ศักดิ์ศรีสตรีไทยในเวทีโลก ....อร้วกกๆๆๆๆๆ


สตรีไทยในอดีต มีแต่กู้ชาติ-พิทักษ์ชาติ...วันนี้เรามีแต่ ladyกูกู้และขายชาติ 


เช่นพระศรีสุริโยทัย  แม่ย่าโม ณ โคราช  แม่ย่ามุกและจันแห่งถลาง  แม่นางรสนา  (กู้กฟผ. ไว้ ไม่ให้ตกตายตามไป ปตท.) 


สตรีไทยในอดีต แกร่ง  กล้า จนรักษาเอกราชทางวัฒนธรรมไว้ได้  แต่อนิจจาวันนี้ ตกต่ำมากๆ  อย่างน่ากลัวว่า จะสิ้นชาติในเร็ววัน เพราะสตรีไทยขายชาติอย่างโง่ง่าว แบบไม่รักศักดิ์ศรีกุลสตรีไทย มีหลายมาก 

ลองอ่านบทความนี้ดูนะครับ  ผมกลั่นกรองรวบรวมไว้ ในช่วงแต่ประมาณ พศ. ๒๕๓๓-๒๕๕๕  รวม ๒๒ ปีพอดี  ส่วนใหญ่ ๙๐ ปซ. มาในปีแรก  ๒๑ ปีที่เหลือมาเสริมอีกประมาณ ๑๐ ปซ.  เพื่อเติมเต็ม 

มันยาวมากๆ  ใครอ่านจบทุกตัวอักษร  อย่างมีโยนิโสมนสิการ  เอาไปเลย รางวัลสากกะเบือทองคำ  ผมจะมอบให้เอง (รายได้ขนาดผม ไม่ได้มีสัมปทานโทรคมกะใครเขา  คงมอบให้ได้แค่สากกะเบือนาโนนะครับ  ขนาดประมาณ สิบยกกำลังลบเก้า เมตร)

“เมื่อนายหนุ่มแต่งนางสาว”

วันนี้อะไรๆในประเทศไทยของเราดูเป็น "สากล" ไปเสียหมด จนน่าวิตก... เช่น การหันมาใช้ “นางสาว” และ “นาง” เป็นคำนำหน้าชื่อ ของผู้หญิงที่ยังไม่แต่งและแต่งงานแล้ว ที่เป็นการตามอย่างฝรั่งแล้วทึกทักว่าเพื่อความเป็นสากล  .... อีกทั้งการให้เมีย(ภรรยา) ใช้นามสกุลของผัว (สามี)  ก็ทำนองเดียวกัน

ซึ่งไอ้เรื่องการเห่อสากลบ้าบอนี้ผมเห็นว่ามันทำลายสังคมไทยอย่างมหันต์  มากกว่าการสร้างสรรค์

ในกาลก่อนนั้นประเทศไทยเราหามีธรรมเนียมเช่นนี้ไม่  แต่พอพวก “สากลชน”   (ฝรั่ง) มาเสี้ยมสอนเราว่าธรรมเนียมดั้งเดิมของเราไม่ศิวิไลซ์ (civilized)  เราก็ปรับเปลี่ยนเพี่อให้เป็นสากลที่ทยอยตามกันมาเป็นละลอกๆ 

วันนี้...พศ. (๒๕๕๐) แม้กระทั่งสีผมบนหัวก็กำลังปรับเปลี่ยนให้เป็นสากลกันอยู่ในหมู่ของคนบางจำพวก ทั้งนี้โดยยังไม่ต้องพูดถึงการออกเสียงร้องเพลงไทยให้มันเพี้ยนๆเข้าไว้ เพื่อให้มันเหมือนกับสำเนียงของพวกสากลชนที่กำลังหัดพูดภาษาไทย

ที่สำคัญที่สุดคือ....ในช่วง ๒๐ ปีที่ผ่านมา  หญิงไทยที่ “มีการศึกษา”  ระดับจบโท-เอกจากเมืองนอก  พากัน "ตื่นตัว"เกี่ยวกับเรื่องสิทธิสตรีมาก มีการรณรงค์ให้มีการเปลี่ยนกฎหมายนั่นนี่กันอยู่เนื่องๆ อีกทั้งยังมีการอภิปรายโจมตีวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยว่าล้าหลังและกดขี่สตรีเพศ มีการโจมตีคำพังเพย โบราณต่างๆเช่น ผู้ชายช้างเท้าหน้า  ผู้หญิงช้างเท้าหลัง  ชายข้าวเปลือกหญิงข้าวสาร  ดังนี้เป็นต้น

สตรีไทยเหล่านี้ต้องการให้เมืองไทย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือผู้ชายไทย)เปลี่ยนทัศนคติต่อผู้หญิงให้เป็นสากล (เหมือนพวกฝรั่ง ว่างั้นเถอะ)

ณ จุดนี้ ข้าฯ  ขอเสนอความเห็นว่า..โดยเนื้อแท้แล้ววัฒนธรรมทุกกระแสนั้น ไม่ว่า ฝรั่ง  ไทย จีน แขก  พุทธ คริสต์ อิสลาม  ต่างมีอคติต่อสตรีเพศด้วยกันทั้งนั้น จะต่างกันอยู่แต่ว่ามากน้อยกว่ากันเพียงใดเท่านั้นเอง

ข้าฯขอเสนอต่อไปด้วยว่า พวกสากลบุรุษในสากลประเทศนั้นดูถูกผู้หญิงมากกว่าชายไทยเราหลายเท่านัก....ส่วนไทยเราในอดีตนั้นมันตรงกันข้ามเลย อาจเป็นสังคมเดียวในโลกใบนี้ที่ผู้หญิงมีอำนาจมากกว่าผู้ชาย!

เช่น ในอินเดียและจีนนั้น  ....เป็นที่รู้กันดีว่าผู้หญิงได้รับการกดขี่จากสังคม(ที่ผู้ชายเป็นผู้บริหารมาโดยเกือบตลอด) เป็นเวลาอันยาวนาน จวบจนชั่วถึงทุกวันนี้  แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า เมืองไทยเราตั้งอยู่ระหว่างสองกระแสอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ดังกล่าว ที่มีการติดต่อกันมาโดยตลอด แต่ปรากฎว่าชาวไทยกลับมีทัศนคติต่อสตรีไปในทางเกือบจะตรงกันข้ามกับอารยธรรมหลักทั้งสองกระแสนั้น

เริ่มตั้งแต่การใช้นามสกุลของบุคคลและการบังคับให้หญิงที่แต่งงานแล้วใช้นามสกุลของสามี  ซึ่งวัฒนธรรมนี้มีใช้กันมาแต่โบราณกาลทั้งในอินเดีย จีน รวมทั้ง ในนานาสากลประเทศทางตะวันตก (อังกฤษ ฝรั่งเศส)  ซึ่งชาวไทยเราเองก็ต้องรู้ดีมาโดยตลอดว่าอารยประเทศเขามีธรรมเนียมเช่นนี้  เพราะเรารับเอาพุทธศาสนาเข้ามาเมื่อสองพันปีก่อนโน้นก็ย่อมต้องรู้อยู่แล้วว่า พระพุทธเจ้านั้นมีนามสกุลว่า โคตะมะ ..............ส่วนชาวจีนที่มาติดต่อค้าขายกันแต่โบราณกาลก็ย่อมมีทั้งชื่อและนามสกุล.....ฝรั่งสมัยพระนารายณ์ก็มี นาย คอนแสตนติน นามสกุล ฟอลคอน

 แต่เหตุไฉนชาวไทยเราจึงไม่ยอมรับเอาวัฒนธรรม “นามสกุล”  ของฝรั่ง จีน แขก  มาใช้ให้มันศิวิไลซ์บ้างเล่า?

(โปรดติดตามตามอ่านตอนต่อไป....หากนามสกุลยังไม่เปลี่ยน อิอิ)

....คนถางทาง 


ตอน ๒ 

... ข้าฯขอ ตั้งข้อวินิจฉัยไว้สักสามประการ ประการแรกทีเดียวเราอาจจะมีความภูมิใจในความเป็นตัวเองสูงมากในระยะนั้น ซึ่งอาจจะฟังไม่ค่อยขึ้นนัก เช่นว่า หากมีความภูมิใจสูงถึงปานนั้นแล้วทำไมจึงละทิ้งการนับถือผีสางที่ปฎิบัติมาแต่ดั้งเดิม แล้วหันมายอมรับศาสนาของชาวต่างชาติแทน(คือศาสนาพุทธ) เล่า

... ประการที่สองอาจจะเป็นเพราะว่าผู้มีอำนาจในการตัดสินใจแทนสังคมทั้งหมด(ผู้ชาย)เล็งเห็นว่าจะไม่เป็นธรรมต่อสตรีเพราะจะต้องมีการเปลี่ยนนามสกุลเป็นของฝ่ายสามี ...และประการที่สามอาจจะเป็นได้ว่าทางฝ่ายชายอยากเปลี่ยนตามกระแสอารยะธรรมโลกแต่ฝ่ายหญิงคัดค้านเอาไว้

หากเป็นเหตุผลประการที่สองก็ย่อมหมายความว่าแท้จริงแล้วผู้ชายไทยนั้นมีนิสัยเอี้ออาทรต่อสวัสดิภาพและสถานะภาพของผู้หญิงมาแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาเห่อตามฝรั่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ...หากเป็นเหตุผลประการที่สามก็หมายความว่าผู้หญิงซึ่งเราถือกันว่าเป็นช้างเท้าหลังนั้นแท้จริงแล้วมีสถานะทางสังคมสูงมาก สูงถึงขนาดสามารถมีสิทธิทัดทานกระแสวัฒนธรรมนามสกุลไม่ให้ได้ผุดเกิดในสังคมไทย

ผู้เขียนเชี่อว่าน่าจะเป็นการผสมผสานกันของเหตุผลในสองประการหลัง กล่าวคือ ทางฝ่ายชายก็เอื้ออาทรอยู่แล้ว ประกอบกับทางฝ่ายหญิงก็มีสิทธิทางสังคมสูงพอที่จะทัดทานกระแสสังคมได้

หลักฐานทางด้านอื่นๆที่แสดงให้เห็นว่าหญิงไทยเรามีสถานะทางสังคมสูงมาแต่โบราณกาลก็คือการย้ายเข้าไปอยู่บ้านของฝ่ายหญิงภายหลังจากหนุ่มสาวแต่งงานกันแล้ว

ผู้เขียนเคยนำเรื่องนี้ไปเอ่ยให้เพื่อนๆชาวอินเดียและชาวจีนฟัง เพื่อนเหล่านั้นบอกว่าการทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในสังคมของเขา พ่อแม่ทางฝ่ายชายจะถือว่าเป็นการเสียเกียรติอย่างยิ่งที่ลูกชายของตนจะย้ายเข้าบ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิง เพื่อนอินเดียบอกต่อไปด้วยว่าหากพ่อแม่ฝ่ายชายเดินทางไปธุระยังเมืองของพ่อแม่ฝ่ายหญิงก็จะไม่มีวันไปขอนอนค้างบ้านของพ่อแม่ฝ่ายหญิงเป็นอันขาด เพราะถือกันว่าเป็นการเสียเกียรติ

ทั้งในอินเดียและจีนต่างก็ยึดเป็นประเพณีว่าลูกชายคนโตได้รับเกียรติในการเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่เฒ่า สังคมทั้งสองจึงเฝ้าประคบประหงมแต่ลูกชายคนโต ดูเสมือนหนึ่งว่าเป็นการประจบลูกเพื่อที่ลูกจะได้รักและตอบแทนพระคุณเป็นอย่างดีในตอนแก่เฒ่า ..... แต่อีกมุมมองก็เห็นว่าพ่อแม่ต้องการให้ลูกชายคนโตได้เจริญก้าวหน้าเป็นคนมีเกียรติในสังคมให้มากที่สุด เมื่อพ่อแม่แก่ตัวลงแล้วไปอยู่กับลูกชายคนโตพ่อแม่ก็จะพลอยมีหน้ามีตาไปด้วย

เป็นที่น่าแปลกใจมากที่ชาวไทยก็ไม่ดูดซับเอาวัฒนธรรมเช่นนี้มาเป็นของตนบ้าง แต่กลับมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง คือพ่อแม่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว แต่ส่วนใหญ่มักจะเลือกไปอาศัยอยู่กับลูกผู้หญิงมากกว่าลูกผู้ชาย เรื่องนี้สามารถขยายความได้อีกมาก

