หลังจากที่ได้กลับมาอยู่บ้านเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในรอบระยะเวลาหลาย ๆ ปี
3 สัปดาห์นี้ทำให้ผมได้เรียนรู้และเข้าใจสัจธรรมแห่งชีวิตอีกหนึ่งข้อที่สำคัญที่สุดและได้หลงลืมเรื่องนี้ไปเสียนาน
"การกระทำแห่งชีวิต"
สิ่งใดบ้างเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำ
สิ่งใดบ้างเป็นสิ่งที่ควรทำ
และสิ่งใดบ้างเป็นสิ่งที่ทำก็ได้ ไม่ได้ทำก็ได้
เช่นเดียวกับเรื่องของ "ความรู้" (ความรู้แห่งชีวิต) ซึ่งก็สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประการเช่นกันก็คือ เรื่องที่จำเป็นต้องรู้ เรื่องที่ควรรู้ และเรื่องที่รู้ก็ได้และไม่รู้ก็ได้
สิ่งที่จำเป็นต้องทำนั้นได้แก่ การตอบแทนบุญคุณบุพการี พ่อและแม่ของเรา ซึ่งทำให้เราเป็นเราและมีเราอยู่ได้ทุกวันนี้
เมื่อวานตอนกลางคืน ผมได้ฟังคุณโสภณ สุภาพงศ์ พูดเรื่องของเหตุการณ์สึนามิ ที่มีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งลงไปช่วยลูกที่อยู่ในทะเล ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นรู้อยู่ว่า การที่วิ่งลงไปในทะเลแทนที่จะหนีขึ้นที่สูงจากคลื่นนั้นจะทำให้เขาต้องตาย แต่เขาก็เลือกที่จะวิ่งลงไปในทะเล เพราะเขาคิดว่านั้นเป็นหน้าที่ที่ทำให้เขามีความสุขถึงแม้ว่าจะต้องตาย แต่ในทางกลับกัน ถ้าเขาวิ่งหนีคลื่นสึนามิที่ถาโถมเข้ามานั้น เขาอาจรอดชีวิต แต่หลังจากนั้นเขาจะพบกับความทุกข์ไปตลอดชีวิต นี่คือเหตุผลในการตัดสินใจของผู้หญิงที่มีชื่อว่า "แม่"
ซึ่งทำให้ผมต้องกลับมาย้อนคิดถึงตัวเองในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา ที่ต้องวิ่งหางานและหาเงินในต่างจังหวัด ในเมืองใหญ่ ในที่ที่ห่างไกล จนทำให้ลืมทำสิ่งที่ "จำเป็นต้องทำ" การกระทำแห่งชีวิตที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือดูแล เอาใจใส่ ปรนนิบัติพ่อและแม่
ถึงวันนี้ผมจะไม่ได้เรียนหนังสือ ผมจะไม่มีงานทำ ผมจะไม่มีรายได้ แต่ผมก็มีความสุข เพราะนั่นเป็นความสุขแท้ที่ผมห่างหายจากการได้สัมผัสมาเป็นเวลานานนับปี แต่ผมก็มีหน้าที่ที่สำคัญยิ่งของลูกที่จะปรนนิบัติ พัดวี ให้พ่อและแม่หายเหนื่อยและมีความสุข
และประเด็นหนึ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่คุณโสภณ สุภาพงศ์ ได้พูดไว้อย่างดียิ่งนั้นก็คือ
ทุกวันนี้บางครั้งเราหลงลืมทำสิ่งต่าง ๆ ไป หรือผัดผ่อนว่าจะทำสิ่งใดไว้วันหน้า ก็เพราะเราคิดว่า "ยังมีวันพรุ่งนี้"
แต่ถ้าวันพรุ่งนี้ไม่มีล่ะ ถ้าไม่มีเราในวันพรุ่งนี้ เราอยากทำสิ่งใดมากที่สุด
"กลับมาอยู่ใกล้ ๆ คนที่ตนเองรักและทำให้ความมีความสุข"
ดังนั้น
เราควรทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสที่จะทำ เพราะวันนั้น วันสุดท้ายแห่งชีวิต ไม่มีใครรู้ว่า วันนั้นคือวันไหน
เพราะฉะนั้น เราควรที่จะทำให้คนที่เรารักและรักเรามากที่สุดนั้น "มีความสุข" อยู่ใกล้ ๆ เอาใจใส่ ปรนนิบัติ ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกล "ส่งใจถึงท่าน" เพราะสิ่งนี้และสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นแห่งชีวิตของเราทุกคน
ในห้วงแห่งเวลานี้ ทุกคืนก่อนนอน ผมจะนั่งนวดขาให้แม่ เพราะแม่บ่นว่าปวดขามานาน ตอนเวลาที่นวดและได้ฟังแม่บอกว่า "ดีขึ้น หายปวดแล้ว" ผมมีความสุขมาก ๆ ครับ
ปภังกร วงศ์ชิดวรรณ
บันทึกจากช่วงเวลาแห่งชีวิตที่มีความสุขที่สุด
อุ่นใด ๆ โลกนี้ไม่มีเทียบเคียง อุ่นอกอ้อมแขนอ้อมกอดแม่ตระกอง
รักเจ้าจึงผูก รักลูกแม่ย่อมห่วงใย ไม่อยากจากไปไกลแม้เพียงครึ่งวัน
ให้กายเราใกล้กัน ให้ดวงตาใกล้ตา ให้ดวงใจ เราสองเชื่อมโยงผูกพันธุ์
อิ่มใด ๆ โลกนี้ไม่มีเทียบเทียม อิ่มอกอิ่มใจอิ่มรักลูกหลับนอน
น้ำนมจากอกอาหารของความอาทร แม่พร่ำเตือนพร่ำสอน สอนสั่ง
ให้เจ้าเป็นเด็กดี ให้เจ้ามีพลัง ให้เจ้าเป็นความหวังของแม่ต่อไป
ใช่เพียงอิ่มท้อง ที่ลูกร่ำร้อง เพราะต้องการไออุ่น
อุ่นไอรัก อุ่นละมุน ขอน้ำนมอุ่น จากอกให้ลูกดื่มกิน
(เพลงอิ่มอุ่น ศิลปินศุ บุญเลี้ยง)
เป็นบันทึกที่งดงามในตัวเองค่ะ
ทุกวันนี้ก็พยายามใช้หลักคิดแบบนี้อยู่ค่ะ บางทีก็ต้องให้กำลังใจตัวเองมากๆด้วย ต้องอดทนสูงค่ะ ยิ่งถ้าคนอื่นไม่เข้าใจก็จะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงแบ่งเวลามาทำสิ่งเหล่านี้ค่ะ...
ให้กำลังใจอาจารย์ปภังกรครับ
ทุกวันนี้ผมก็ใช้เวลาให้มีคุณค่ามากที่สุด ได้มาทำงานอยู่ที่บ้าน และได้ทำหน้าที่ลูกที่ดี ปฏิบัติหน้าที่คนดีของสังคม
ไม่ได้ท้อครับ...แต่รอเพียงโอกาส
ขอโทษคะ ทำไมคุณปภังกร ถึงไม่ได้เรียนและไม่ได้ทำงานแล้วหละคะ คือว่านิวไม่เข้าใจคะ แต่ถ้าไม่สบายใจที่จะตอบ ก็ไม่เป็นไรคะ !! แต่ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะ อย่าคิดมาก หนทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรอกนะ ทุก ๆคนก็ย่อมมีอุปสรรคชีวิต เป็นของตัวเองทั้งนั้น และให้มองว่ามันคือ "โจทย์" ชีวิตที่เราต้องแก้และต้องแก้ให้ได้ด้วย และนิวคิดว่าคุณปภังกรคงเป็นนักทำข้อสอบที่ฉลาดในการเลือกคำตอบของโจทย์ชีวิตตัวเองได้ดีที่สุดนะ
มาสนับสนุนความคิดของคุณสิงห์ป่าสักคะ
ความทดท้อ...และเฝ้าวนเวียนอยู่แต่กับความคิดเชิงลบ..ล้วนแล้วแต่ทำให้เวลาที่เรามีอยู่ยิ่งเหลือน้อยลงไปอีก...
"มรณสติรู้ตัวทั่วพร้อมทุกเวลา..."