ขุดทองจากสมองธนินท์ เจียรวนนท์ ตอนที่ 1


ข่าวที่น่าดีใจ ซีพี ในประเทศไทยไปซื้อหุ้นกิจการใหญ่ของต่างประทศซีพีไปซื้อสองกิจการใหญ่ จนเป็นข่าวดัง 

1.  บริษัทประกัน ผิงอันอินชัวรันส์  ในประเทศจีน

2.  กิจการศูนย์ค้าส่งแม็คโครของคนไทย ที่บริษัทแม่อยู่ในเนเธอแลนด์

รายงานข่าวจากเอชเอสบีซีธนาคารรายใหญ่ของอังกฤษ  แจ้งว่า  ธนาคารเตรียมขายหุ้น 15.57% ที่ถืออยู่ในผิงอัน อินชัวรันส์ กรุ๊ปบริษัทประกันภัยรายใหญ่อันดับ 2 ของจีน ให้กับเครือเจริญโภคภัณฑ์(ซีพี) ของไทย เป็นมูลค่ารวม 9,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ  290,000 ล้านบาท  ที่ราคา 7.66 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น  ทำสถิติเป็นการซื้อหุ้นในต่างประเทศครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัทสัญชาติไทย 

http://www.easy.tc?got


อีกข่าวบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) โดย ธนินท์ เจียรวนนท์  

ได้ทุ่มเงินถึง 188,880

ล้านบาท เพื่อเข้าซื้อกิจการศูนย์ค้าส่งแม็คโคร 

http://www.easy.tc?gou


ทำไมธนินท์

เจียรวนนท์ จึงเป็นยอดคนรวยของโลก จัดการหาเงินซื้อ สองกิจการใหญ่ 290,000 + 188,880 ล้านบาท = 478,800 รวมได้เกือบห้าแสนล้าน  ไอยะ!! รวยจริง ๆ รวยเงินที่มาจากสมองอย่างไร  ต้องอ่านการให้สัมภาษณ์ของท่านว่าทำไมถึงได้เก่ง ได้รวย  http://www.easy.tc?gos ซึ่งผมจะขอวิพากษ์ในประเด็นการขุดทองจากสมองของธนินท์ เจียรวนนท์ ดังต่อไปนี้

หมายเลขบันทึก: 534779เขียนเมื่อ 4 พฤษภาคม 2013 22:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 พฤษภาคม 2013 17:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

Many Asean companies are investing overseas as a part of their empire building and also spreading investment risks (not all eggs in the same basket). Many companies can borrow big and must borrow now before the THB2.2 trillion loan starts. By then the money could dry up and make borrowing much more expensive. So, CP is doing what any self-interested company would do.

No investment in Thailand = No benefits to Thailand. (Full stop.)

ผมจะขุดทองแล้วนะครับ  ตัวอักษรเอนเป็นข้อความที่ผมต้องการเน้น ตัวอักษรที่เป็นสีแดงเป็นความคิดเห็นของผม นะครับ

ตอนที่ 1

หลังจากที่ CNBC สถานีโทรทัศน์ธุรกิจชื่อดังระดับโลกได้มอบรางวัลLifetime Achievement Awardประจำปี 2555 ซึ่งเป็น 1 ในรางวัล Asia Business Leaders Awards ที่ยิ่งใหญ่ในระดับภูมิภาคเอเชีย  แก่‘นายธนินท์ เจียรวนนท์’ ไปได้ไม่นาน ทางสถานี CNBC ก็ส่ง“Christine Tan”ผู้ดำเนินรายการ Managing Asiaซึ่งเป็นรายการยอดนิยมของ CNBC ที่สัมภาษณ์แต่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจชั้นนำของโลกเดินทางมาสัมภาษณ์พิเศษถึงเบื้องหลังความสำเร็จของ‘ท่านประธานธนินท์ เจียรวนนท์’ผู้ที่ทำให้เครือเจริญโภคภัณฑ์เติบโตจากธุรกิจครอบครัวสู่การเป็นบริษัทเกษตรและอาหารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก รวมถึงวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคตของเครือเจริญโภคภัณฑ์ 

“Christine Tan”ได้สัมภาษณ์ถึงที่มาแห่งความสำเร็จของเครือเจริญโภคภัณฑ์ภายใต้การบริหารงานของนายธนินท์ที่ทำให้เครือเจริญโภคภัณฑ์ก้าวสู่การเป็นบริษัทระดับโลก รวมถึงทุกประเด็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง การแก้ปัญหาไข้หวัดนก รวมถึงข่าวคราวการเข้าไปถือหุ้นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในบริษัทชั้นนำต่าง ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นคาร์ฟูร์ หรือ สมิทฟิลด์ และยังเปิดเผยถึงการสร้างคน สร้างทายาททางธุรกิจ และผู้นำคนใหม่ในอนาคตของเครือเจริญโภคภัณฑ์

ท่านที่สนใจสามารถติดตามทุกเนื้อความในการสัมภาษณ์ครั้งนี้แบบไม่ตัดต่อได้ทาง CP E News เพียงแห่งเดียวเท่านั้น....

Christine Tan:คุณพ่อและคุณอาของท่านได้เริ่มต้นธุรกิจเมื่อปีค.ศ. 1921 โดยการขายเมล็ดพันธุ์ก่อนที่จะขยายไปสู่ธุรกิจอาหารสัตว์แล้วก็ทำฟาร์มท่านเรียนรู้อะไรในแง่ของการทำธุรกิจจากการที่ได้ดูคุณพ่อและคุณอาของท่านในการทำธุรกิจ

ท่านประธานธนินท์ :ตอนเด็ก ๆ ได้มีโอกาสคุยกับคุณพ่อ ซึ่งความสำเร็จของคุณพ่อนี่ถืออยู่หลักเดียวก็คือคุณภาพ และต้องคิดถึงประโยชน์ของเกษตรกร นี่คือหลักที่ผมเรียนรู้จากคุณพ่อ  ต้องซื่อสัตย์ต่อคุณค่าของลูกค้าและคู่ค้า ในโบราณคุณพ่อก็คำนึงถึงหลักนี้แล้วว่าการที่เราไปหลอกลวงเกษตรกรเขาไม่ได้ เราต้องหาเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดให้เขา เพราะเขาเหน็ดเหนื่อยเขาลงทุนไปแล้วถ้าหากว่าเมล็ดพันธุ์ไม่ดีเขาจะขาดทุน ทั้งน้ำหนักก็ไม่มี ราคาก็ไม่ดี เพราะเมล็ดพันธุ์นี้สำคัญมากเพราะเมล็ดพันธุ์นี้มีชีวิต และมีการลงวันที่ เช่น ถ้าหมดอายุแล้วสามารถนำมาเปลี่ยนได้ฟรี นี่คือหลักที่ทำให้ผมเข้าใจว่าถ้าผมมารับกิจการบริหารธุรกิจอาหารสัตว์เนี่ยจะยึดหลักเรื่องคุณภาพเป็นที่หนึ่งและเรื่องประโยชน์ของคู่ค้าเป็นที่หนึ่งและเราเป็นที่สอง

Christine Tan:ท่านเป็นลูกคนสุดท้องของคุณพ่อซึ่งมีลูกชาย 4 คนด้วยกันแต่ทำไมถึงได้รับการเลือกให้เข้ามาบริหารบริษัทท่านเป็นลูกคนโปรดของคุณพ่อรึเปล่า

ท่านประธานธนินท์ :คืออย่างนี้ครับ ผมเป็นลูกคนสุดท้องก็จริง แต่ธุรกิจในช่วงที่คุณพ่อกับคุณอาทำนั้นเป็นเฉพาะธุรกิจเมล็ดพันธุ์   ต่อมาพี่ชายคนโตและคนที่สองได้มาริเริ่มเรื่องอาหารสัตว์  มีพี่ชายคนที่สองเป็นCEO และพี่ชายคนโตเป็น Chairman  พี่ ๆ ได้มอบหน้าที่ให้ผมบริหาร ซึ่งต่อมาธุรกิจนี้ได้ขยายตัวและเติบโต ในขณะที่ธุรกิจอื่นทำแล้วไม่ได้กำไร ไม่ราบรื่นเท่าธุรกิจอาหารสัตว์  เพราะผมได้ต่อยอดทำให้อาหารสัตว์กลายเป็นอาหารคน(ปรับหลักคิด หรือ คอนเซ็ปเพียงนิดเดียวก็รวยขึ้น)  คือ มีการขายเป็น Trademark 

Christine Tan:ตอนนั้นท่านพร้อมไหม? ที่จะมารับช่วงธุรกิจต่อจากคุณพ่อถึงแม้ว่าท่านยังอายุน้อยอยู่เกี่ยวกับธุรกิจนี้

Christine Tan:ตอนนั้นท่านยังหนุ่มอยู่ และท่านต้องมีภารกิจที่ต้องสร้างธุรกิจของครอบครัว ท่านรู้สึกยังไงในตอนนั้นซึ่งท่านก็อายุยังน้อยอยู่แต่ต้องรับภาระนี้ และท่านใช้ยุทธศาสตร์อะไรตั้งแต่เริ่มต้น  ใช้วิธีไหนในการทำธุรกิจ

ท่านประธานธนินท์:ต้องพูดอย่างนี้ตอนนั้นที่ผมรับบริหารธุรกิจอาหารสัตว์  กิจการนี้ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์  ยังไม่ใช่ว่าเป็นธุรกิจหลัก คือตอนที่ผมเข้ามา ธุรกิจหลักคือมีทั้งโรงงานทอกระสอบ มีทั้งการค้าระหว่างประเทศ มีเมล็ดพันธุ์เรื่องปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช (รวยยาว ยั่งยืนมาได้มีพ่อแม่ทำไว้ให้ เป็นแบบอย่างที่ดีมาให้ ได้ติดตัวมา จึงรายยาวแบบแข็งนอกแข็งใน  ไม่แข็งนอกกลวงในด้วยกลโกงสารพัดจนรวย) ดังนั้นที่ผมรับมาเนี่ยเป็นเพียงส่วนหนึ่ง และส่วนนี้พี่ชายคนโตก็เป็นChairman อยู่แล้วพี่ชายคนที่สองก็เลื่อนขึ้นไปเป็นVice Chairman ผมเข้ามาเป็นประธาน และพอผมทำได้ผลแล้วก็ใหญ่กว่าธุรกิจอื่น ๆ ก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ คือพี่ชายคนโตก็เลื่อนขึ้นมาเป็นประธานกิตติมศักดิ์ ก็ต้องยกย่องพี่ชายคนโตผมกับพี่ชายคนรองที่ให้โอกาสผม ไม่ใช่อยู่ดีดีเรามารับธุรกิจของเครือฯซึ่งธุรกิจนี้ใหญ่ที่สุดในเครือฯ

Christine Tan:รู้สึกว่าท่านถ่อมตัวมาก

ท่านประธานธนินท์ :ไม่ครับ ความเป็นจริงตอนนั้นผมรับธุรกิจนี้มาบริหาร ธุรกิจตัวนี้เล็กสุดไม่ใช่ใหญ่สุดของครอบครัว

Christine Tan:ดังนั้นท่านก็ได้พิสูจน์ตัวเองกับพี่ชายของท่าน

ท่านประธานธนินท์ :ครับ แล้วสำคัญที่สุดเราเป็นน้องแล้วให้พี่ ๆ เชื่อถือ ก็ต้องรู้จักเสียสละไม่ใช่ทำงานมากกำไรมาก ต้องแบ่งให้มากที่สุด ไม่ใช่นะครับ ต้องดูแลต้องยกย่องแล้วผลประโยชน์เนี่ยต้องแบ่งกันให้พอใจกันทุกฝ่าย  ซึ่งนี่คือหลักสู่ความสำเร็จ 

(รวยแล้วยังทะเลาะกันในหมู่พี่น้อง แล้วจะรวยกันไปทำไม หากต่างคนต่างมีเหตุผมมาอ้างถึงความถูกต้องของตัวเองไม่นึกถึงความเป็นพี่เป็นน้องที่คลานตามกันมา ก็เป็นความโง่ของทุกคนที่จนความเป็นพี่เป็นน้อง ก็ทุกข์กันไปตลอดชาติ ….ข้อนี้พึงสังวรของพี่น้องที่ทะเลาะกัน)

Christine Tan:ทุกวันนี้บริษัทซีพีหรือบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้กลายเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์และส่งออกกุ้งรายใหญ่ที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตไก่รายใหญ่ที่สุดในโลก ตอนนี้บริษัทได้กลายเป็นบริษัทระดับโลกไปแล้วและก็มีการกระจายสินค้าไปทั่วโลกท่านเคยคิดไหมว่าท่านจะประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้

ท่านประธานธนินท์ :ตอนที่เข้ามารับหน้าที่นี้ ไม่ได้คิดเลยว่าหน้าที่นี้จะมีโอกาสประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ไปถึงทั่วโลกและมีการลงทุนถึง 14 ประเทศรวมแล้วมีประชากร 3พันล้านคน ตอนนั้นผมไม่ได้คิด ผมเพียงแต่ว่าถ้าผมรับหน้าที่อะไรมาแล้วต้องทำให้ดีที่สุด แล้วก็ตามที่คุณพ่อได้เน้นเรื่องคุณภาพและดูแลประโยชน์ของคู่ค้าซึ่งคู่ค้าของเราเนี่ยมีอยู่สองคน คนหนึ่งคือคนเลี้ยง อีกคนหนึ่งคือคนซื้อ ดั้งนั้นเราจึงต้องใช้เทคโนโลยีเรียนรู้จากอเมริกา ต้องพูดอย่างนี้ว่าเทคโนโลยีกว่า 90 %เนี่ยไปเรียนรู้จากอเมริกา   และ10 % เอามาจากยุโรป เราเอาเทคโนยีมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มรายได้ และสามคนแบ่งกันคือคนเลี้ยงแล้วก็บริษัทและก็ผู้บริโภค  

(สมองของคนเดียวแล้วเอาคนอื่นมาต่อยอดสมองให้เป็นของตนเองจนส่งผลดีต่อชาวโลกนี่ ไม่ธรรมดาจริงๆ จึงเป็นสิ่งที่ควรน้อมนำมาเป็นบทเรียน)

Christine Tan:เมื่อปี 1997 ท่านได้ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในเอเซียซึ่งทำให้เครือของท่านต้องมีหนี้สินถึงประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งท่านถูกบังคับที่จะต้องขายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้เหล่านี้ ท่านจำได้ไหมว่าการเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้มีความลำบากแค่ไหน ซึ่งเจ้าหนี้พวกนี้เรียกร้องมากมายทีเดียว และท่านได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนในครั้งนั้น

ต้องอ่านข้างล่างนี้ให้จบ ทองเนื้อแท้จริงๆ

ท่านประธานธนินท์ :สำคัญยิ่ง ผมดีใจมากที่ได้เจอวิกฤตในครั้งนั้น ตอนนั้นผมอายุ 58 เลยทำให้ผมได้พิสูจน์ตัวเอง ผมประชุมกับพี่ชาย 3 คนบอกว่าผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว  ให้ทั้งสามท่านสบายใจได้ เพราะผมมี 3 ธุรกิจที่ขายได้ ซึ่ง 3 ธุรกิจนี้ผมเป็นคนริเริ่มเอง ผมก็รับปากและก็ยืนยันกับพี่ชายทั้ง 3 ท่าน และบอกว่าผมจะทำให้ไม่ล้มละลาย และต่อไปจะทำให้ใหญ่กว่านี้อีก และผมจะขายโลตัสที่ผมริเริ่มทำขึ้นมาเพื่อการค้าปลีก ถ้าโลตัสขายแล้วยังไม่พอผมจะขายเซเว่น อีเลฟเว่น ถ้ายังไม่อยู่อีก ผมจะขายทรูก็จะทำให้เราอยู่ได้แน่นอน จริง ๆ ถ้าผมขายเซเว่นฯก็น่าจะเอาอยู่แล้ว พอประชุมเสร็จผมก็ขายโลตัสออกไปและกู้เงินจากธนาคาร     ผมถือว่าในการทำธุรกิจถ้าต้องกู้เงินจากธนาคาร เราจะต้องเตรียมเงินไว้ให้พร้อมทุกเมื่อเพื่อชำระคืน เพราะธนาคารก็มีภาระในการรับภาระฝากเงินจากลูกค้า ธนาคารจะเสียหายได้ ถ้าเรามีโอกาสคืนเงินทุกบาททุกสตางค์  เราต้องคืน เราเป็นลูกค้าที่ดี เราเข้าใจธนาคาร แต่บางคนไม่เข้าใจว่าเวลาวิกฤตธนาคารเอาร่มกลับ เวลาแดดออกธนาคารก็เอาร่มมาให้ เราถืออันนี้ไม่ใช่ นี่คือหน้าที่ของธนาคาร ซึ่งต้องปกป้องประโยชน์ของผู้ฝากเงิน ผมเข้าใจในประเด็นนี้ และผมบอกธนาคารว่าไม่ต้องห่วง ผมชำระคืนได้แน่นอน ซึ่งผมขายโลตัสตอนนั้นได้มาหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ  ซึ่งก็ได้ชำระคืนธนาคารรวมทั้งหนี้สินต่าง ๆ ด้วย ทีนี้ตัวก็เบาขึ้นและผมก็ขายเซเว่นฯไปเพียง 10% เท่านั้น ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางแต่ลำบาก ซึ่งวิกฤตตอนนั้นทุก ๆ ฝ่ายต่างก็จะเรียกเอาเงินคืน ตอนนั้นลำบาก แต่ลำบากกว่านี้คือหลังจากวิกฤตธนาคารเมืองไทยไม่มีเงินให้กู้ ธนาคารต่างประเทศก็ไม่กล้าให้เงินกู้ เพราะวิกฤตต้มยำกุ้งเกิดในประเทศไทย ดังนั้นพอพูดถึงธุรกิจเมืองไทย ไม่มีใครให้กู้ ตรงนี้ลำบาก ผมจึงไม่ได้ขายเฉพาะธุรกิจแต่ยังต้องพัฒนา ซึ่งผมมีปรัชญาว่าตอนที่ดีที่สุดเราต้องคิดถึงตอนที่เราแย่ที่สุด เราถึงจะพัฒนาบริษัทเราอยู่รอดได้อย่างไร ตอนที่ดีที่สุด เราต้องเตรียมพร้อม เพราะตอนแย่ที่สุดมันต้องมาแน่นอน เพราะธุรกิจไม่เคยดีไปตลอด ดีถึงสุด ก็ต้องลง ลงแล้วขึ้นไปใหม่ ซึ่งผมก็เตรียมตัวไว้แล้วว่าตอนที่ดีที่สุดเราจะต้องปกป้องอย่างไร เราจะต้องทำอย่างไร แล้วตอนที่แย่ที่สุด เราจะต้องคิดว่าตอนที่ดีที่สุดจะมาแล้วเราถึงจะมีกำลังใจ และตอนนั้นเราจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ธุรกิจดีขึ้น ฟื้นขึ้น เราถึงจะได้รับประโยชน์จากตรงนั้นเต็ม ๆ ลำบากที่สุดคือตอนที่แย่ที่สุด เราจะขยายธุรกิจนั้นอย่างไร ตรงนี้แหละคือสิ่งที่ผมทำสำเร็จพอเราฟื้นขึ้นมา ทุกอย่างเราก็พร้อมที่จะก้าวหน้าไปเติบโตอย่างยั่งยื

(มีอยู่มากที่มีคนพยายามหาอำนาจมาโกงเงินหลวง  หรือพวกรวยแล้วต่อยอดรวยไม่ได้ แล้วไปคิดโกงธนาคาร โกงในตลาดหลักทรัพย์ ขุมทรัพย์ของคนไม่โกงและโกง มารพวกนี้คิดว่าตัวเองสุดยอดคน  ถูกจับได้เมื่อไรแม้ไม่ถูกติดคุกจริง ก็ติดคุกใจ  ทุกข์ไปตลอดชาติได้เหมือนกัน  ท่านธนินท์ ท่านไม่คิดโกงธนาคาร ประวัติดี จึงมีธนาคารให้กู้เรื่อยไป ให้ท่านรวยแล้วรวยอีก

ผมว่าท่านจะกินก็ไม่เท่าไร  แต่มันน่าจะเป้นความท้าทายของท่านที่ทำให้คนทั่วโลกได้พึ่ง ได้พิง ได้นี่สิ มันสุดยอดคน)  

มีต่อตอนที่ 2 
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท