K
ดร. เกศราภรณ์ เตชะพิเชฐวนิช

อำลาโตเกียว


ได้เวลากลับเมืองไทย

ตื่นมาแต่เช้าประมาณตีห้าเพื่อไปสนามบิน ให้ทัน flight 11 โมง สนามบิน Narita ไกลจากโตเกียวพอสมควร ขนาดหลับตั้งหลายตื่นก็ยังไม่ถึงซะที

พอมาถึงซักพักก็มาเข้าแถวอันแสนจะยาว เข้าแถวไปได้เกือบชั่วโมง คนที่มาอบรมและกลับ flight เดียวกัน เค้าก็ชี้ให้ดูที่จอแล้วบอกว่า flight ที่จะกลับถูกยกเลิก เซ็งไปเลย เป็นอันว่าไม่สามารถกลับได้ตามกำหนดเวลาที่นัดกับที่บ้านไว้ พอถึงคิวก็บอกเค้าว่าขอ flight ที่เร็วที่สุดเค้าก็จัดให้ และบอกให้ไปที่ counter ของสายการบิน Cathey Pacific ที่อยู่อีก wing นึงของ airport เพื่อนที่ไปด้วยกันก็ตามออกมาเดินไปด้วยกันโดยมีคนของสนามบินเดินไปด้วยกัน พอไปเช็คอินเสร็จ เค้าก็บอกว่าตั๋วเป็น connection flight ไปต่อที่ฮ่องกง ซึ่งต้องไปรอที่ฮ่องกงกว่า 8 ชั่วโมง ร้องในใจ oh my god แบบในบางรักซอย 9 ไปเลย คิดในใจว่าตัวเองว่าทำไมไม่บอกเค้าว่าเอา flight ที่ถึงเมืองไทยเร็วที่สุดและไม่ถามให้เรียบร้อยก่อนเช็คอิน คนที่มาด้วยกันเลยไม่ยอมเช็คอิน (ลืมบอกไปเป็นแขกมาจากบังคลาเทศ) เค้าก็เดินกลับไปที่ check in เดิมปล่อยเราทิ้งไว้ แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วยังไงก็เอากระเป๋าคืนไม่ได้แล้ว ก็เลยต้องถามข้อมูลให้มากที่สุด เพราะว่าต้องไปต่อที่ฮ่องกงเงิน US หรือเงินฮ่องกงก็ไม่มีแถมก็ใกล้เวลาขึ้นเครื่องอีกต่างหาก ตั๋วที่ต่อจากฮ่องกงไปเมืองไทยก็ไม่ได้ให้มา ถามรายละเอียดเค้า เค้าก็ไม่รู้บอกว่าต้องไปถามสายการบินไทย ก็เลยต้องวิ่งกระหืดกระหอบกลับไปอีกฟากตึกเพื่อไปถามการบินไทยว่าแล้วจะเอาตั๋วส่วนที่เหลือได้ไง เค้าก็บอกว่าจะมีคนที่นู่นมาพาไปเพื่อออกตั๋วให้ (ตอนนั้น นี่ยังไม่รู้ว่าต้องรอที่ฮ่องกง 8 ชั่วโมง) ก็เลยถามเค้าต่อว่าแล้ว flight จากฮ่องกงถึงกรุงเทพนี่กี่โมง พอรู้นี่แทบลมใส่  พอได้ข้อมูลเสร็จก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาที่อีกฟากนึงเพื่อขึ้นเครื่อง ก่อนขึ้นเครื่องก็ต้องโทรไปบอกคนที่บ้านอีก จะให้คนที่สายการบินไทยโทรให้ก็ดันไม่มีเวลาพอ เสียค่าโทรไปตั้งหนึ่งพันเย็น พอจะสรุปได้ว่าการทำงานของคนญี่ปุ่นก็มีข้อเสียเหมือนกัน โดยเฉพาะที่สนามบินสังเกตจากตอนไปและกลับ

ขึ้นเครื่องมาลงที่ฮ่องกงเค้าก็ให้ค่ากินหรือเค้าเรียกว่า refreshement ประมาณ 50 เหรียญฮ่องกงตอนแรกนึกว่าเยอะ พอเดินไปที่ร้านอาหารซื้อข้าวธรรมดาๆได้ชามเดียว เฮ้อกลุ้ม ก็เลยซื้อคุ้กกี้กลับบ้านให้รู้แล้วรู้รอดไปเพราะได้กินจากบนเครื่องแล้ว เดินแกล่วอยู่ตั้งนานประมาณ 2-3 ชั่วโมง ก็เริ่มไม่รู้จะทำอะไร ดีนะที่พี่เค้าให้ยืมบัตรเข้า lounge ของสนามบิน ก็เลยไปนั่งกินๆเล่นๆอยู่ประมาณสามชั่วโมง ก่อนได้เวลากลับสู่เมืองไทยโดยได้ใช้สนามบินใหม่

 หลับไปตอนใกล้ๆเครื่องจะลง พอเครื่องลงจอดที่สนามบินก็ยังงัวเงีย กะว่าเครื่องหยุดเมื่อไหร่ค่อยตื่น เครื่องแล่นอยู่บน run way ซักพัก นึกในใจว่ามีเวลานอนอีกหน่อย แต่ปรากฏว่าเครื่องแล่นนานเกิน จนตื่นแล้วก็ยังไม่จอดซักที พอเครื่องจอดเตรียมตัวขนของลงก็นานมากกว่าปกติที่ประตูจะเปิดให้ผู้โดยสารออก เสียงฝรั่งบนเครื่องเริ่มบ่นเรื่องสนามบินสุวรรณภูมิ ฝรั่งก็ถามสจ๊วตว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมนานจัง สจ๊วตก็มองออกไปนอกหน้าต่างซักพักก็หันกลับมาบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น พอประตูเปิดออกเท่านั้นถึงบางอ้อเลย เพราะว่าต้องรอรถบัสมารับเพื่อต่อไปที่ terminal เพราะว่าเค้าไม่ได้จอดที่ปล่อง มิน่าเครื่องบินแล่นนานมาก ฝรั่งคนใหม่ก็เริ่มบนอีกว่านี่นะหรือสนามบินใหม่ จับความได้ไม่ค่อยชัดนัก เค้าพูดกับแอร์หน้าประตูประมาณว่าสนามบินใหม่กว้าง มีปล่องตั้งมากมายทำไมยังต้องขึ้นรถอีก และก็ประมาณว่าว่าการบินไทยจัดการไม่ดี แอร์นี่หน้าหงิกเลย ปกติแอร์จะไหว้ผู้โดยสารก่อนออก คราวนี้เลยกลายเป็นหน้าหงิกใส่ผู้โดยสารก่อนออกเลย

ขึ้นรถบัสไปซักพัก ก็มีฝรั่งคู่หนึ่งถามคนเอเชียว่าใช่คนไทยรึเปล่า เค้าคงตอบว่าไม่ใช่ เค้าก็เลยคุยกันประมาณว่าว่าสนามบินใหม่ไม่ดี ทำกระเป๋าผู้โดยสารหายด้วย คิดในใจขึ้นมาว่าถ้ากระเป๋ามาช้าหรือหายนี่ก็แย่แน่เลย เพราะได้อ่านผู้จัดการออนไลน์มาเหมือนกันว่า วันที่เปิดทำการกระเป๋าผู้โดยสารล่าช้ากว่าสี่ชั่วโมง นั่งรถมาไกลเหมือนกันกว่าจะถึง terminal พอมาถึงก็คิดในใจ สนามบินกว้างดีนะ แต่พอเดินขึ้นมาเรื่อยๆก็คิดในใจอีกว่า ทำไมรูปร่างหน้าตามันไม่เหมือนอาคารสนามบินเลย เพราะว่าไม่มีการทาสีใดๆเลยที่เสาแบบว่าหล่อปูนเสร็จก็คือเสร็จ มองไปที่เพดานโห ท่ออะไรต่ออะไรไม่รู้เต็มเลย ไม่มีอะไรปิดเลย ตอนแรกจะว่าทำแบบศิลป์ก็ไม่ใช่เพราะมันไม่มีความสวยงามเอาเลย เหมือนเพดานห้องเก็บของยังไงก็ไม่รู้ พอมาคิดอีกทีอ๋อคอร์รัปชั่นนี่เอง กินเยอะๆ ลดคุณภาพ แต่บางคนอาจจะมองว่าสวยก็ได้ แต่ไม่ใช่เราแน่นอน

เดินต่อไปซักพักก็เดินขึ้นมาถึงด้านบน ปรากฏว่าสนามบินกว้างดี แต่ว่าผู้โดยสารงงเป็นไก่ตาแตก กว้างจนไม่รู้จะเดินไปไหนซ้ายก็ชี้ claim กระเป๋า ขวาก็ชี้ claim กระเป๋า ดีที่มีเจ้าหน้าที่คนนึงเดินผ่านมาเลยถามว่าจะออกไปเอากระเป๋าได้ที่ไหน เค้าก็บอกทางไป เดินไปได้หน่อยนึงก็เห็นกระดาษสีเขียวขนาด A4 แปะอยู่ว่า Immigration แล้วก็มีลูกศรชี้ไป นึกในใจทำได้ไงเนี่ย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี ระหว่างทางก็เห็นมีคนถ่ายรูปยักษ์ที่เค้าเอามาตั้งไว้ แต่ตอนนี้ไม่มีกะใจจะถ่ายรูปแล้ว เลยเดินต่อไปที่ Immigration แต่อย่างน้อยก็ยังดีอยู่ว่า Immigration คนไม่เยอะและก็มี counter มากพอทำให้ไม่ต้องรอนานเหมือนที่ญี่ปุ่น พอออกจาก Immigration ก็เดินจะไปเอากระเป๋า โหที่ออกกระเป๋าก็มีเยอะมากกว้างด้วย แต่ก็ไปดูที่บอร์ดว่ากระเป๋าออกที่สายพานไหน พอเดินไปก็เห็นกระเป๋าออกมาแล้วเลยวิ่งแจ้นไปหยิบกระเป๋า โชคดีนะเนี่ยที่ไม่ต้องรอ คนไทยที่เจอที่สนามบินที่ญี่ปุ่นและที่ฮ่องกงแล้ว flight ถูกยกเลิกเหมือนกันก็บอกว่า เฮ้อ flight อันทรหดได้จบลงซักที แล้วก็ต่างคนต่างลากลับบ้าน เดินออกมาคนตรึมเลย ออกันเต็มปากทาง โดยที่ปากทางให้คนรอนั้นกว้างนิดเดียวเอง เลยทำให้หากันไม่เจอ 

นึกว่าจะจบแล้ว แต่ยังต้องขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไปที่ทางเชื่อมต่อที่จะไปอาคารจอดรถมองไปด้านข้างและใต้บันไดเลื่อน เร็วเท่าที่เห็นหันไปคุยกับแม่เลยว่าทำไมทำน่าเกลียดจัง กินกันแบบว่าน่าเกลียดเชียว เหมือนบันไดเลื่อนในโรงงานเลย มีน็อตขันติดกับแผ่นเหล็กที่เรียบหน่อยเพื่อปิดด้านข้างกับด้านใต้ไว้ (ในความคิดของตัวเอง แต่คนอื่นอาจจะเฉยๆก็ได้ คิดว่าบันไดเลื่อนในห้างดูดีกว่าเป็นไหนๆ) นี่นะเหรอความภูมิใจของชาติที่รัฐบาลทักษิณต้องการให้เปิดไวๆเพื่อจะได้ค่าคอมมิชชั่นเร็วๆให้ไว้ก่อนโดนขับไล่ออกจากตำแหน่ง  เดินมาถึงอาคารจอดรถปรากฏว่าลิฟต์ไม่ทำงาน รถก็จอดอยู่คนละชั้น เลยต้องให้น้องไปขับมาแล้วรอที่ชั้นเดิม ระหว่างรอก็มองขึ้นไปเพดานแล้วก็นึกว่าเอ๊ะทำไมเพดานมันช่างเหมือนใน terminal เลย คิดในใจอีกตามเคยว่าเพดานใน terminal นี่มันคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนอะไร ที่แท้ก็เหมือนอาคารจอดรถนี่เอง คุยกับแม่ซักพักเรื่อง flight ที่ถูกยกเลิกแม่บอกว่าโทรไปถามที่สนามบินเค้ายังไม่รู้เลยว่า flight ถูก cancelled ไป ดีนะที่บอกให้พนักงานสายการบินไทยที่ฮ่องกงโทรเข้ามือถือน้องอีกทีเพื่อ confirm เวลาอีกรอบ หวังว่าผ่านไปอีกซักเดือนสนามบินคงให้บริการได้เป็นปกติ แต่ความไม่สวยในสนามบินคงแก้อะไรไม่ได้แล้ว

มานั่งนึกตอนนั่งรถกลับ ประเทศไทยมีดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ภัยธรรมชาติก็ไม่ค่อยมี แต่บ้านเมืองก็ไม่ได้พัฒนาไปแบบที่ควรจะเป็นในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีการพัฒนาไปเรื่อยๆและเริ่มจะดีกว่า ก็เนื่องจากคนที่มีอำนาจในรัฐบาลใช้แต่อำนาจกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง จนทำให้บ้านเมืองและจิตใจเสื่อมถอย โดยไม่นึกถึงคนส่วนใหญ่ แต่ก็ยังดีใจที่มีในหลวงของเราที่ทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง เป็นตัวอย่างที่ดีกับคนไทยทั้งชาติ

เป็นอันว่าจบการเดินทางอันทุรักทุเรหรือจะเรียกว่าโชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ของวันนี้กับภาพที่ไม่น่าประทับใจเท่าไหร่ในสุวรรณภูมิ ผิดจากที่คิดไว้

 

 

หมายเลขบันทึก: 53630เขียนเมื่อ 7 ตุลาคม 2006 02:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 16:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

บล็อคนี้ยาวเป็นพิเศษ อาจจะเป็นทำนองบ่นซะมากกว่านะ ก็ขออภัยคนอ่านมานะที่นี้ด้วย แต่ก็อาจจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องใช้สนามบินใหม่เร็วๆนี้หรือภายในเดือนนี้บ้าง ว่าอาจจะต้องเตรียมตัวมากหน่อย

  • ลุ้นระทึกดีค่ะ
  • Have a nice day ka.

ไอ้ที่กินจนกลมในบันทึกที่แล้ว เอามาใช้หมดไปตอนวิ่งไปวิ่งมาหมดแล้วใช่ไหมคะ

อ่านแล้ว ชอบจัง อยากให้คุณ K ช่วยบรรยายการเดินทางไปทำงานในกรุงเทพฯให้คนบ้านนอกแบบพี่ทราบบ้างได้ไหมคะ เผื่อจะอยากเปลี่ยนใจไปท่องกรุงเทพฯบ้าง ตอนนี้ยังคงความคิดว่า ไปถึงปั๊บ ทำงานปุ๊บ แล้วก็กลับปั๊บเลย กลัวกรุงเทพฯค่ะ (ไม่น่าเชื่อเลยว่าเกิดและโตที่นั่นเนาะ อายจัง)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท