จดหมายถึงครูl บทเรียนจากโบโซ่
วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2556
กราบสวัสดีค่ะครู
การก้าวเดินบนโลกกว้าง เป็นอะไรที่ได้เห็นอะไรชัดดีนะเจ้าค่ะ เช้านี้ตื่นขึ้นมาแบบอธิบายไม่ถูกกับตนเอง รู้สึกเหมือนนอนฝัน เป็นความรู้สึกเลือนราง แล้วก็ทบทวนกับตนเองว่า ลองจริงจังกับงานเขียน แบบครูไม่ต้องเคี่ยวเข็ญซิ ก่อนหน้าที่จะรู้จักครูก็ทำอะไรได้เองอยู่ แต่ทำไมเดี๋ยวนี้ต้องรอ มัวแต่กลัวว่าจะทำผิด ทำพลาด นั่นแหละก็ยิ่งพลาดใหญ่ เมื่อออกจะสนุกที่ได้ทำอะไร ๆ ตอนนี้ข้างในกลับกลายเป็นอาการรอคำสั่ง มากกว่าที่จะคิดทำเองเจ้าค่ะ ค้นลงไปเจอแต่ความรู้สึกด้านลบที่มันไม่อยากพลาดอีกละ เป็นความคิดผิดที่เห็นลงไป
ประหลาดคนอีกละ ก็เป็นอะไรที่ไม่เคยทำ ไม่เคยเพียรเป็นเรื่องเป็นราวแล้วจะไม่มีข้อด่างพร้อยเลยก็ เพี๊ยนละ
นี่คือ เสียงกับตนเอง จัดแจงอาบน้ำทำความสะอาดห้องพระทำวัตรเช้า
แต่ก็ยังบกพร่องเรื่องไม่ทำอาหารไปถวายพระเจ้าค่ะ เหมือนมองเห็นอะไร ๆ ในตู้เย็นนั้นรู้สึกอ่อนใจ
มันเน่าเหมือนจิตหนูเลย กับสองเดือนที่ไม่เข้าบ้าน ก็สมควรอยู่ วันนี้จึงเป็นวันที่ตั้งใจชำระกับตนเอง ทั้งบ้านทั้งรถ รถก็ให้คาร์แคร์แถวบ้านช่วยล้างสักที แล้วบ้านก็ให้พี่แม่บ้านมาช่วยกันอีกแรง โละของบางอย่างที่ไม่ใช้ให้แม่บ้านไปเจ้าค่ะ
แต่ก็มีเรื่องระลึกที่ใจสั่นไหว บ่ายแก่ ๆ โบโซ่โทรมาบอกว่า “อยู่ที่กรุงเทพ” ซักไปซักมา ใจหนูเต้นแรง ทั้งใจหายทั้งห่วง วางสายไป ครานี้ติดต่อไม่ได้ ระลึกถึงครู ยังไงก็ต้องกราบเรียนครูให้ทราบก่อน พอโทรหาครู แต่ครูไม่ได้รับ ระลึกว่า ท่านคงทำงานอยู่ จึงตัดสินใจส่ง SMS แจ้งครูไว้ก่อน ลองโทรเก็บข้อมูลจากแม่ชีพัช และคุณยายแจ่ม ลองถามเกริ่น ๆ แต่ก็ไม่มีใครทราบเรื่อง แต่หนูก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง เพราะลึก ๆ ระลึกว่า ยังไงก็ต้องปรึกษาครูก่อน ไม่ควรทำโดยพละการณ์ แต่ยังไงก็ ควรจะได้กลับคืนนี้ให้รถตู้ไปรับ พอติดต่อโบโซ่ได้ ก็ย้ำให้โทรเรียนปรึกษาครูก่อน แล้วพอโทรถามอีกครั้งโบโช่ก็ได้รับความเมตตาจากครูแล้ว เรื่องขอโบโซ่ก็ทำให้หนูนึกย้อนกับตนเอง หนูเองก็ไม่ต่างจากโบโซ่ ความผิดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ถามว่าเข้าใจเขาไหม ก็เข้าใจค่ะครู เข้าใจด้วยว่าตอนที่ไหล ๆ ไป แล้วรั้งไม่ทันแล้วเป็นยังไง
รวมถึงความรู้สึกทุกข์ แล้วดิ้นรนจะกลับมาเป็นยังไง
หนูกับโบโซ่ก็เหมือนคนโง่ที่เดินย้ำบนหนทางคล้ายกันซ้ำ ๆ วิถีข้างในคล้ายกัน
ทั้งตอนหลงไปและกลับมา
เสร็จเรื่องนี้ก็มานั่งทบทวน หนูใส่ใจโบโซ่ไม่พอ ในการพูดคุย เพราะหากโบโซ่ไม่โทรมา หนูก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกลับนัก
ในบางครั้ง ที่ความทุกข์ ความฟุ้งซ่านดันขึ้นมา
เขาอาจจะต้องการ “เพื่อน” และหนูน่าจะพอเป็น ผู้ฟังของโบโซ่ได้
แต่ก็ยังทำได้ไม่ดี
เหตุอะไรทำให้เป็นแบบนี้
หนูชอบคิด อืม ต้องบอกว่า “รู้สึกด้วยเจ้าค่ะ”
ว่า จิตใจข้างใน หนูหนะ เป็นพิษ
การพูด การคุย การสื่อสาร
มันง่ายที่จะเอาพิษไปแปดเปื้อนผู้อื่น
อาจจะมีความปรารถนาให้ตนเองได้เรียนรู้ที่จะไปบำบัดความทุกข์ของผู้อื่น
แทนที่จะไปเพิ่มทุกข์ อย่างที่เป็นก็ได้เจ้าค่ะ
เลยละล้าละลังกับตนเอง เพราะรู้สึกว่า “จิตข้างในหนูมันเป็นพิษ”
ทำยังไงถึงจะไม่เป็นพิษหล่ะ “ลองถามตนเองอย่างที่ครู ถามซ้ำ ๆ”
ก็ภาวนา
แล้วยังไงคือ ภาวนา
“ตั้งใจมั่นกับตนเองในการทำสิ่งต่าง ๆ อย่างจดจ่อ ไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่องนั้นเรื่องนี้”
คิดเรื่องใดก็จดจ่อให้จบ ทำเรื่องใดก็ทำให้มันจบ แบบสำรวจตนเองว่าทำอะไรอยู่
ว้า
มันก็ยังเป็นความคิดอยู่ดีเจ้าค่ะครู
มันยังไม่ใช่คำตอบที่เป็นทางออก
ตอนนี้คดคู้ เขียนงาน
ตั้งใจถามตนเองหาคำตอบ
ทำยังไง จิตถึงจะไม่เป็นพิษและว่าง่าย”
หนูต้องหาคำตอบที่ตอบตนเองได้จริง ๆ แล้วใจยอมรับไม่ใช่คิด
รู้สึกเครียดแม้ลมหายใจยังแน่วแน่ แต่ก็ยังไม่มีคำตอบปรากฏ
มันจะไหลลงร่องเดิมคือ คร่ำครวญ แต่ไม่เอาคร่ำครวญแล้ว
ดึงมันกลับมาที่ลมหายใจ
ปวดหัวตุ๊บ ๆ แบบตึงที่หน้าผาก
อยากช่วยโบโซ่ แต่ต้องช่วยตนเองให้ได้ก่อน
ตอนนี้ที่ทำได้คือ ให้กำลังใจ
ตอนที่รู้สึกได้ คือ พอคาดคั้น เขาจะปิดเครื่องหนี หรือ ไม่ก็โกหก
พอฟังสบาย ๆ ก็จะเล่าให้ฟังเจ้าค่ะ
ก็เหมือนหนูที่พอถูกคาดคั้นก็เงียบ แล้วข้างในก็ไปลืม
เป็นซ้ำ ๆ เห็นแบบนี้ใน มดแดงเหมือนกัน
เหมือนหนูแก้ไขในตนเองไม่ได้ ก็เป็นเห็นในคนอื่น ก็ยังทำอะไรไม่ได้กับตนเองเจ้าค่ะครู
เหมือนกับต้องมาเรียนใหม่กับตนเอง แต่ก็ต้องเรียนไปจนกว่าจะลงใจ
สาธุเจ้าค่ะ
ไม่มีความเห็น