นี่หรือคือ "สมาธิ" ที่ไม่ต้องนั่งหลับตา



นี่หรือคือ “สมาธิ” ที่ไม่ต้องนั่งหลับตา?

ผมเคยผ่านการฝึกนั่งหลับตาทำสมาธิมาแล้วมากมายในชีวิต แต่ก็มีผลเพียงทำให้จิตสงบไปชั่วขณะ ทำให้ความรู้สึกเบาสบายขึ้น ผมไม่เคยได้สัมผัสมหัศจรรย์แห่งจิต จนบังเกิดนิมิตแปลกๆ ตามที่พระอาจารย์ท่านผู้รู้เคยบอกไว้ แม้พระอาจารย์จะอธิบายเพิ่มเติมว่า  ผู้ใดเกิดสมาธิจิตถึงขั้นนี้เพียงแค่งูแลบลิ้นก็พ้นอบายภูมิแล้วก็ตาม แต่นั่นเป็นสิ่งที่เกิดได้เฉพาะบุคคลที่ฝึกปฏิบัติสมาธิได้เข้มแข็งแล้ว  ถึงเกิดขึ้นจริงท่านก็มิให้ติดอยู่เพียงเท่านั้น ต้องฝึกฝนต่อไปจนถึงที่สุดแห่งบุญบารมี เพราะสมาธิจิตเป็นสะพานสู่ทางสว่างแห่งปัญญา ตามมรรควิธีแห่งพระพุทธองค์ สำหรับผมผู้ยังมีจิตอันหยาบกระด้างเกินกว่าจะเข้าถึงความพิสุทธิ์แห่งจิตได้ ก็ยังคงปฏิบัติอยู่ในขั้นอนุบาล เฝ้าแต่พิเคราะห์ตนเองว่า จิตใจยังฟุ้งซ่านอยู่มากๆ  ฝึกสมาธิทีไร ใจก็ยังคิดโน่น คิดนี่ บางทีจินตนาการไปจนสุดขอบโลก กว่าจะรวบรวมกลับมาคืน ก็หลงทางไปไกลแล้ว เลยเข้าไม่ถึงประตูสมาธิเสียที ผมพยายามฝึกตนเองตามที่ผู้รู้ท่านแนะนำ ทั้งใช้วิธีกำหนดลมหายใจเข้าออก  ใช้วิธีกำหนดจิตไว้ศูนย์กลางกาย... แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยได้ผล อาจเป็นไปได้ว่า ทำเหยาะแหยะเกินไป หรือว่า“จิตเรานี่มันซุกซนยิ่งกว่าลิง” หรือว่า บุญบารมียังไม่ถึง... เห็นทีชาตินี้จะหนีไม่พ้นอบายภูมิแล้วกระมัง?

อันที่จริงผม ผมมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในพลังจิตที่เป็นสมาธิ ตามที่ประสบกับตนเองในการทำงานบางสภาวะ ผมสามารถเขียนบทกวี เขียนรายงาน เขียนงานวิจัย เขียนการ์ตูนได้อย่างไหลรื่น  วัตถุดิบและข้อมูลสำคัญไหลเข้าสู่ความคิด จินตนาการยังกับฝายขาด บางทีได้ข้อค้นพบใหม่ ยิ่งค้นก็ยิ่งมัน... จนลืมใช้เวลาส่วนตัว  แต่ในบางสภาวะ... พิมพ์จดหมายส่งหน้าเดียวก็ผิดแล้วผิดอีก ...จะว่าเป็นไปตามวัย ก็ไม่น่าจะใช่

จำได้ว่า เมื่อผมอายุ ๑๒-๑๓ ปี ผมเคยเดินตามหลังพ่อไปเตรียมดินทำไร่ปอที่เช่าที่เขาทำ ๕-๖ ไร่ สมัยนั้นไม่มีถนน ต้องเดินลัดทุ่งถึง ๒ ทุ่ง  เราลงกะไดบ้านตั้งแต่เช้า กว่าจะถึงไร่ก็แดดแรงพอดี ทุ่งอีสานในช่วงปลายเดือนห้า มันเงียบสงัดสิ้นดี รู้สึกว่าเวลาเดินฝ่าทุ่งนาอันโล่งกว้างนั้น นอกจากตอซังข้าวแห้งที่เพิ่งถูกฝนแรก และสีแดงสดของดอกจาน ดอกงิ้วป่าที่ขึ้นประดับทุ่งเป็นหย่อมๆ แล้ว ก็เหมือนมีเพียงสองเราในโลก...พ่อกับลูก เท่านั้น ลมทุ่งเย็นๆ ที่ปะทะใบหน้าเอื่อยๆ นั้นมันช่างโรแมนติกสำหรับผมเสียจริงๆ  ผมสนุกกับการเดินทับก้าวพ่อที่เดินอยู่ข้างหน้า กลิ่นสาบเหงื่ออ่อนๆ ของพ่อโชยมาเข้าจมูกผมเป็นระยะ ในบรรยากาศนั้น...ผมเกิดรู้สึกอิ่มเอิบใจอย่างแปลกประหลาด...รู้สึกขนลุก ตัวเบาหวิว...มีความสุขใจอย่างบอกไม่ถูก... อยากจะอยู่ในสภาวะนั้นนานๆ... แต่ไม่นานนักก็กลับมาเป็นปกติ....สภาวะจิตที่ว่านี้  เกิดกับผมหลายครั้ง เป็นความทรงจำที่ติดสมองผมมาจนทุกวันนี้

เมื่อผ่านวัยรุ่นสู่ทศวรรษที่สองของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงเรียนหนังสือและดิ้นรนหางานทำ มีความรัก มีความวุ่นวายในชีวิตเข้ามาทักทายเป็นระยะ จวบจนอายุย่างเข้าปีที่สามสิบ ผมจึงได้บวชแทนคุณพ่อแม่หนึ่งพรรษา ที่วัดป่าบนภูแลนคา “วัดชัยภูมิพิทักษ์”  จำได้ว่า ก่อนที่จะเข้าโบสถ์ทำพิธีบวชกับพระอุปัชฌาย์ ผมซึ่งอยู่ในชุดนาคต้องถือพานดอกไม้ขออโหสิกรรมจากพ่อแม่และญาติๆ ขณะที่ผมก้มลงกราบที่เท้าแม่ ก็เกิดความรู้สึกอิ่มเอิบใจ ขนลุก ตัวเบาหวิว แต่คราวนี้ต่อมน้ำตามันไขน้ำถั่งเทออกมาอย่างสุดจะกลั้น ผมไม่ได้โศกเศร้าเลยสักนิด แต่น้ำตาเจ้ากรรมมันไหลออกมาทำไมก็ไม่รู้  ผมปล่อยน้ำตาลูกผู้ชายไหลให้พอ อย่างไม่อายใคร ก่อนจะคว้าเอาชายผ้าถุงที่แม่นุ่งอยู่มาซับน้ำตา จนชายผ้าถุงแม่เปียกชุ่มด้วยน้ำตานาค นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมเกิดสภาวะจิตที่ประหลาดล้ำ

ผมเคยเล่าเรื่องนี้ให้พระอาจารย์ฟัง...ได้คำตอบว่า  เป็นปิติสุข ขณะที่จิตเป็นสมาธิ  ผมถึงกับอึ้ง พยายามค้นคว้าในหนังสือธรรมะเพิ่มเติม ก็ยืนยัน เป็นไปได้จริงๆ ผมจึงเข้าใจสภาวะจิตของตนเอง เห็นความสำคัญของสมาธิจิต และพยายามฝึกจิตให้สงบ เป็นสมาธิ อยากพบกับ “ปิติสุข” อีกสักครั้ง ...แต่ตอนนี้มันดื้อกิเลสมานาน...เลยต้องฝึกยากหน่อย   


หมายเลขบันทึก: 531586เขียนเมื่อ 29 มีนาคม 2013 07:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 29 มีนาคม 2013 07:08 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท