556. Star Trek: Into Darkness กับ "มุทิตาจิต"
ดูหนังเรื่อง Star Trek: Into Darkness นี่สุดยอดจริงๆ ผมรู้สึกทึ่งในหลายเรื่อง ทั้งพล๊อตเรื่อง ทั้งสาระ ทั้งเทคนิก แต่ที่ผมชอบมากๆ มีประเด็นหนึ่งคือ เรื่องที่มีการทรยศ เกิดขึ้นจนเกิดการทำลายล้างกัน ชนิดว่าเกิดการทำลายตัวเอง มีการสืบสาวกันไปมา ที่สุดก็ค้นพบว่าบ่อนทำลายจริงๆ คือมนุษย์ที่มีการดัดแปลงพันธุกรรม ชื่อข่าน ที่มีผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งนำมาก่อการกบฏ แต่มี่สุดข่านก็รู้ เนื่องจากข่านเป็นมนุษย์ที่ทรงพลัง และเฉลียวฉลาด แต่มีความเถื่อน เหนือมนุษย์ ผู้มีอิทธิพลนำข่านมาเป็นเครื่องมือใช้ประโยชน์ แต่ที่สุดข่านรู้ จึงหันกลับมาเป็นต่อต้านมนุษย์ ข่านไม่ตาย แต่จะกลายมาเป็นศัตรู ที่น่ากลัวที่สุดของมนุษยชาติในตอนต่อไป
เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่อง Inclusion หรือการสร้างการมีส่วนร่วม ที่เป็นหัวใจ เรียกว่าเป็น “ปรัชญา” ของการทำงานด้านการพัฒนาองค์กรทีเดียว ... การสร้างการมีส่วนร่วม จริงแล้ว ต้องอยู่ในพื้นฐานของการที่ผู้นั้นได้รับข้อมูล แบบไร้ข้อปิดบัง แถมต้องเต็มใจมาช่วย ...
ซึ่งจะเห็นว่าการที่ผู้นำคนหนึ่ง นำข่านมาใช้งาน โดยปิดบังแผนการณ์ ซึ่งแน่นอนเมื่อข่านรู้ย่อมไม่เต็มใจ จนกลายมาเป้นความคับแค้น และที่สุดก็หันมาศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของมนุษย์ในที่สุด
คุณคงคิดว่านี่คือหนัง.... จริงแล้วมีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ ทั้งในอดีต และปัจจุบัน เช่น อาณาจักรไบแซนไทน์ (โรมันตะวันออก) ที่ต้องพ่ายแพ้แก่อาณาจักรอิสลาม ก็ด้วยเพราะว่าการไม่สนใจเสียงส่วนน้อย มีวันหนึ่งมีคนมาขายปืนใหญ่ให้กษัตริย์ไบแซนไทน์ แต่ท่านกลับเพิกเฉย ไม่สนใจ ด้วยเชื่อมั่นในกำแพงและชัยภูมิของเมืองหลวงคอนสแตนติโนเปิ้ล ที่สุดชายคนนั้นเอานวัตกรรมปืนใหญ่ไปขายให้อาณาจักรอิสลาม จนทำให้ชาวอิสลามได้อาวุธที่ทรงพลังที่สุดในโลกยุคโบราณ ที่นำมาทำลายอาณาจักรของชาวคริสต์ได้ เรียกว่าถึงตาย....
มาโลกยุคใหม่เอดิสัน คนคิดหลอดไฟสมัยหนึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้ากระแสตรง จนสร้างธุรกิจโรงไฟฟ้ากระแสตรงได้เป็นรายแรก ต่อมามีพนักงานคนหนึ่งเสนอแนวคิดไฟฟ้ากระแสสลับ ที่เขาพิสูจน์ว่าดีมากๆ แต่เอดิสันไม่สนใจ ที่สุดชายคนนั้นออกไปสร้างบริษัทผลิตไฟฟ้ากระแสสลับ ที่เป็นต้นแบบเทคโนโลยีที่บ้านคุณก็ยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ ..เอดิสันล้มเหลว พ่ายแพ้ลูกน้องเก่าในที่สุด ลูกน้องคนนั้นคือนิโคล่า เทสล่านั่นเอง
น่ากลัวไหมครับว่าการที่ใครก็ตามไม่สนใจเสียงส่วนน้อย
อาจทำให้เราสูญเสียความได้เปรียบ จนอาจถึงกับกลายเป็นหายนะได้ในที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นโลกเทคโนโลยี ธุรกิจ การเมืองทั้งในยุคโบราณและปัจจุบัน Inclusion หรือการดึงการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน แม้กระทั่งคนที่ดูไม่สำคัญที่สุด มีความสำคัญมากๆ ... มากพอที่จะทำให้เกิดความล่มสลาย หรือรุ่งเรืองได้อย่างคาดไม่ถึง
เราชาว OD ให้ความสำคัญมากๆ เรามีวิธีการสร้างการมีส่วนร่วมหลายวิธี ผมจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง ผมว่าเป็นอะไรที่ไม่ว่าคุณจะทำ OD หรือไม่ ความรู้นี้จำเป็นมากๆ ถ้าไม่หัดทำรับรองไปไม่เป็น ไปไม่ถูก .... เพราะมีเงื่อนไขสำคัญคือการได้รับข้อมูลอย่างใส และการเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มใจ ไม่ถูกเกณฑ์มา
OD ให้ความสำคัญกับทุกเสียง แม้ว่าจะเป็นเสียงเล็กเสียงน้อย หรือเสียงของผู้ไร้อำนาจก็ตาม ( หรือ เราเรียกว่า Every Voice is Heard) เช่นถ้ามีคนร้อยคน คือให้ความสำคัญกับ 100 คน วางแผนกลยุทธ์แทนที่จะคุยกัน 4-5 คน เฉพาะในหมู่ผู้นำ เราเอาคนทั้ง 100 คนมาคุยกันเลย ในวง Appreciative Inquiry เอง ผู้คิดทฤษฎี เคยดึงคนทั้ง 8,000 คนในบริษัท มาที่สนามกีฬา แล้ววางแผนร่วมกันมาแล้ว
ผมว่าถ้าจะเทียบเคียงกับคำสอนในศาสนาพุทธน่าจะเป็นเรื่องของ “มุทิตา” ครับ หรือการเห็นคุณค่า เห็นความดีในตัวคนทุกคนครับ
ผมว่าบ้านเราทำเรื่องนี้น้อยเกินไป ...น้อยมากๆ
วันนี้เพียงเล่าให้ฟัง ลองเอาไปพิจารณาดูนะครับ
อ้างอิง: Doing Action Research in Your Own Organization
Cr รูปถ่าย:
รูปแรก
http://www.filmzick.com/news/posters/star-trek-2-new-trailer-poster-16113/
รูปสอง
ความเห็น (2)
ผมดูเรื่องนี้มาแล้วครับอาจารย์ มุมที่อาจารย์มองละเมียดละไมมาก และมองเห็นการให้ การอภัยจากหนังเรื่องนี้...
อาจารย์ให้ความเห็นจนมองภาพกระจ่างเลยครับ....(แม้ว่าบางทีผมก็ยัง งง งง กับศัพท์ เฉพาะเหมือนกัน ครับ เช่น OD = Organize Development ง่ายจนลืม....น่าอายจริง 555+ )