ปัจจุบันสังคมไทยโดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตประจำวันไปเป็นแบบสังคมคนเมืองสมัยใหม่ที่มีพฤติกรรมการกิน เปลี่ยนแปลงไปโดยบริโภคอาหารปรุงสำเร็จมากขึ้นบริโภคอาหาร ขนมหวาน มันเพิ่มขึ้น กินผักผลไม้น้อยลง
ทำงานในตึกหรือออฟฟิศมากขึ้น และไม่มีเวลาออกกำลังกาย
ลักษณะดังกล่าวทำให้มีปัญหาโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้น
จากข้อมูลของโครงการคนไทยไร้พุงที่สนับสนุนโดยกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาคนไทยอายุ 20-29 ปี ภาวะโรคอ้วนเพิ่มจากร้อยละ 2.9 เป็นร้อยละ 21.7 หรือเพิ่มขึ้น 7.5 เท่า และในกลุ่มอายุ 40-49 ปี เพิ่มขึ้น 1.7 เท่า
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลผลการสำรวจของกรมอนามัย ในประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ทั่วประเทศของปี พ.ศ. 2550 พบว่ามีภาวะอ้วนลงพุงในเพศชายร้อยละ 24 และเพศหญิงร้อยละ 61.5 ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความสำคัญนอกจากนี้ภาวะโรคอ้วน และโรคไขมันตับยังมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก โดยพบว่าความชุกของโรคอ้วนในปี ค.ศ.2006 ของสหรัฐอเมริกา มีสูงถึงร้อยละ 20-30 และกลุ่มนี้จะพบความชุกของโรคไขมันตับได้สูงถึงร้อยละ 70-80
ดังนั้นการแนะนำให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงหลักการรักษาที่สำคัญและทำได้ด้วยตนเองก็คือ การควบคุมอาหาร ออกกำลังกายจะเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่สำคัญที่ช่วยลดทั้งปัญหาโรคอ้วนและไขมันตับได้
โดย ในบทความในตอนที่ 1 จะแนะนำให้ผู้อ่านรู้จักไขมันตับในเบื้องต้น
รวมถึงหลักการคุมอาหาร ลดน้ำหนักอย่างไร
ให้ได้ผลโรคไขมันเกาะตับคืออะไร
ไขมันเกาะตับ (Nonalcoholic
fatty liver disease (NAFLD)
หมายถึงภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับ โดยที่คนนั้นไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มในปริมาณที่น้อยมากโดยที่ไขมันจะทำให้เกิดการอักเสบของตับ และเกิดพังผืด ซึ่งถ้าเป็นไปในระยะยาวก็กลายเป็นโรคตับแข็งได้
ภาวะไขมันเกาะตับพบบ่อยแค่ไหน
มีความชุกของโรคไขมันเกาะตับ (NAFLD) สูงถึงร้อยละ
40 ของประชากรทั่วไป
ไขมันเกาะตับพบได้บ่อยขึ้นในคนบางกลุ่ม เช่น คนอ้วนพบถึงร้อยละ 37-90 ผู้ป่วยเบาหวานพบร้อยละ 50-62 ภาวะไขมันเกาะตับมักมีโรคที่พบร่วมด้วย
โดยเฉพาะภาวะอ้วนลงพุง หรือเมตาโบลิค ซินโดรม (Metabolic syndrome) เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลินพบได้ 1 ใน
3 ไขมันในเลือดสูงพบได้ 2 ใน
3
โรคอ้วนใช้เกณฑ์ดัชนีมวลกาย มากกว่า 28 กก./เมตร 2
คำนวณโดยดัชนีมวลกาย
= น้ำหนักตัว (กก.) ส่วนสูง (เมตร)2 หรือใช้เส้นรอบเอว
ก็ช่วยบ่งชี้โรคอ้วนได้โดยดูจากเส้นรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว
ในผู้ชายหรือมากกว่า 32
นิ้ว
ในผู้หญิงการวินิจฉัยภาวะไขมันเกาะตับมีความผิดปกติของค่าทำงานตับ
มีประวัติดื่มแอลกอฮอล์น้อยมากคือ
น้อยกว่า 20 กรัม/วัน หรือไม่ดื่มเลย และไม่พบสาเหตุอื่น ๆ ของตับอักเสบ เช่น ยา สมุนไพร โรคตับจากไวรัสเป็นต้น ผลการเจาะตับมีลักษณะพยาธิวิทยาที่พบไขมันแทรกอยู่เกินร้อยละ
5 และ/หรือมีการอักเสบร่วมด้วย ผลตรวจอัลตราซาวด์พบว่ามีไขมันเกาะตับ
หมายเหตุ
แอลกอฮอล์ 10 กรัม/วัน = เบียร์ 350 มล. หรือ ไวน์ 120 มล.หรือบรั่นดี 45 มล.
ซึ่งเรียกว่า 1 ดริ๊งค์ (drink)สามารถวินิจฉัยภาวะไขมันเกาะตับได้อย่างไรบ้าง?
1. การเจาะตับ
2. การตรวจเลือดเพื่อแยกสาเหตุอื่น
3. ตรวจอัลตราซาวด์ตับ
เนื้อตับที่แพทย์เจาะมาช่วยบอกอะไรบ้าง?
ช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคไขมันเกาะตับ
ช่วยบอกความรุนแรงของโรคว่าเนื้อตับมีการอักเสบ
มีพังผืดมากน้อยเพียงใดตับแข็งหรือไม่
ช่วยกระตุ้นให้ผู้ป่วยเชื่อว่ามีโรคที่รุนแรงจริง และลงมือปฏิบัติปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน
ถ้ากังวลและไม่ต้องการเจาะ ตับ จะวินิจฉัยโรคนี้ได้หรือไม่ ? อย่างไร ?
ปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการตรวจหาพังผืดในตับโดยไม่ต้องเจาะตับซึ่งก็มีหลายวิธีที่มีข้อมูลวิจัยสนับสนุนอยู่ เช่น การตรวจเลือด Fibrosis test ที่ช่วยจำแนกความรุนแรงของพยาธิวิทยาของตับได้ว่ามีพังผืดมากน้อยเพียงใดปัญหาคือราคาแพงอยู่มาก นอกจากนี้ยังมีเครื่องวัดความยืดหยุ่นของตับหรือ Transient Elastrography (Fibro-scanR) ที่มีหลักการของเครื่องมือโดยใช้อุปกรณ์ส่งคลื่นความถี่ระดับ 50 Hz ผ่านบริเวณตำแหน่งที่ใช้ในการเจาะตับคือบริเวณด้านสีข้างตัดกับแนวลิ้นปี่โดยให้ผู้ป่วยนอนหงายคลื่นดังกล่าวจะวัดความยืดหยุ่นของตับในระดับที่ลึกกว่าผิวหนังลงไปประมาณ 1-2.5 นิ้ว ส่วนขนาดของเนื้อตับที่ตรวจวัดก็มีขนาด 1 x 4 ซม.ซึ่งมีปริมาตรที่มากกว่าชิ้นเนื้อจากการเจาะตับถึง 100 เท่าปัจจุบันสามารถตรวจได้ในโรงเรียนแพทย์หลายแห่งรวมทั้งที่คณะแพทยศาสตร์จุฬาฯด้วยแต่ข้อจำกัดคือยังไม่มีใช้อย่างแพร่หลายและค่าที่วัดได้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้โดยเฉพาะในคนที่อ้วนมาก ๆ
ข้อมูลจาก นายแพทย์สมบัติ ตรีประเสริฐสุข ศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ไขมันเกาะตับ (Nonalcoholic fatty liver disease (NAFLD)
หมายถึงภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับโดยที่คนนั้นไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ หรือดื่มในปริมาณที่น้อยมาก โดยที่ไขมันจะทำให้เกิดการอักเสบของตับและเกิดพังผืด ซึ่งถ้าเป็นไปในระยะยาวก็กลายเป็นโรคตับแข็งได้
เมื่อเป็นโรคไขมันเกาะตับ
จะมีการดำเนินโรคอย่างไร?
1. ผู้ป่วยไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบหรือมีพังผืดร่วมด้วย
พบว่าร้อยละ 20
หรือ 1 ใน 5 กลายเป็นตับแข็งและร้อยละ 37
เริ่มมีพังผืดในตับ
2 .มีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ถึงร้อยละ 10
เมื่อได้รับการวินิจฉัยโรคมานาน 10 ปีผู้ป่วยกลุ่มใดที่จะมีการดำเนินโรคไปเป็นตับแข็ง?
โดยทั่วไปใช้เวลา 10-20 ปี
กว่าจะเกิดตับแข็งและพบได้ 1 ใน 5
ของผู้ป่วยโดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะต่าง
ๆ ต่อไปนี้
โรคอ้วน ( BMI ยิ่งสูง ยิ่งไม่ดี โดยเฉพาะค่า BMI
ที่มากกว่า 35 กก./ ม2)
เบาหวาน
อายุมากกว่า 45 ปี
ค่าการทำงานตับมีอัตราส่วน AST/ALT มากกว่า 1
ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพบว่าเป็นโรคตับแข็งได้เร็วขึ้นจุดมุ่งหมายของการรักษามีดังนี้คือ
ป้องกันการเกิดภาวะหัวใจขาดเลือดด้วยการควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ
ได้แก่ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน
ป้องกันการเกิดภาวะตับแข็งด้วยการลดการอักเสบของตับ
ป้องกันการเกิดมะเร็งที่อาจพบแทรกซ้อนได้
โรคไขมันเกาะตับที่มีภาวะอักเสบหรือมีพังผืดร่วมด้วยจะรักษาได้หรือไม่? อย่างไร?
1 . มุ่งลดปัจจัยเสี่ยง เช่น เบาหวาน โรคอ้วน
ไขมันในเลือดสูงที่พบร่วมด้วยให้ดี
2. ต้องลงมือปฏิบัติ โดยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตประจำวัน
จึงจะได้ผลในการรักษา ดังนี้
งดดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดหรือลดการดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลงจนเลิกดื่ม
ควบคุมอาหารที่มีพลังงานสูงเกินความต้องการร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พบว่า มีผลต่อการลดภาวะอักเสบของตับได้อย่างชัดเจน
ซึ่งยืนยันได้จากทั้งผลตรวจเลือดค่าทำงานตับหรือผลการเจาะตับ
เดินรอบสวนลุมพินี 2.5 กม. ใช้เวลา 20-30 นาที ได้ 3,100 ก้าว (150-280 กิโลแคลอรี ขึ้นกับ
ความเร็วที่ใช้เดิน)
เดินให้ได้ 10,000 ก้าว/วัน จะได้ 450-800
กิโลแคลอรี หรือดูกิจกรรมที่ทำได้ดังในตารางที่ 1
ควรวางเป้าหมายไว้ที่ 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ (ไม่ควรเกิน
1.6 กิโลกรัมต่อสัปดาห์) โดยเลือกกิจกรรมการออกกำลังกายที่เป็นการออกกำลังกายระดับปานกลางการออกกำลังกายในระดับสูง (High intensity physical
activity) จะช่วยเผาผลาญไขมันคิดเป็นพลังงานได้ประมาณ 2 เท่า ของการออกกำลังกายในระดับปานกลางแต่อาจจะมีผลเสียต่อข้อและกระดูก
การขี่จักรยานมักต้องใช้ระยะเวลานานกว่าการเดินเร่งหรือวิ่ง
เพราะเป็นกิจกรรมที่ไม่ได้ลงน้ำหนัก (Non-Weight-Bearing)
ส่วนวิธีประเมินผลว่า เป็นการออกกำลังกายในระดับ moderate
intensity physical activity หรือไม่ทำได้ดังนี้
ให้ใช้อัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งคำนวณจากค่า (220 ลบ อายุ) คูณ (ร้อยละ 50-70) เช่น ผู้ป่วยอายุ 40
ปี เมื่อออกกำลังกายในระดับปานกลางแล้วควรมีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่
(220–40) x 0.5 = 90 หรือ (220–40) x 0.7 = 126 หรือมีอัตราการเต้นของหัวใจระหว่าง 90-126 ครั้ง/นาที
ข้อมูลจาก นายแพทย์สมบัติ ตรีประเสริฐสุข
ศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ขอบคุณ ไขมันเกาะตับ 1-2
จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ คอลัมน์ชีวิตและสุขภาพ โดยนายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์
ไขมันเกาะตับ อ่านพบนำมาฝาก ระวัง ป้องกันกันอย่างไรดี ไม่อยากไปโรงพยาบาล ไม่อยากไปให้หมอตรวจ ตรวจพบแล้วกลัวได้กินยา ต้องมาอดอาหารที่ชอบ ฯ ก็คงต้องระวังเรื่องการเลือกอาหารแต่ละมื้อแต่ละวันให้มากขึ้นด้วยเพื่อไม่ให้มีโรคเกิดขึ้นในร่างกายที่เป็นโรคที่มาจากอาหาร คนเราป่วยเพราะอาหารได้จริงๆ ไม่ว่าจะอายุเท่าไร?
ด้วยความปรารถนาดี กานดา แสนมณี
ไม่มีความเห็น