การที่พ่อแม่นิยมไปอยู่กับลูกผู้หญิงยามแก่เฒ่าย่อมแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าผู้หญิงไทยเป็นผู้มีสถานะอันสูงในสังคม สูงพอที่จะเชิดหน้าชูตาพ่อแม่ของตนได้ สูงพอที่จะปกป้องพ่อแม่ของตนไม่ให้สามีและวงศาคณาญาติของเขามาข่มเหงพ่อแม่ของตนได้

 นอกจากนี้มันยังแสดงให้เห็นต่อไปอีกด้วยว่าผู้หญิงเป็นผู้มีอำนาจในบ้าน ใครเลยจะอยากเอาชีวิตของตนไปอิงไว้กับคนที่ไม่มีอำนาจ ถ้าให้เลือกส่วนใหญ่ก็จะอยากอยู่ในความดูแลของผู้มีอำนาจและมีเกียรติทั้งนั้น 

ในอีกมุมมองก็จะเห็นว่าการที่พ่อแม่เลือกไปอยู่กับลูกสาวก็เพราะพ่อแม่เล็งเห็นว่าลูกสาวรักพ่อแม่มากกว่าลูกชาย การที่ลูกสาวรักพ่อแม่มากกว่าลูกชายก็คงจะเป็นผลสะท้อนมาจากการที่ในวัยเด็กนั้นพ่อแม่ลำเอียง (อาจจะโดยไม่ตั้งใจ)รักลูกสาวมากกว่าลูกชายนั่นเอง

อคติโดยทั่วๆไปของนักวิชาการไทยสมัยใหม่ที่จบมาจากเมืองนอก จะสรุปกันว่าพ่อแม่ลำเอียงความรักไปทางลูกชาย  นี่มันกำปั้นทุบดินแท้ๆ ไม่น่าจะใช่วิชาการอะไรหรอก เพราะนี่คือสากลสมัยซึ่งผู้ชายคือผู้สืบทอดวงศ์สกุล(นามสกุล)ตามแขกฝรั่งจีน ...แต่สมัยก่อนโน้นทั้งหญิงและชายต่างก็มีสิทธิในการสืบทอดวงศ์สกุลเท่าเทียมกัน คือสืบทอดโดยทางสายเลือด ไม่ใช่โดยทางนามสกุลของฝ่ายชายอย่างในสากลสมัยนี้  ดังนั้นพ่อแม่ในสมัยเก่าเลยไม่มีตัวแปรเรื่องนามสกุล (และการสืบทอด) อยู่ในสมการความรักบุตรของท่าน

...โปรดติดตามตอนต่อไป

...คนถางทาง


 ตอน ๓

นักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี (ที่ตามก้นฝรั่ง คิดว่าฝรั่งดีกว่าเราในเรื่องนี้) อาจจะโต้ว่าแล้วทำไมในสมัยก่อนไทยเราจึงจำกัดการศึกษาของลูกผู้หญิง ทำไมผู้ชายได้เรียนแต่ผู้หญิงทำกับข้าวอยู่กับบ้าน จนต๊อกต๋อย กลายเป็นช้างเท้าหลัง 

อ๊ะอ๊ะ...อย่าเพิ่งด่วนสรุป  ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะว่าพ่อแม่รักลูกสาวมากกว่าลูกชายก็เป็นได้ ส่วนฝรั่งเองก็ห้ามนะ ผู้หญิงก็ต้องเน้นการบ้านการเรือนยิ่งกว่าเราเสียอีก 

คือในสมัยก่อนโน้นส่วนใหญ่แล้วเด็กๆ (ชาย)  จะต้องเดินทางรอนแรมไปเป็นระยะทางไกลๆเพื่อไปเรียนหนังสือ  โดยไปอาศัยอยู่กับวัดในตัวเมือง  การที่ลูกผู้หญิงไม่ได้ถูกส่งให้ไปเรียนนั้นก็คงเป็นเพราะความรักและเป็นห่วงลูกผู้หญิง กล่าวคือพ่อแม่ไม่อยากเห็นลูกผู้หญิงซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอต้องเดินทางรอนแรมห่างจากอกพ่อแม่ไปเป็นแรมเดือนแรมปี เกรงว่าจะถูกคนรังแกข่มเหงเอาบ้าง เพราะเป็นเพศที่อ่อนแอด้านกายภาพ

จะเห็นว่าพอทางรัฐบาลเปิดโรงเรียนให้เรียนกันได้โดยสะดวกแบบฝรั่ง (สมัย ร ๕)   พ่อแม่ก็ส่งลูกสาวของตนเข้าเรียนกันอย่างล้นหลามเทียมหน้าเทียมตาลูกชายทุกประการ คณะสำคัญๆหลายคณะในมหาวิทยาลัยตอนนี้ก็มีผู้หญิงเป็นกลุ่มข้างมากด้วยซ้ำไป 

แต่ไม่น่าเชื่อว่า ฝรั่งนั้นกีดกันการศึกษาของสตรีมากจริงๆ  เมื่อสัก คศ .  ๑๙๖๐ นี้  (หยกๆ มีเครื่องบินแล้ว)   ใน usa ยังห้ามผู้หญิงเข้าเรียนมหาลัยในสาขาเก่งอยู่เลย  บังคับว่าเรียนได้เฉพาะ พยาบาล การเรือน เศรษฐศาสตร์ในบ้าน เท่านั้น ซึ่งล้าหลังกว่าไทยเราเสียอีก (แล้ววันนี้เราไปเห่อว่าฝรั่ง มีสิทธิสตรีดีกว่าเราได้ไง ???) 

โปรดติดตามตอนต่อไป

...คนถางทาง


ตอน ๔

ในสังคมไทยเราแต่กาลก่อน  นับถือผู้หญิงที่มีเวทย์มนต์ไม่แพ้การนับถือผู้ชายที่มีเวทย์มนต์ แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยเรา "เท่าเีทียมกัน" ... สิทธิสตรีเปี่ยมล้น 

ส่วนพวกสากลชนที่พวกเราหลงใหลกันนักหนาในว้ันนี้นั้น ในอดีตกาล  มีวัฒนธรรมการไล่ล่าจับเอาหญิงที่เข้าใจกันว่ามีเวทย์มนต์มา “เผาทั้งเป็น”  (burn on stake) เสียมากต่อมาก   นับแสนคน   .... เขาพากันขนานนามพวกเธอว่าแม่มด (witch) และเรียกการไล่ล่าว่า (witch hunt) ....ในขณะที่ไทยเรากลับยกย่องและขนานนามหญิงขมังเวทย์ว่า "เจ้าแม่" ดังปรากฎว่ามีศาลเจ้าแม่อยู่มากมายในประเทศไทย (น่าจะมากกว่าศาลเจ้าพ่อเสียอีกกระมัง เช่น เจ้าแม่ทับทิม สร้อยดอกหมาก ฯลฯ) 

ในยุคโล"ภา"ภิวัฒน์นี้เรื่องเวทย์มนต์ขลังไม่ค่อยมี แต่มีเรื่องเงินทองเข้ามาแทน ในสังคมฝรั่งบางสังคม (เช่น อเมริกา)นั้น ผู้หญิงคนไหนมีเวทย์มนต์เรียกเงินเรียกทองได้มากๆและเป็นคนค่อนข้างดุ เด็ดขาด พูดจาไม่ค่อยเข้าหูคน มักจะถูกสังคมตราหน้าและขนานนามว่า "อีแม่หมาตัวเมีย" (Bitch) เหมือนอย่างเช่น นาง Helmsley ราชินิแห่งธุรกิจการโรงแรมรายใหญ่สุดของสหรัฐอเมริกาเคยโดนมาแล้ว และเชื่อว่าในขณะนี้ก็กำลังโดนอยู่

..นี่คือการ”เผาทั้งเป็น” ในรูปแบบของยุคโลภาภิวัฒน์ ใช่หรือไม่ ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดู ...

ตรงกันข้าม ในสังคมไทยเรา ผู้หญิงที่มีคุณลักษณะเช่นนั้น จะได้รับการกล่าวขานถึงในแง่ของการสรรเสริญเสียมากกว่า โดยเธอจะได้รับสมญาว่า"เจ้าแม่" อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   (ลองนึกดูสิว่าไทยเราตอนนี้มี “เจ้าแม่” อยู่กี่องค์)

แม้แต่ในวงเพื่อนฝูงพูดเล่นพูดหัวกัน เรายังขนานนามเพื่อนหญิงที่เด็ดขาดว่า “เจ้าแม่” กันอยู่เนืองๆ ...สังคมไทยเราให้เกียรติผู้หญิงมาแต่โบราณกาล ร่องรอยก็ยังมีให้เห็นอยู่มากมาย

แต่อนิจจาวันนี้เจือกโง่  ให้ฝรั่งมันมาหลอกเราได้อีกแล้ว  ว่ามันดีกว่า เก่งกว่า เรา

แล้วนักวิชาการไทย ศ.ดร .  นักสิทธิสตรีไทย  ต่างก็ขานรับกันระนาวอีกต่างหาก  รับทุนฝรั่งมาวิจัยเฉยเลย ...ไ้อ้(อี)อิ๊บอ๋าย

...คนถางทาง (๖ ตค. ๕๕) 


ตอน ๕  ...

ในสมัยก่อนผู้หญิงฝรั่งผู้เป็นภรรยาที่นอกลู่นอกทาง เช่น ไม่ยอมลงให้สามี, สูบบุหรี่, ดื่มสุรา มีสิทธิ์ถูก บุรุษทัณฑ์ เช่นอาจถูกนำมาผูกไว้กลางเมืองในฤดูหนาวแล้วผู้ชายที่เดินผ่านไปมาก็เอาน้ำมารดให้ตัวเปียกหนาวเย็นอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เคยปรากฏว่ามีการ “บุรุษทัณฑ์”  เช่นนี้ในสังคมไทย

หญิงไทยดูออกจะมีเสรีภาพในการเสพย์เครื่องดองของเมาเท่าเทียมชาย ไม่ว่าจะเป็นเมี่ยง พลู บุหรี่ หรือแม้แต่ เหล้า ...หญิงภาคกลางอาจจะไม่ค่อยสูบบุหรี่ แต่เข้าใจว่าหญิงทางภาคเหนือจะสูบมาก (บุหรี่ไชโย) อีสานก็ไม่น้อยหน้า

เรี่อง บุรุษทัณฑ์ต่อสตรีในสังคมฝรั่งนี้  มี บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์  .....ในปัจจุบันนี้ (พศ. ๒๕๓๕) บริษัทผู้ผลิตบุหรี่ยี่ห้อ Virginia Slim ยังได้เอาการลงทัณฑ์สตรีในอดีตมาเป็นกลเม็ดอันแยบคายในการโฆษณาให้ผู้หญิงหันมาสูบบุหรี่กันมากขึ้น (รู้สึกว่าจะได้ผลดีเสียด้วย เพราะในปัจจุบันอัตราการสูบบุหรี่ในหมู่ผู้หญิงอเมริกันสูงพุ่งพรวดๆ) ...

โฆษณาเขาจะทำเป็นหนังสมัยเก่าที่แม่บ้านแอบสูบบุหรี่หลังบ้าน  พอถูกจับได้  ก็ถูกลงโทษนานาประการ แล้วก็จะมีเสียงตะโกนออกมาว่า "You've come a long way , Baby!"  (คุณผ่านมันมาอย่างโชกโชนแล้วนะ...คนสวย)

พอสิ้นเสียงโฆษณาดังว่า  ก็มีภาพผู้หญิงสมัยใหม่นุ่งกระโปรงสั้นจู๋ รองเท้าสูงปรี๊ด คีบบุหรี เดินส่ายสะโพกไปมาอย่างยั่วยวนกิเลศ ....ภาพโฆษณาเขาคงต้องการจะบอกว่าสมัยนี้คุณเท่าเทียมชายแล้วนะ และคุณมีสิทธิ์ที่จะทำความเลวระยำอะไรได้เท่าๆกับผู้ชายแล้ว

ขอบอกว่า...คุณผู้หญิงฝรั่งอย่าเพิ่งชะล่าใจว่าคุณเท่าเทียมชายแล้ว จริงอยู่ คุณอาจเท่าเทียมในเชิงกฎหมาย แต่ในใจของผู้ปฎิบัติเล่า..คุณเท่าเทียมเขาแน่หรือ?

ดูง่ายๆก็ลองพิจารณาโฆษณาของ Virginia Slim นั่นแหละ มันขัดแย้งกันอยู่ในตัวเอง ด้านหนึ่งก็ว่าเราเท่าเทียมกัน แต่อีกด้านหนึ่งก็ให้ผู้หญิงนุ่งกระโปรงสั้นจู๋ แถมเปิดอกโชว์นมโชว์ไหล่เป็นของชำร่วยอีกด้วย.... ผู้เขียนสังเกตมานานแล้วว่ารูปแบบการโฆษณาทีวีของฝรั่ง(อเมริกัน) นั้นเป็นดรรชนีอันหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าความเท่าเทียมกันของหญิงและชายยังห่างไกลความจริงนัก โฆษณาหลายต่อหลายอย่างมีการใช้ผู้หญิงในการโฆษณาที่ส่อไปในทางที่ว่าผู้หญิงคือวัตถุทางเพศ (sex object)  ที่มีไว้เพียงเพื่อเป็นตัวประกอบในการตัดสินใจบริโภคสินค้าบางประเภทของผู้ชาย เท่านั้นเอง

เช่นจะขายเสื้อเชิร์ตผู้ชาย  ก็ต้องมีเรื่องทำนองว่าใส่แล้วเท่ห์จนผู้หญิงยอมแก้ผ้าให้ง่ายๆ  โฆษณารถยนตร์มักจะมีผู้หญิงนุ่งกระโปรงสั้นๆก้าวเข้าไปนั่งคู่ผู้ชายที่กำลังจอดรถรออยู่ พร้อมกับถ่ายให้เห็นขาเรียวสุดเซ็กซี่ของคุณเธอ  เหมือนกับจะบอกเป็นนัยๆว่า “ซื้อรถข้าเถอะ..รับรองเอ็งจะได้โซ้ยผู้หญิงสวยๆอย่างนี้แหละ” ......  ยิ่งสินค้าเป็นผู้ชายมากเท่าไรก็จะมีวัตถุทางเพศ (ผู้หญิงโป๊) เข้ามาแทรกมากเท่านั้น เช่น ในสินค้าจำพวกเหล้าและเบียร์  ใครรับทีวีเมืองนอกดูก็ลองสังเกตดูก็คงจะคล้อยตามกับผู้เขียนว่าผู้หญิงถูกใช้เป็นวัตถุทางเพศประกอบการโฆษณามากจริงๆ

ผู้หญิงฝรั่งอาจจะเก่งกาจทำให้พวกผู้ชายเปลี่ยนกฎหมายให้ผู้หญิงมีสิทธิเท่าเทียมผู้ชายได้ แต่พวกเธอไม่มีทางที่จะเปลี่ยนนิสัยในใจลึกๆ ของฝรั่งที่ดูถูกผู้หญิงไปได้  ทั้งนี้เพราะมันฝังลึกอยู่ในสันดานของพวกเขามานานเป็นพันปีแล้ว ...

สำหรับในประเทศไทยเราการโฆษณาก็เป็นสากลมากขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน แม้แต่การใช้น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ยี่ห้อหนึ่งก็ยังสามารถทำให้เครื่องยนต์ของคุณฟิตถึงขนาดที่สาวสวยยอมควบซ้อนท้ายไปด้วย

...เครื่องฟิต สตาร์ทติดง่าย

...คนถางทาง (๒๘ มกราคม ๒๕๕๕)


ตอนที่ ๖ กรรมสิทธิ์ที่ดิน

ในอดีตนั้นผู้หญิงฝรั่งไม่มีสิทธิ์ในที่ดิน  โดยกรรมสิทธิ์ที่ดินจะถูกโอนโดยสายเลือดทางฝ่ายชาย (ในจีนและอินเดียก็ยิ่งคงไม่ต้องพูดถึงใหญ่) แต่ในวัฒนธรรมแบบไทยๆแต่โบราณกลับไม่มีรูปแบบที่แน่นอน ที่ดินอาจตกเป็นของใครก็ได้ที่พ่อแม่ต้องการจะให้ โดยทั่วไปใครที่มีน้อยก็มักจะได้มาก หรือรักใครมากก็ให้คนนั้นมาก

แต่ที่น่าสังเกตมากคือ โดยทั่วไปแล้วที่ดินมักจะตกอยู่กับลูกสาวคนเล็กของครอบครัวคนไทยโบราณ (ได้ยินแว่วๆว่ามีนักวิชาการทำงานวิจัยยืนยันความจริงข้อนี้ไว้แล้วด้วย  โดยผมเสนอแนวคิดมาก่อนหน้านี้แล้วประมาณ ๑๐ ปี)

เรื่อง “กลับตาลปัตร” นี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด ทั้งนี้เพราะลูกสาวคนเล็กส่วนมากก็จะเป็นคนสุดท้ายที่แต่งงาน พวกพี่ๆเขาก็ "ออกเรือน" กันไปหมดแล้ว พ่อแม่ในขณะนั้นก็อยู่กับลูกสาวคนเล็กคนเดียว ประกอบกับประเพณีที่ชอบให้เจ้าบ่าวย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านของเจ้าสาวอยู่แล้ว เรื่องก็ลงเอยที่ว่าลูกเขยคนเล็กเข้ามาอยู่และช่วยทำไร่ไถนาแทนพ่อตาแม่ยายไปเสียเลย พ่อแม่ก็เลยพลอยอยู่กับลูกสาวคนเล็กไปโดยอัตโนมัติ โดยมีลูกเขยคนเล็กเป็น “บ่าว”  แรงงานฟรีๆ

ผู้เขียนยังเคยได้อ่านบันทึกว่า ท่านพระอาจารย์ชา (สุภัทโธ แห่งวัดหนองป่าพง)  เคยเล่าไว้ว่าได้ออกธุดงค์ไปในป่าแล้วป่วยเป็นไข้มาเลเรีย ซึ่งเป็นโรคที่แปลกคือกินข้าวกินปลาได้ดี แต่กลับไม่มีเรี่ยวแรงทำงาน ชาวอีสานในสมัยโน้นเลยขนานนามโรคนี้ว่า "โรคแม่ยายเกลียด" นั่นแสดงว่า ลูกเขยสมัยนั้นต้องเข้ามาอยู่บ้านแม่ยายและช่วยแม่ยายทำงาน ถ้าเข้ามาแล้วป่วยกระเสาะแสะ ทำงานไม่ได้ก็เปลืองข้าวสุก แม่ยายก็คงต้องหน้าบึ้งเป็นธรรมดา

  ในสากลสมัยนี้หญิงไทยเรากลับมีสิทธิในที่ดินน้อยลงกว่าเดิมมาก จะทำนิติกรรมที่ดินใดๆก็ต้องได้รับความยินยอมจากสามีเสียก่อน หญิงที่แต่งงานกับต่างด้าวก็หมดสิทธิที่จะครอบครองที่ดินอีกต่อไป อันนี้ความจริงแล้วก็เป็นผลพวงมาจากการเปลี่ยนให้เป็นสากลอีกนั่นแหละ คือพอผู้ชายยึดกรรมสิทธ์ในการสืบทอดนามสกุลของบรรพบุรุษตามสากลนิยมแล้วนั้น สถานะของผู้หญิงก็ต่ำลงทันที พวกเธอถูกลดสถานะทางสังคมโดยปริยายลงมาเป็นเพียงโรงงานผลิตลูก(ผู้ชาย)เพื่อสำหรับจะสืบทอดนามสกุลของปู่ ทวด ออกไปอีกหนึ่งช่วงชีวิตเท่านั้น

ดังกล่าวแล้ว..สังคมไทยซึ่งเป็นสังคมที่แบ่งชนชั้นอย่างกลายๆอยู่แล้วจึงมิอาจยกที่ดินอันถือกันว่าเป็นของล้ำค่าที่ทรงศักดิ์ศรีให้แก่คนเพศหญิงที่ “ไร้ศักดิ์ศรี” ได้อีกต่อไป .........ทั้งที่เมื่อร้อยกว่าปีมานี้เองพวกเธอแทบจะผูกขาดในกรรมสิทธิ์ที่ดิน

.....อนาถหนอ...สากลแบบไทยๆเคยเก่งดีกว่าเขาหมด มาวันนี้ไม่เหลือซากอะไรไว้ให้เป็นภูมิปัญญาของโลกได้บ้างเลย

...คนถางทาง (๒๘ มกราคม ๒๕๕๕)



ตอนที่ ๗

จากการพูดคุยกับเพื่อนฝรั่งบางคนผู้ทรงความรู้สูงในอดีต ทำให้ทราบว่าสังคมฝรั่งเขาถือเป็นหลักปฎิบัติกันมานานแล้วว่าผู้ชายเป็นใหญ่ในบ้าน(และนอกบ้านด้วย) โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็เรื่องการเงิน ผู้ชายจะเป็นคนจัดการการเงินของครอบครัว ผู้หญิงจะไปซื้ออะไรต้องขอเบิกเอาจากผู้ชาย 

ช่างตรงข้ามกับวัฒนธรรมของเราอะไรเช่นนั้น ที่ซึ่งสามีต้องทูลเกล้าถวายเงินรายได้ให้กับภรรยา จนกลายเป็นมุขตลกระดับชาติที่ว่าสามีต้องแอบยักยอกเงินเพื่อเอาไปใช้ในทางมิชอบ (ซึ่งก็ถูกจับได้ทุกที) ในบรรดาเรื่องตลกของชายไทยทุกๆเชื้อชาติ

ละครตลกไทยเรานั้น มักจะมีเรื่องเหมือนๆกันอยู่แนวหนึ่งคือ “ตลกแนวกลัวเมีย”  มักจะมีการเกทับกันในวงเหล้าว่า “เอ็งมันกลัวเมีย ต้องข้านี่สิถึงจะแน่”   แต่พอเอาเข้าจริงๆก็ยกมือไหว้เมียร้องขอชีวิตว่า  “แม่จ๋า แม่จ๋า”  อยู่ปะหลกๆ

 เรื่องตลกพวกนี้ใช่ว่าจะไร้มูลความจริง ว่าไปแล้วเรี่องตลกในสังคมนี่แหละน่าจะสะท้อนให้เห็นสภาวะที่แท้จริงของสังคมมากกว่าเรื่องราวที่ดูขึงขังจริงจังแบบวิชาการเสียอีก ทั้งนี้เพราะการจะผูกเรื่องตลกให้คนในสังคมทุกคนหัวเราะได้นั้น เค้าโครงเรื่องจะต้องเป็นที่เข้าใจกันดีของสังคมอยู่แล้ว เพียงแต่นำมาแต้มสีสันให้มันบิดเบี้ยวจนน่าขำเท่านั้นเอง

...คนถางทาง (๒๘ มกราคม ๒๕๕๕)

ตอน ๘

พวกฝรั่งที่เข้าใจสังคมไทยอย่างดีเยี่ยม (เพราะมาอยู่เมืองไทยตั้งสองสัปดาห์และอ่านหนังสือนำเที่ยวเมืองไทยไปตั้งสามเล่ม)  ส่วนมากจะวิจารณ์สังคมไทยเราว่าไม่มีความเสมอภาคในเรื่องเพศ ...สู้ประเทศอันศิวิไลซ์ของพวกเขาก็ไม่ได้

พวกเขาจะพากันรู้อย่างดีเยี่ยมว่าชายไทยทั้งในอดีตและปัจจุบันนิยมการมีเมียน้อย บางคนมีกันหลายคน

นอกจากนี้ชายไทยยังชอบเที่ยวซ่องอีกด้วย ...ช่างเลวระยำเสียจริง

 ผู้เขียนเคยพูดกระทบเพื่อนพ้องฝรั่งบางคนไปว่า..การที่ชายไทยรวยๆต้องมีเมียน้อยและชายไทยจนๆที่ไม่สามารถมีเมียน้อยได้ต้องไปเที่ยวซ่องนั้นอาจเป็นเพราะว่าผู้หญิงไทยเป็นกุลสตรีที่ทรงศักดิ์ศรีที่ไม่ยอมเสียตัวให้กับชายง่ายๆเหมือนกับพวกผู้หญิงฝรั่ง!!

 ผู้ชายประเทศไหนๆก็เหมือนกันทั่วโลกคือชอบเที่ยวสำส่อนทางเพศไปเรื่อยๆ ผู้ชายฝรั่งอาจจะต้องการเมียน้อยและหรือซ่องน้อยกว่าชายไทย เพราะอาจแสวงหาการปลดปล่อยทางเพศได้ง่ายๆจากผู้หญิงทั้งที่ยังโสดและแต่งงานแล้วที่พร้อมจะให้บริการอย่างฟรีๆอยู่มากมาย ...ก็เมือมีของฟรีอยู่ดกดื่นเช่นนั้น ใครเลยจะไปจ่ายเงินซื้อบริการให้โง่

จากสถิติที่ผู้เขียนเคยอ่านพบหรือฟังมาหลายต่อหลายครั้ง อัตราการมีชู้ของคู่สามีภรรยา(ชาวอเมริกัน)ในช่วงพศ. ๒๕๒๕ มีมากถึง ๕๐%  .....เป็นที่น่าสังเกตว่า อัตราการอย่าร้างก็อยู่ในเกณฑ์ ๕๐%  เช่นเดียวกัน.... เด็กหญิงมัธยมที่อยู่เกรด ๑๒ (ม ๖) จะผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้วประมาณ ๘๐ % โดยสถิติจะลดลง ๑๐% ทุกปี จนถึงเด็กหญิงชั้น ม. ๒ ก็จะตกอยู่ในเกณฑ์ ๔๐%

สถิติของประเทศไทยเราคงยังไม่มีในเรื่องนี้ แต่คาดเดาเอาว่าคงจะต่ำกว่านี้มาก ก็ในเมื่อดีมานด์ทางเพศของผู้ชายมันพอฟัดพอเหวี่ยงกันทั่วโลกแต่ซัพพลายของสังคมไทยมีน้อย  เพราะหญิงไทยยังไม่มีความเป็นสากลในเรื่องของการสำส่อนทางเพศ ก็เลยต้องมีการสร้างโสเภณีและเมียน้อยขึ้นมาเพื่อสร้างสมดุลให้แก่สมการทางเพศของสังคมไทย  (ที่เขียนนี้พศ. ๒๕๓๐ อนาคตประเทศไทยในเรื่องเพศจะเปลี่ยนไปอย่างไรคงเดาได้ไม่ยาก เพราะขึ้นชื่อว่าไทยสมัยนี้ มักลอกวัฒนธรรมฝรั่งอยู่แล้ว)

นั่นก็เป็นเรื่องของการตอบแบบมีอารมณ์นิดๆและเอาสีข้างเข้าถูหน่อยๆ แต่อาจจะมีส่วนจริงอยู่บ้างก็เป็นได้

พวกสากลชนมักชอบวิจารณ์กันแบบตกขอบว่าชายไทยส่วนใหญ่จะมีเมียน้อย ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ในแง่ของสถิติ เพราะประเทศเรามีปริมาณหญิงชายพอๆกัน ดังนั้น ชายไทย"ส่วนใหญ่"จะมีเมียน้อยได้ก็ต่อเมื่อหญิงที่เป็นเมียน้อยนั้นต้องเป็นเมียหลวงของคนอื่นพร้อมๆกันไป นั่นก็ย่อมแสดงต่อไปว่าเมียหลวงส่วนใหญ่นั้นเป็นเมียน้อยของผู้ชายไทยส่วนใหญ่  ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเรารู้กันดีอยู่ว่าหญิงไทยส่วนใหญ่ที่แต่งงานเป็นเมียหลวงของใครบางคนแล้วนั้นจะรักนวลสงวนตัวยิ่งนัก

บรรดาสตรีไทยที่ชอบรณรงค์เพื่อสิทธิสตรีแล้วชอบอ้างบทวิจารณ์ของฝรั่งประกอบการโจมตีสังคมไทยพึงสังวรไว้ด้วยว่าการโจมตีผู้ชายไทยแบบตกขอบแบบไม่ยั้งคิดนั้น บางครั้งกลับกลายมาเป็นการโจมตีผู้หญิงไทยเอาอย่างไม่รู้ตัว

ในสังคมแทบทุกสังคมเรื่องผู้ชายมีเมียเกินกว่าหนึ่งคนนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ในสังคมฝรั่งในอดีตก็มี ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดแบบสุดโต่งแต่ประการใด เช่น กษัตริย์เฮนรี่ที่ ๖ ก็มีมเหสีมาก  อีกทั้งในสังคมโบราณไทยนั้นจะเห็นว่าผู้ชายนิยมออกบวชแบบไม่สึกเป็นจำนวนมาก นี่อาจทำให้สมการทางเพศเสียสมดุล โดยมีผู้หญิงเหลือเป็นเซอร์พลัสมาก ตามหลักเศรษฐศาสตร์เพื่อให้ได้สมดุลก็ต้องยอมให้ฝ่ายชายมีภรรยาได้มากกว่าหนึ่ง หรือถ้าจะมองกันในแง่มนุษย์ธรรม หญิงที่เป็นเซอร์พลัสนั้นหากไม่มีสามีก็จะเคว้งคว้างไร้ครอบครัวที่จะเป็นหลักให้ความอบอุ่นในยามแก่เฒ่า การเป็นอนุภรรยาของผู้มีอันจะกินน่าจะเป็นการอนุโลมที่สมเหตุผลอยู่

พวกฝรั่งมักชอบที่จะโจมตีต่อไปว่าพระเจ้าแผ่นดินไทยในสมัยก่อนก็มีนางสนมกันมาก โดยหาเข้าใจไม่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการถวายลูกสาวให้แก่พระเจ้าแผ่นดินโดยเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ หากพระเจ้าแผ่นดินไม่ยอมรับ ข้าราชการเหล่านั้นก็จะถือเป็นการเสียเกียรติอย่างยิ่ง จนถึงอาจคิดล้มล้างแผ่นดินได้ เล็งในเหลี่ยมหนึ่งก็เสมือนหนึ่งว่าลูกสาวเป็นวัตถุทางเพศอันหนึ่งซึ่งยกให้แก่กันได้ แต่อีกเหลี่ยมเล็งก็เห็นว่า ผู้หญิงไทยนั้นเป็นผู้มีสถานะทางสังคมสูงเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพระเจ้าแผ่นดินยอมรับลูกสาวของใครเข้ามาเป็นนางสนมแล้วผู้เป็นพ่อแม่ก็จะกลายเป็นผู้มีสถานะสูงขึ้นตามลูกสาวโดยทันที

...คนถางทาง


ตอนที่ ๙ 

พวกฝรั่งนั้นมีข้อขัดแย้งกันอยู่ในตัว ในแง่หนึ่งพวกเขามีการให้ผู้หญิงเป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินได้ คือเป็นพระราชินีผู้มีอำนาจเต็ม เช่น ในอังกฤษ และ รัสเซีย (พระราชินีแคทริน) แม้แต่ในประเทศจีนซึ่งรู้กันดีอยู่ว่ามีการกดขี่ผู้หญิงมากก็ยังเคยอยู่ใต้อุ้งมือเหล็กของพระนางซูสีไทเฮามาแล้ว

ประเทศไทยเรากลับไม่เคยมีพระราชินีผู้มีอำนาจเต็ม แต่ในเรื่องรองๆลงไป สังคมไทยเรากลับยอมรับความเป็นผู้นำของผู้หญิงทั้งในอดีตและปัจจุบัน เรื่อง Joan of Arc วีรสตรีชาวฝรั่งเศส (๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว) เป็นเรื่องที่ชวนคิดมาก เธอเป็นผู้หญิงที่ต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย เพื่อนำทหารไปทำการสู้รบ รบได้ชัยชนะมากมาย เมี่อถูกฝ่ายตรงข้ามจับได้เธอก็ถูกศาลศาสนาพิภากษาให้เผาทั้งเป็นในข้อหา "แม่มด" เป็นเรื่องเหลือเชื่อแท้ๆ นี่ย่อมแสดงว่า

สังคมฝรั่งสมัยโน้นเหยียดหยามสตรีเพศ หาเรื่องอะไรไม่ได้ก็ตั้งข้อหาแม่มดไว้ก่อน ในประวัติศาสตร์ชาติไทยเมื่อหญิงต้องการนำทัพเธอก็สามารถทำได้อย่างเปิดเผย ไม่ต้องหลบๆซ่อนๆ อย่างน้อยก็สองครั้งที่ผู้หญิงเป็นผู้นำทัพอย่างเปิดเผย คื่อ สมัยคุณหญิงมุก คุณหญิงจันท์ ครั้งหนึ่ง และสมัยของคุณหญิงโมอีกครั้งหนึ่ง ชายไทยอกสามศอกต่างก็ยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาแต่โดยดี มิฉะนั้นก็คงรบไม่ได้ชัยชนะต่อข้าศึกซึ่งบัญชาโดยแม่ทัพที่เป็นผู้ชายด้วยกัน

การไม่ให้เกียรติผู้หญิงเท่าเทียมตนในสังคมฝรั่งนั้น อาจมีส่วนมาจากความเชื่อทางศาสนาประการหนึ่งโดยมีการกล่าวอ้างทางศาสนาว่าพระเป็นเจ้าสร้างผู้หญิงมาจากกระดูกซี่โครงด้านซ้ายของชาย เสมือนหนึ่งว่าผู้หญิงเป็นเพียงส่วนประกอบของผู้ชาย ...ในศาสนาพุทธแบบไทยๆปนไสยศาสตร์นั้นเล่าก็มีความเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าผู้หญิงไม่สามารถเข้านิพพานได้ด้วยตนเอง จึงต้องคอยเกาะชายผ้าเหลืองของลูกชายที่บวชให้ขึ้นสวรรค์(ชั้นนิพพาน) หรือไม่ก็ต้องทำบุญเยอะๆชาติหน้าจะได้เกิดเป็นผู้ชายกะเขาบ้าง  นับว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อที่ได้ผลมากจริงๆ จนการทำบุญตักบาตรในศาสนาพุทธของเราแต่ไหนแต่ไรมาจะเห็นว่าส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงทั้งนั้น

 ต้องขอกราบแทบเท้าคารวะท่านอุบาสิกา กีย์ นานายน (ก. เขาสวนหลวง) ผู้ล่วงลับ ไว้ ณ.ที่นี้ด้วยที่ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นและได้ฝากคำสอนไว้เป็นหลักฐานมากมายว่าผู้หญิงก็สามารถที่จะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของตนเองได้โดยไม่ต้องรอเกาะจีวรของใครๆให้วุ่นวาย

...คนถางทาง


ตอนที่ ๑๐   หน้าที่การงานของสตรี

มองในแง่กฎหมายแล้วหญิงฝรั่งดูเหมือนเท่าเทีย

หมายเลขบันทึก: 534715เขียนเมื่อ 3 พฤษภาคม 2013 21:17 น. ()แก้ไขเมื่อ 3 พฤษภาคม 2013 21:19 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

อ้าว...บทความโดนฆ่าตัดตอนก่อนจบ....  คงเพราะยาวเกินไป  แม้คอมพ์ยังทนไม่ไหว  ...  ถ้าใครอยากได้บทความเต็ม เมล์มาหาได้นะจ๊ะ  

เรียน อ.ทวิช

ผมติดตามบันทึกของอาจารย์มาระยะหนึ่งแล้ว เคย Comment บ้าง บางอารมณ์  หลายบันทึกของอาจารย์ผมได้เคยลองเอาไปใช้ ไปทำดูบ้าง ตามจริตที่ชอบ ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามประสา บันทึกนี้รู้สึกประทับใจมากครับอยากจะรบกวนอาจารย์ส่งข้อมูลฉบับเต็มให้ด้วยครับ [email protected]

ชอบทุกบันทึกของอาจารย์ครับ สำนวนมันส์ส์ส์ส์.....ดี ถูกใจเด็กช่างบ้านนอก ที่มาขายแรงงานอยู่ในเมืองหลวงอย่างผมมากๆ ครับ อาจารย์ใช้ Facebook บ้างมั้ยคับ ถ้ามีผมรบกวนขอ ADD ด้วยครับ 

ขอบคุณครับ


พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท