่คุณพ่อครับ
ผมขอไปทำลายความเป็นมนุษย์สัก ๒ ชั่วโมงครับ”

  “เมื่อเราพูดอย่างนี้ทุกครั้งๆ
ต่อไปพ่อกับแม่จะเลิกห่วงหนูเพราะนานไป ๆ หนูจะไม่ใช่มนุษย์” อาตมาว่า

  การสอนของท่านเจ้าคุณนั้นใช้วิธีการถามไปเรื่อยๆ จนเด็กตอบหมดแล้วจึงค่อยๆสอน
(ผู้เขียนคิดเอา!)

ท่านเจ้าคุณเล่าต่อไปอีกว่า
"มีคุณแม่คนนึงมาปรึกษาเรื่องลูกอยากจะให้ลูกเก่ง  อาตมาแนะนำไปว่า ลองโง่ดูแล้วลูกจะฉลาดขึ้น!"

"โยมลองโง่ดู ถามลูกให้ลูกช่วยค้นคว้า ลูกไปหาข้อมูลมา
ต่อมาลูกจะค่อยๆซึมในความรู้ทั้งหลาย 
สมมติอยากให้ลูกรู้เรื่องคุณธรรม ศีลธรรม เรื่องกการปฏิบัติ ก็ออกอุบายให้บอกกับลูกว่า
นี่แน่ะ ลูกจ๋า แม่อยากปฏิบัติธรรมแต่ไม่มีข้อมูลเลย
หนูช่วยไปค้นคว้าให้แม่หน่อยได้มั้ย 
สมัยนี้นะโยม ค้นคว้าอะไรง่ายมาก เดี๋ยวลูกจะไปค้นมาให้เอง

  อาตมามีเรื่องเล่าให้ฟังคือ
เด็กผู้หญิงคนนึง บ้านอยู่อำเภอรัตภูมิ มาถามปัญหาทุกเช้าวันอาทิตย์
มาพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป มาถึงก็มาบอกอาตมาว่า
“หนูจะมาขอโอกาสถามปัญหา ฟังธรรมะ”
แล้วชวนเพื่อนๆมาประมาณ 40 คน ปัญหาที่ถามก็เช่น มีวิธีดำรงชีวิตอย่างไร
เด็กคนนี้อยู่กับคุณยาย ยายชอบพาไปวัด มีคนนับถือคุณยายมาก
เด็กเล่าให้ฟังว่ายายพูดจาดีมาก แต่ฟังแล้วไม่เข้าใจความหมายที่คุณยายพูด
เลยพากันมาหาอาตมา

  ยังมีอีกเรื่องนึงคือ
มีเด็กคนนึงไม่สบาย ปิดประตูห้อง กินแต่น้ำไม่กินข้าวปลาอาหาร ไม่ไปโรงเรียน
พ่อแม่พาไปรดน้ำมนต์ ปรึกษาจิตแพทย์ ทำทุกวิถีทางแล้วไม่หาย เลยมาปรึกษาอาตมา

  อาตมาก็ฝากคำถามไปวันละคำถาม
ถามว่า
“เวลาไม่กินข้าวหิวมั้ย” เด็กตอบว่า หิว

วันต่อมาถามว่า นอนทั้งวันปวดเมื่อยมั้ย
ปวดหัวมั้ย

วันต่อมาถามอีกว่าคิดแต่เรื่องเดิมๆ
วนเวียนแต่เรื่องเดิมๆใช่มั้ย เด็กจะค่อยๆตอบ   อาการค่อยๆดีขึ้น
เมื่อดีขึ้นแล้วพ่อแม่จึงค่อยพามาที่วัด จากนั้นจึงค่อยๆสอนว่า “คนที่รวยความคิด
คิดแต่เรื่องเดิมๆ ชีวิตจะไม่เจริญ”

อาตมาก็ใช้วิธีตั้งคำถาม “เธอจะเรียนไปทำไม”

  เด็กว่า  “เรียนเอาความรู้”
  “เอาความรู้ไปทำไม?”

    “เอาไปใช้”

    “ใช้ตอนไหน ใช้ตอนเรียนจบใช่มั้ย?”

(ความจริงเราใช้ความรู้ทุกครั้งที่มีโอกาส  ท่อนนี้ท่านเจ้าคุณกล่าวกับผู้เข้าสัมมนา)

"อาตมาสอนสอนคุณธรรม จริยธรรม โดยตั้งคำถาม ถามไปเรื่อยๆ ในส่วนตัวของคนเป็นครูนั้น
ก็ควรทำตนเหมือนอย่างสอนผู้อื่น ผู้ที่ทำตนดีแล้วย่อมฝึกผู้อื่นได้  ความรู้ที่มอบให้ศิษย์ไปใช้
แต่บางอย่างไม่เอื้ออำนวยให้ก็ไม่ต้องให้

  ที่วัดนี้มีนักเรียนมาทำกิจกรรมบ่อยมาก  ครูชอบพามา มาติดต่อว่าจะเอานักเรียนมาบำเพ็ญประโยชน์
อาตมาก็ให้  อนุญาตให้พามา  พอมาถึงครูก็จัดการให้นักเรียนนั่ง แล้วก็อธิบาย เด็กก็ไม่ฟัง ครูก็ต้องเอ็ดตะโร

  “นี่เธอเงียบๆทำเสียชื่อโรงเรียนหมด!!”
  ครูก็ปล้ำดุเด็กจนเหนื่อย เสร็จแล้วก็อธิบาย
"เอ้า!วันนี้จะกวาดลานวัดกัน   ครูก็จัดการแจกไม้กวาด เด็กก็กวาดใหญ่
 
ครูเห็นก็บอก “อ้าวเธอ หยุดๆ กวาดอย่างนี้ใช้ไม่ได้  ต้องกวาดอย่างนี้
ว่าแล้วครูก็กวาดสาธิตให้เด็กดู ครูแต่ละคนอยู่กันคละทิศ ต่างคนต่างกวาด
อาตมานั่งตาปริบ ๆ อยู่ ก็เลยบอกว่า "ไม่เป็นไรโยม   เดี๋ยวพระจัดการเอง!"
เสร็จแล้วเรียกเณรมา
  เณรสาธิตให้ดูแล้ว
เด็กนักเรียนบอกว่า "อ๋อ
! "   ว่าแล้วก็จัดการกวาด
เป็นอันเรียบร้อย
 
ตอนหลังเวลาที่โรงเรียนไหนจะมาทำกิจกรรมที่วัด อาตมาสงสารครู
เลยบอกว่าส่งมาแต่เด็ก ครูไม่ต้องมา อาตมากลัวว่าครูจะเหนื่อย สงสารครู
ครูไม่ต้องมาตอนหลังที่วัดจัดการหมด ครูก็ไม่เหนื่อย

  ที่วัดอาตมาจะเรียนอย่างไรก็ได้ นั่ง นอน ยืน เดิน แต่ขอให้ฟัง เมื่อฟังแล้วให้ตอบคำถามได้
เป็นอันว่าใช้ได้   มีนักเรียนมาทำกิจกรรมกันอย่างนี้  คุยกันอาตมาไปถึง ก็เรียกเด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังมา
มาถึงก็กระซิบถามว่า คุยอะไรกัน น่าสนุกจัง แล้วให้เด็กไปนั่งให้เรียบร้อยที่ข้างหน้าแถว
จากนั้นก็เรียกเด็กผู้ชายที่อยู่ข้างหลังมา ก็กระซิบถามอีกว่าคุยอะไรกัน
น่าสนุกจัง แล้วให้ไปนั่งข้างหน้า ทำอย่างนี้สัก ๓ - ๔ คน
ปรากฏว่าเด็กทั้งหมดที่กำลังเล่น กำลังเจี๊ยวจ๊าวเริ่มหยุด เริ่มเงียบ!
อาตมาก็พูดบอกว่าเห็นมั้ย หลวงพ่อมักจะเรียกเด็กที่อยู่ข้างหลังทั้งนั้น
ปรากฏว่าสักพักเดียว เด็ก ๆ มาแย่งนั่งข้างหน้ากันหมด นั่งกันเงียบ
!

  "จะเล่าให้โยมฟังอีกเรื่องนึง...
คือ ที่วัดของอาตมามีบาตรเหล็กเยอะมาก เป็นบาตรที่ไม่ได้ใช้
แล้วก็ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ อีก จำนวนมากที่ญาติโยมนำมาถวาย (เรื่องนี้วิทยากรถามว่า
รู้สึกอย่างไรที่มีข่าวพบศพทารกสองพันกว่าศพ ท่านตอบว่ารู้สึกเฉยๆ
เพราะที่วัดหาดใหญ่สิตาราม มีคนนำบาตรเหล็กมาถวายเยอะมาก ต้องเก็บไว้จนล้น)
เพราะมีความเชื่อว่าบาตร 1 ใบเท่ากับ 1 ชีวิต หมายถึง เมื่อมีคนทำแท้งเขาจะเอาบาตรกับผ้าขนหนูมาถวายเพื่อทำสังฆทานให้เด็กที่ถูกทำแท้งไป!

  เมื่อมีคนถามอาตมาว่ารู้สึกอย่างไร
อาตมาไม่ได้ตอบ แต่จะขอถามกลับไปว่า ตั้งครรภ์คืออะไร
?

  ครรภ์ มาจาก คัพพะ แปลว่า ห้อง หรือ ท้อง “คัพโภธร”
แปลว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในท้อง ถ้าเจ้าของห้องไม่ยินยอมให้ชีวิตนั้นอยู่ในท้อง ถามว่าคนๆ นั้นใช่แม่มั้ย?

สุดท้าย(ในภาคเช้า) ขออัญเชิญพระราชปรารภในรัชกาลที่ ๕
ที่มีถึงองค์สมเด็จกรมพระวชิรญาณวโรรส  เกี่ยวกับการจัดการศึกษาของพระสงฆ์ตอนหนึ่งว่า

“...เรื่องการศึกษาขอให้ทราบ
  ขอให้คิดกันมากๆ ถึงรากเหง้าของการศึกษาในเมืองไทย.....
  ทำให้ปริวิตกต่อไปว่า
  คนที่รู้มากก็โกงพิสดารมากขึ้น....”

ภาคบ่าย ท่านเจ้าคุณบรรยายต่อในหัวข้อ

ครูในทัศนะของพระพุทธศาสนา

 ผู้ที่เอาความรักรดราดลงไปในดวงใจศิษย์  ผู้นั้นได้ชื่อว่า ครู

การเอาความรัก รดราด ลงไปหมายถึงอะไร?

  ๑.ผู้ป้องกันภัยให้ศิษย์พ้นจากอันตราย
ชี้นำให้เห็นโทษ เห็นคุณต่างๆ ที่จะเกิดในชีวิต
 ๒.ผู้เพ่งโทษน้อยใหญ่ของลูกๆ ชี้ว่าอย่างนี้ไม่ดี ทำแล้วเป็นอย่างไร
ถ้าไม่ทำจะเป็นอย่างไร เป็นผู้ปกปักรักษา
 ๓.อดทนต่อการให้คำสั่งสอน ไม่เบื่อที่จะบอก จะสอน แนะนำทำให้ดู
 ๔.เป็นผู้ที่ยังให้ศิษย์ไว้วางใจที่จะทำตาม

 " เด็กเคยอยู่กับครอบครัวอย่างไร  เราต้องให้ความรักเด็กอย่างนั้น

 

ถึงตอนนี้ท่านเจ้าคุณได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับเณรองค์หนึ่งให้ฟังว่า
มีพระนำเณรมาฝากจากจังหวัดภูเก็ต ก่อนท่านจะลากลับมากระซิบไว้ว่า
"เณรองค์นี้ด่าเก่งมาก ถ้ารับไม่ไหวก็ไม่เป็นไร ให้ส่งกลับคืนท่านที่ภูเก็ต!"

  ท่านเจ้าคุณเมื่อรับทราบเช่นนั้นก็มิได้ว่ากล่าวอะไร
เพียงแต่มอบเณรองค์ดังกล่าวให้อยู่ในความดูแลของของพระพี่เลี้ยงรูปหนึ่ง
ผ่านไปสามวันต้องเปลี่ยนพระพี่เลี้ยง พระบอกไม่ไหว ด่าเก่งเหลือเกิน
ท่านเจ้าคุณเลยต้องเปลี่ยนพระพี่เลี้ยงใหม่ ผ่านไปสามวันต้องเปลี่ยนอีก
จนหมดวัดไม่มีพระพี่เลี้ยงแล้ว

ท่านเล่าว่า   “ลืมบอกไปว่าเณรองค์นี้ชื่อเณรชาติ
แต่พวกเราที่วัดขนามนามให้ใหม่ว่า “ชาติชั่ว”(ถึงตอนนี้ผู้เข้าประชุมฮาตึง)

ในที่สุดต้องคืนเณรกลับมาให้ท่านเจ้าคุณ 
ท่านเจ้าคุณเมื่อเจอเณรชาตินี้ได้มาพบหน้ากันตอนตี ๔
เพื่อตื่นเตรียมตัวทำวัตรเช้า เจอหน้าปุ๊บท่านเลยทักว่า
“ไงเณร
วันนี้ด่าหรือยัง?”
  เณรตอบ “ยังไม่ได้ด่า”
 ท่านเจ้าคุณ  “ อ้าว! ทำไมไม่ด่าล่ะ?”  “ด่าสิ่
 
ด่าเลย จะได้กลับบ้านเก่าเร็วๆ

  เณรชาติงง??
ย้อนถามว่า
“บ้านเก่าที่ภูเก็ตเหรอ?”
พอดีมีพระที่บวชมาหลายพรรษาอยู่ใกล้ๆ ตอนนั้นท่านฟังแล้วก็ยิ้มแล้วตอบแทนอาตมาว่า
“บ้านเก่าที่นรกไง!” (ผู้ฟังฮาอีก)

ท่านเจ้าคุณเลยรีบยุให้เณรชาติด่าอีก
บอกว่า
“เอาเลย ด่าเลยเณร
การด่ามากๆ เป็นการขอวีซ่ากลับบ้านเก่าเร็วขึ้น
 
ขอได้เร็วขึ้น ไปได้ลึกกว่าเก่า ใหญ่กว่าเก่า แล้วอยู่ได้นานกว่าเก่าด้วย
!” (ที่ประชุมฮาตึงกันอีก)

  เมื่อพบหน้าเณรชาติทุกครั้งท่านเจ้าคุณจะถามว่า
ด่าหรือยัง ทำไมไม่ด่า แล้วยุให้เณรชาตด่าเสมอๆ ผ่านไป ๑ เดือน เณรชาติมาขอปวารณาตัวว่า
ต่อไปนี้จะเลิกด่าแล้วครับ
!

  การสอนของท่านให้เปรียบเณรองค์นี้เหมือนแมว
เวลาดึงไปข้างหลังมันจะมาข้างหน้า เวลาผลักไปข้างหลัง มันจะไม่ยอมไป
เด็กแต่ละคนท่านจะสอนไม่เหมือนกัน

มีโยมมาปรึกษาว่าลูกสมาธิสั้น
อาตมาถามว่าต้องการให้ยาวแค่ไหน???

พ่อแม่บางคนคิดว่าวัดเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์
เอาเด็กมาจุ่มไว้ ๑๐ วัน แล้วพากลับ จะหาย

  ให้ความดีนำพาความสุขมาให้โดยไม่ต้องแสวงหาคุณธรรม จริยธรรม

 ท่านพูดถึงพ่อแม่สมัยปัจจุบันนี้ว่า
 "พ่อแม่ปัจจุบันรักลูกมากกว่าพ่อแม่เรารักเรา"

  "ชีวิตเรารักลูกเพื่อให้ลูกทำอะไรไม่เป็น
แล้วร้องขออย่างเดียว"

 เราลืมไปพ่อแม่สอนเราอย่างไร
พ่อกับแม่หลายคนก็ไม่ได้จบปริญญาตรี  แล้วคำสอนที่สอนพวกเรามาสืบๆกันมานั้น
ก็ไม่ค่อยมีคนสงสัยว่าจริงมั้ย? ใครสอนฦ ทำไมถึงต้องเป็นอย่างนั้น
ท่านยกตัวอย่างว่า
คำสอนที่พวกเราเชื่อฟังต่อๆกันมาว่า ให้นอนหลับวันละ ๘ ชั่วโมงนั้น
ไม่ทราบว่าใครเป็นคนต้นคิด  แต่ทางพุทธศาสนาไม่ได้สอนเช่นนั้น
ท่านสอนว่า

 “บัณฑิตนอน ๔  เศรษฐีนอน ๖  ยาจกนอน ๘

  “ความอดทนเป็นอาวุธที่แผ้วถางทางชีวิต”

คุณธรรมไม่ใช่วัคซีนที่ฉีดปุ๊บหายปั๊บ
แต่ต้องค่อยๆหยอดวันละนิด

คุณธรรมเป็นเครื่องดำเนินชีวิตที่พ่อแม่ให้กับลูก

  มีลูกสาวคนนึงรักพ่อมาก
พอถึงวันเกิดลูกพ่อถามว่าอยากได้อะไรเป็นของขวัญวันเกิด
ลูกคนนี้ตอบเลยว่าอยากให้พ่อเลิกสูบบุหรี่ 
พ่อก็รับปาก แต่ทำไม่สำเร็จ มาปรึกษาอาตมา อาตมาให้กลับไปถามพ่อว่า

  พ่อเลี้ยงดูหนูมา
เคยเอาบุหรี่เลี้ยงหนูมั้ย พ่อไม่เคยเลยที่จะให้สิ่งไม่ดีกับลูก ถามอย่างนี้บ่อย ๆ ในที่สุดเลิกได้

 

เราเป็นพ่อแม่ต้องใส่คุณธรรมตลอดชีวิต
พ่อแม่เป็นผู้เติมพลัง ไม่ใช่รอจนอุดมศึกษาแล้วจึงสอนคุณธรรม จริยธรรม

กลับไปหาวิธีเดิมๆที่พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา
ยาย ใช้มา คุณธรรมนั้นจะกลับมา

 

  ในตอนสุดท้ายท่านฝากแง่คิดไว้ว่า
“เรือนไม่มีชาน     หลานไม่มียาย ไม่สุขสบายเลยชีวิต”

เปรียบเทียบเหมือนกับบ้านที่ไม่มีชานบ้านนั่งเล่นหน้าบ้านหรือข้างบ้านก็แล้วแต่
มันจะร้อนไม่สบายเหมือนบ้านที่มีชานบ้าน หลายไม่มียายก็ลำบาก ไม่มีปู่ย่าตายายดูแล
เป็นแบบอย่างประพฤติปฏิบัติ
ครอบครัวนั้นจะเลี้ยงดูลูกด้วยความยากลำบากกว่าครอบครัวที่มีพ่อแม่ปู่ย่าตายาย.

 
ผู้เขียนนั่งฟังท่านบรรยายไปจดไปแล้วกลับมาถ่ายทอดให้ท่าน(ผู้อ่านอีกครั้งนึง)
หากมีคำพูดใดไม่เหมาะสมหรือผิดพลาดไป ผู้เขียนขอน้อมรับความผิดนั้นไว้แต่เพียงผู้เดียว
ทั้งนี้ยังไม่เคยได้ไปกราบท่านที่วัดเลย แต่อ่านข้อเขียนนี้แล้ว
เหมือนได้ไปนั่งฟังท่านสอนผู้เขียนเป็นการเฉพาะตนแท้เทียว!!
กราบระลึกถึงพระคุณเจ้ามา ณ ที่นี้
***

หมายเลขบันทึก: 539738เขียนเมื่อ 18 มิถุนายน 2013 19:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 1 กันยายน 2013 15:35 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

ขอบคุณเรื่องราวดีๆ ขอให้มีความสุข

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท