ชีวิตของคุณเดชา ศิริภัทร เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมของชีวิตที่พอเพียง
คำนิยม
หนังสือ จิตวิญญาณในเมล็ดข้าว
วิจารณ์ พานิช
.....................
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นในโอกาสที่คุณเดชาศิริภัทร ได้รับรางวัล ชูเกียรติ อุทกพันธุ์ ประจำปี ๒๕๕๕ ในฐานะบคคลที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคมตามอุดมคติของคุณชูเกียรติอุทกพันธุ์ ผู้ก่อตั้งบริษัท อมรินทร์ พริ๊นติ้งกรุป โดยมีเกณฑ์ในการสรรหา ๔ ข้อ คือ
๑. ทำงานสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาชีวิตและสังคมในวงกว้าง
๒. อุทิศตนเพื่อความก้าวหน้าในวงงานของตนอย่างต่อเนื่อง
๓. มีบทบาทที่ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อวัฒนธรรมการเรียนรู้รวมทั้งต่อสังคมและคุณภาพชีวิตของผู้คน
๔.มีผลงานอันทรงคุณค่าเป็นที่ยอมรับให้ประจักษ์แก่สังคม
เมื่อได้อ่านต้นฉบับผมก็รู้สึกว่า หนังสือ “จิตวิญญาณในเมล็ดข้าว” เป็นหนังสือประเภทอัตชีวประวัติที่น่าอ่านที่สุดเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่าน และแม้ผมจะเคยอ่านอัตประวัติของคุณเดชาศิริภัทร มาแล้วหลายสำเนา แต่ก็ไม่ครบถ้วนและสะท้อนตัวตนของคุณเดชาได้ดีเท่าเล่มนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในมิติด้านจิตวิญญาณ ที่ไปไกลกว่ามิติจิตวิญญาณมนุษย์ ไปสู่จิตวิญญาณของเทพ หรือมิติที่เหนือชีววิทยา
คุณเดชา ศิริภัทรได้บรรยายเรื่องราวในชีวิตของตนเองแบบเปิดเผย ในลักษณะ “กระเทาะเปลือก” ตนเองออกมาให้ดู เริ่มตั้งแต่การเป็นหลานและลูกเศรษฐีบ้านนอกที่สุพรรณบุรี นอกจากเกิดมาสมองดีแล้วครอบครัวยังมีฐานะดีมีบ่าวไพร่มาก อีกด้วย
การมีสมองดีในรูปแบบของการเรียนรู้ได้เร็ว ยังไม่เทียบเท่าสมองดีในลักษณะที่สามารถรับรู้และเรียนรู้มิติทางจิตวิญญาณจากการอ่านต้นฉบับ ๑๐๐ หน้า ผมสรุปว่า คุณเดชามีสมองที่นอกจากว่องไวกับมิติทางปัญญาหรือการเรียนรู้ทางโลกแล้ว ยังมีสมองที่ว่องไวเป็นพิเศษกับมิติทางจิตวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส่วนที่เหนือโลก คล้ายๆ กับว่าคุณเดชานี้มี ๒วิญญาณอยู่ในร่างเดียวกัน วิญญาณหนึ่งเป็นของมนุษย์ปุถุชนธรรมดา อีกวิญญาณหนึ่งเป็นเทพ หรือนักบุญ
คุณเดชาเล่าว่าการบวชและไปจำพรรษาอยู่ที่สวนโมกข์ ๓เดือน ได้เปลี่ยนจิตใจของท่านโดยสิ้นเชิง “เหมือนกับผมไปรับวิธีการมองโลกและชีวิตแบบใหม่มาจากสวนโมกข์ ทำให้เป้าหมายในชีวิตของผมเปลี่ยนไปและการเปลี่ยนแปลงภายในนี้ในที่สุดก็กลายเป็นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตภายนอกของผม ซึ่งกระบวนการดังกล่าวใช้เวลาฟักตัวอยู่หลายปี”
หลังจากค้นหาตัวเองจนอายุ ๓๖ปี คุณเดชา ก็ค้นพบตัวเอง ว่าชอบทำงานเพื่อคนอื่นมากที่สุด ในทางประสาทวิทยาศาสตร์เพิ่งรายงานเมื่อเดือนกรกฎาคม๒๕๕๕ ว่าคนแบบนี้มี altruism brain หรือสมองของผู้ชอบเสียสละแก่ผู้อื่น ดังรายงานที่ http://www.huffingtonpost.com/2012/07/19/altriusm-brain-temporoparietal-junction_n_1679766.html
การทำงานเพื่อสังคมหรือเพื่อผู้อื่น มีทั้งงานเย็น และงานร้อน คุณเดชาทำงานนี้ได้ทั้งสองประเภท โดยมีจุดยืนอยู่ข้างคนจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนา ที่มักถูกเอาเปรียบหรือหลอกลวง
ผมขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านอ่านหนังสือเล่มนี้โดยตีความว่า เรื่องราวที่คุณเดชา เล่านั้น สะท้อนภาพเส้นทางชีวิตที่เต็มไปด้วยการเรียนรู้อย่างไร และสะท้อนอุดมการณ์ของรางวัลชูเกียรติอุทกพันธุ์ อย่างไร โดยโปรดสังเกตว่าการเป็นนักอ่านของคุณเดชามีส่วนส่งเสริมเกื้อกูลชีวิตแห่งการเรียนรู้อย่างยิ่ง
คุณเดชามีชีวิตราชการสั้นคือเพียง๔ ปี เพราะไม่เข้าร่วมขบวนการเล่นพวก มุ่งทำงานสร้างผลงานตามความรู้ความสามารถ จึงไม่ได้รับความดีความชอบเงินเดือนขึ้น ๒ขั้น แม้จะมีผลงานมาก และทนความอยุติธรรมเล่นพวกในการสอบแข่งขันไปต่างประเทศไม่ได้ ความอยุติธรรมที่คุณเดชาได้รับ เป็น “พรจำแลง” ที่ในเบื้องต้นเป็นความล้มเหลวของชีวิตราชการ แต่ในระยะยาวทำให้คุณเดชาได้ก้าวสู่งานที่ตนรักและถนัด และทำประโยชน์ให้แก่สังคมไทยมากมาย
คุณเดชาได้เล่าเรื่องราวของการยืนหยัดในหลักการและแนวทางที่ตนเห็นว่าถูกต้อง และหลักการที่เป็นหัวใจ คือ เกษตรกรรมยั่งยืน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหลักการ “นิเวศน์เชิงลึก”(Deep Ecology) และเป็นสิ่งเดียวกันกับธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง
ผมตีความว่า หนังสือ จิตวิญญาณในเมล็ดข้าวเล่มนี้ บอกเราว่า ชีวิตที่ดี ที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมวงกว้างคือชีวิตที่เรียนรู้ธรรมะ จากปฏิบัติการและเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตนั่นเอง
ผมขอขอบคุณคุณเดชา ศิริภัทรและบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่จัดทำหนังสือที่มีคุณค่าทางการเรียนรู้ในชีวิตเล่มนี้ออกเผยแพร่แก่สังคมไทย
วิจารณ์ พานิช
๘ มีนาคม ๒๕๕๖
ไม่มีความเห็น