ชาติไทยที่กินได้ แบบสะอาด บรรยากาศดี มีรสอร่อย



ชาติไทยเราวันนี้จะรอดหรือตาย  อุปมาได้กับอาหารการกิน

ถ้าให้ผมเลือกคำโฆษนาร้านอาหารที่ผมอยากกิน ผมจะจัดลำดับความสำคัญตามหัวเรื่องที่ผมว่ามา คือ ก่อนอื่น ความสะอาดสำคัญที่สุด  คือสะอาดทั้งกระบวนการผลิต  และสถานที่โดยรอบ  จาน ช้อน โต๊ะนั่ง

ต่อมาคือบรรยากาศดี  มีวิวให้ชม  มีระบบระบายอากาศ  สำหรับผมร้านห้องแอร์เย็นฉ่ำมองเห็นแค่ผนังสี่ด้าน  กับร้านริมนาเปิดโล่ง ผมเลือกอย่างหลัง แม้ราคาแพงลิ่วเท่ากัน 

โต๊ะข้างๆ เป็นผู้ดี  ไม่ส่งเสียงคุยกันลั่นด้วยสำเนียงลาวปนเจ๊ก ที่นัดมาเจอกันหลังจากจากกันไปห้าสิบปี 

ส่วนอาหารนั้น ว่าไปแล้วเป็นเพียงเครื่องประกอบบรรยากาศเท่านั้นเอง  สำหรับผมถ้าได้อร่อยสักเกรด  C ก็พอใจแล้ว  ถ้าอร่อยกว่านั้นก็ถือเป็นเรื่องของความฟลุก โบนัสพิเศษเสียมากกว่า 

เพราะการทำอาหารให้อร่อยนั้นมันยากมาก  กุ๊กคนไหน ทำได้ปานกลางเกรด C (โดยไม่ใส่ผงกระตุ้นต่อมลิ้น)  ก็ต้องถือว่าเก่งมากแล้ว  เพราะเรื่องแบบนี้มันต้องเรียนกันตลอดชีวิต จนเก่ง แต่พอเก่งก็แยกวงเสียแล้ว ไปตั้งร้านตัวเอง  ปล่อยให้เจ้าของร้านต้องฝึกกุ๊กคนใหม่ขึ้นมา  ใช้เวลาอีกสิบปี วนเวียนกันไปแบบนี้  ก็เข้าใจ แต่มีอาชีพกุ๊ก ถ้าทำให้อร่อยเกรด c ไม่ได้ ก็ไปซ่อมรถดีกว่านะ ผมว่า 

ส่วนการทำอาหารให้สะอาด  บรรยากาศให้ดีนั้น มันง่ายมาก  รากหญ้าที่ไหนที่ผ่านการอบรมสักหน่อยก็ทำได้เท่าเทียมกับผู้ดีฝรั่งริมวังบัคกิ้งแฮม  แต่กลับปรากฏว่าร้านอาหารไทยเราหาสะอาดแบบนี้ได้ยากมากๆๆๆ แม้ว่าราคาแพงอย่างไรก็ตาม  

ร้านอาหารห้าดาว ราคาแพงระดับคันตรีน (แพงกว่าหูฉี่)  เพียงแค่บ๋อยจับช้อน จาน ก็จะอ้วกแล้ว เช่น เอาหัวแม่มือคีบปากช้อน-ซ่อมเฉยเลย  แถมเอามาวางบนโต๊ะ โดยไม่มีผ้ารองอีกต่างหาก  ทำให้เราต้องเสียเวลาเอากระดาษเช็ดตรูด เช็ดมือ ที่มันวางไว้ข้างๆ มาเช็ดอีกรอบ  ...ซึ่งไอ้กระดาษเอี้ยพวกนี้ก็เต็มไปด้วยสารเคมีหลากหลาย เช็ดไปกินไป ก็มะโรงแดกซ์กันไป 

อาหารออกมา จานละ สามพัน สั่งไปห้าจาน ก็หมื่นห้าพอดี  รสชาติมันก็งั้นๆ แหละ  สู้แกงป่าปลาดุกฝีมือแม่ผมสมัยก่อนที่เป็นเด็กบ้านนอกยังไม่ได้เลย 

หมื่นห้า  โอย...แต่กินแล้วท้องเสียทันทีอีกต่างหาก  ต้องไปขรี้ออก  หมื่นห้าหายไปกับชักโครกในบัดดล 

...เพราะท้องผมตอนนี้มัน  ดจร.  เป็นคุณหนู  ธรรมชาติมากๆ  ....อะไรที่เป็นสารเคมี  จะรับไม่ได้  ขรี้แตกออกหมดในบัดดล  แต่ถ้าเป็นอาหารพื้นๆ ธรรมชาติ  ผักพื้นบ้าน ปลาร้า ปลาจ่อม  กลับกลายเป็นท้องผูก นานหลายวัน จนต้องกินยาถ่าย ไล่ให้ออกไป 

จมูกก็เช่นกัน ถ้าเป็นน้ำหอม ยาดับขี้เต่า ทากายแล้วเดินเอามาให้ผมดม โดยแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมในห้องทำงาน  ก่อนอื่นผมจะจามรุนแรง  แล้วไล่แขกออกไปด้วยกิริยาท่าทางรังเกียจที่แสดงออก  จากนั้นผมเข้าไปอ้วกในห้องน้ำ  เพราะทนคลื่นไส้กลิ่นเหล่านั้นไม่ไหว

ร้านอาหารวันนี้ส่วนใหญ่โฆษณาว่า อร่อย ราคาถูก เป็นหลัก  น่าประหลาดว่า  แม้อยู่แสนไกล ก้นตรอกริมเมือง คนก็ถ่อไปกินกัน จนรถติด  รถสวนทางกันก็ลำบากเพราะถนนแคบ  แต่พวกแมงง่าวก็พยายามกันเหลือเกินเพียงเพื่อไปกินอาหาร สกป.  ที่ร้านแสนร้อน  แถมมีกลิ่นน้ำเน่าเหม็นคลอรูจมูกอีกตะหาก  แล้วรถที่ขับไปกินนั้น แพงๆ จากยุโรปทั้งนั้น รุ่นเลขสูงๆ มีอักษรย่อต่อท้ายยาวๆ  ทั้งน้าน  พวกรถยี่ปุ่นถูกๆ มีน้อยมาก

นี่แหละคนไทยเรา มันไม่มีทฤษฎีไหนในโลกอธิบายการตัดสินใจเลือกอาหารของคนไทยได้  ..ไม่แปลกใจทำไมการเมืองจึงยังคงเป็นแบบนี้ 

ตราบเท่าที่คนไทยยังมีพฤติกรรมการกินอาหารแบบนี้ การเมืองไทยก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ ...กินอร่อยด้วยสารปรุงแต่งอย่างสกป.กันต่อไป  ในบรรยากาศสลัวๆ  จนกว่าสังคมชาติไทยจะตายด้วยโรคมะเร็งในเร็ววันนี้  จะได้สิ้นเวรสิ้นกรรมกันเสียที

...คนถางทาง (๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖)


หมายเลขบันทึก: 531346เขียนเมื่อ 26 มีนาคม 2013 00:04 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 มีนาคม 2013 00:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ชอบคำนี้ครับ

"โต๊ะข้างๆ เป็นผู้ดี  ไม่ส่งเสียงคุยกันลั่นด้วยสำเนียงลาวปนเจ๊ก ที่นัดมาเจอกันหลังจากจากกันไปห้าสิบปี "

แล้วสังคมไทยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายยังครับ.....เห็นเป็นแบบนี้มานานแล้วคับ

ไม่ถึงระยะสุดท้ายสักที่.....

อืมม.... ทางมาบ้านผมมีร้านส้มตำดังมากๆ อยู่ร้านหนึ่งครับ เป็นอย่างที่อาจารย์บรรยายเลย ทำให้ขับรถกลับบ้านแต่ละทีนี่ลำบากมากเพราะถนนเล็กนิดเดียว กลัวรถกะบะเก่าๆ ของผมมันจะไปเฉี่ยวรถใหม่ๆ ของเขาครับ

อาจารย์เขียนแบบฮาร์ทคอร์จริงๆ ติดตามอ่านมานานแล้ว หลายบทความของอาจารย์ ได้ถูกนำไปเผยแพร่ในหน้าเฟซบุ๊คของ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ด้วย ผู้คนจึงได้อ่านบทความที่มีประโยชน์ของอาจารย์คนถางทาง ผ่านหน้าเพจ อ.เจิมเยอะมาก หลักพันขึ้นไปเพราะคนติดตามเฟซบุ๊ค อ.เจิม หลายหมื่นคน บางบทความของอ.คนถางทาง มีคนกด like ให้เป็นพันๆคนเลยทีเดียว แล้วก็กดแชร์บทความต่อๆกันไป อาจารย์เชื่อเถิดมีคนเล่นเฟซบุ๊คได้อ่านบทความอาจารย์เยอะมาก แต่เขาไม่รู้ว่าต้นกำเนิดบทความออกมาจากเว็บนี้ จึงนับว่าอาจารย์ประสบความสำเร็จในการถ่ายทอดเจตนารมย์ผ่านการเขียนแล้ว  บทความจำนวนมากของอาจารย์มีประโยชน์ชนิดนำมาปฏิบัติได้จริง น่าจะนำมารวบรวมตีพิมพ์เป็นเล่ม

ปกติถ้า copy ลิงก์ไปแปะใน Facebook นั้นเมื่อคลิกก็จะเข้ามาอ่านในเว็บต้นทาง (เว็บนี้) ไม่ใช่หรือครับ ยกเว้นเสียแต่ว่า copy เนื้อหาไปโพสต์โดยตรงใน Facebook ครับ ไม่ทราบว่า ดร.เจิมศักดิ์ ท่านนำเนื้อหาไปเผยแพร่ต่อวิธีไหนครับ

ถ้าเป็นไปได้ผมอยากแนะนำให้ ดร.เจิมศักดิ์ โพสต์เฉพาะลิงก์ของบันทึก อ.ถางทาง ผู้อ่านจะได้ลิงก์มาได้ครับ และยิ่งกว่านั้นจะไม่ทำให้ผู้อ่านที่ไม่ได้สังเกตให้ละเอียดเข้าใจผิดว่าเป็นงานเขียนของ ดร.เจิมศักดิ์ เองด้วยครับ

ผมคิดว่า ดร.เจิมศักดิ์ น่าจะมีทีมด้านเทคโนโลยีที่ช่วยดูแล social media ให้ท่าน ถ้าทีมงานของท่านมาอ่านเจอผมขอแนะนำให้ copy เฉพาะลิงก์นะครับ ไม่ต้อง copy เนื้อหาครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท