ตอนรอเครื่องบินที่สนามบินเชียงใหม่ก็ได้พบคนไทยใจดีคือ คุณคนึงนิจ บ้านอยู่ท่าศาลา ลำปางนี่เอง เป็นบุคลากรสถานฑูตไทยในเมืองย่างกุ้ง <ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> ท่านเล่าว่า ชอบไปทำบุญที่พระเจดีย์ชเวดากองมาก ชอบนำของไปบริจาคเลือดที่คลังเลือด โรงพยาบาลย่างกุ้งด้วย </div></li></ul>ครั้งหนึ่งท่านนำถุงบริจาคเลือดจากเมืองไทยไปบริจาคด้วย นับว่า น่ากราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุเป็นอย่างยิ่ง <p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"> </p><ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-align: justify"> อาจารย์ปุ๊ก คนไทยที่ไปปฏิบัติธรรม ณ วัดแฌมเญ่ แนะนำให้รู้จักกับท่านอาจารย์ อู เข่ง จี วีน อดีตอาจารย์คณิตศาสตร์ ซึ่งเกษียณจากมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ปัจจุบันอายุ 59 ปี </div></li></ul>อาจารย์วีนทำงานอาสาสมัคร(กัปปิยะ)ที่ห้องพยาบาล ทำหน้าที่คล้ายเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขที่วัดแฌมเญ่สัปดาห์ละ 1 วัน การทำงานวัดอาจจะดูเป็นเรื่อง “เด็กวัด” ธรรมดาๆ ในสายตาคนไทย <ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-align: justify"> ทว่า… สำหรับคนพม่าแล้ว การเป็นกัปปิยะวัดใหญ่ๆ หลายแห่งเป็นเรื่องแห่งความภาคภูมิใจ เป็นบุญเป็นกุศลที่ต้องเข้าคิวกันทีเดียว </div></li></ul><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent">อาจารย์วิเชียรบอกว่า วัดแฌมเญ่ที่ไปอาศัยพักมีกัปปิยะหมุนเวียนกันวันละประมาณ 35 ท่าน กัปปิยะเหล่านี้จะเริ่มมาทำกับข้าวกันตั้งแต่ตี 3 ครึ่ง</p><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"> </p><ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify">กัปปิยะที่ใหญ่ที่สุดเป็นกลุ่มกรรมการวัด จะนำพระออกบิณฑบาตในวันพระ สวมเสื้อนอกพม่า นุ่งโสร่งเรียบร้อย ถือขันเงิน ภายในมีจดหมายข่าววัดพร้อม และที่สำคัญต้องไม่สวมรองเท้า</div></li></ul>เวลาคนพม่าจะใส่เงินทำบุญจะใส่ในขันเงินนี้ กรรมการท่านจะกล่าวสาธุการเรียบร้อย กลับถึงวัดจะนับกันอย่างเปิดเผย มีกรรมการวัดเซ็นต์ชื่อรับรองคราวละ 3 ท่าน <ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> พระที่วัดเวลาบิณฑบาตจะทอดสายตาลงต่ำ ทำให้เสี่ยงรถชน… การมีกัปปิยะนำจึงช่วยให้พระปลอดภัย เพราะกัปปิยะจะหาจังหวะ กั้นรถให้หยุดก่อน หลังจากนั้นจึงให้พระข้ามถนน </div></li></ul><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent">เมื่อพระบิณฑบาตได้ระยะหนึ่งจะมีการถ่ายข้าวในบาตรพระออกใส่หม้อแขกขนาดยักษ์ในรถกระบะ กัปปิยะธรรมดาๆ จะขอรับบาตรพระมาเท และส่งคืนให้เรียบร้อย</p><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"> </p><ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> เวลา “ขโยมพม่า(ไทย = โยม)” ถวายกับข้าว จะนำชามมาแตะบาตรพระเป็นอันรับประเคนเสร็จสรรพ กัปปิยะต้องหาถุงพลาสติกมาถ่ายให้พระ </div></li></ul>ที่รู้พิธีการอย่างนี้ก็เพราะอาจารย์วิเชียรท่านขออนุญาตสยาด่อ(พระอาจารย์) ขอให้ท่านและผู้เขียนได้ประสบการณ์ตามพระออกบิณฑบาตในวันพระพม่า(พฤหัสบดี 21 กันยายน 2549) <ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> ขอกลับมาที่อาจารย์วีน… ท่านตั้งใจจะไปบริจาคเลือดครั้งที่ 110 พอดี คณะคนไทย(อาจารย์ปุ๊ก อาจารย์วิเชียร และผู้เขียน)จึงขอไปด้วย ผู้เขียนเตรียมพลาสเตอร์ยากับเงินไปทำบุญที่คลังเลือดในวันจันทร์ที่ 18 กันยายน 2549 </div></li></ul>คนพม่านิยมบริจาคเลือดคล้ายคนไทยเช่นกัน หนังสือพิมพ์เมียนมาร์ไทม์ ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ร่วมลงทุนพม่า-ออสเตรเลีย ตีพิมพ์ข่าวออนไลน์(ทางอินเตอร์เน็ต)ลงข่าวบริจาคเลือดเป็นประจำ <p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"> </p><ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> อาจารย์พยาธิแพทย์ ที่ปรึกษาอาวุโสของคลังเลือดแห่งชาติพม่าคือ ท่านอาจารย์แพทย์หญิงติดา ออง (Dr. Thida Aung) เรียกร้องให้คนพม่าช่วยกันบริจาคเลือดให้มากขึ้น </div></li></ul>หนังสือพิมพ์พม่ามีดีอย่างหนึ่งคือ ลงข่าวคนทำดีบ่อยมาก โดยเฉพาะนำเรื่องของคนบริจาคเลือดมาตีพิมพ์เป็นประจำ <ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-align: justify"> ปีกลายนี้ (2548) มีข่าวบุคลากรสถานฑูตสหราชอาณาจักร(หมู่เกาะอังกฤษ)ไปบริจาคเลือด อาจารย์แพทย์พม่าชมกันเกรียว </div></li></ul>นับว่า ท่านผู้นี้มีส่วนสำคัญในการเยียวยาบาดแผลในหัวใจชาวพม่า ทำให้คนพม่าได้เมตตาในคนอังกฤษเพิ่มขึ้นมากมาย <p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"> </p><ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> ผู้เขียนทราบจากอาจารย์ โก ตูน ตูน (Go Tun Tun) คนขับรถแท็กซี่ โรงแรมซิลเวอร์ สวอน (Silver Swan Hotel) เมืองมัณฑเลย์ว่า เวลาเลือดขาด… โรงพยาบาลมักจะไปปรึกษาสยาดอ หรือพระอาจารย์ที่วัด </div></li></ul>พระอาจารย์ท่านจะบอกบุญพระบ้าง ญาติโยมบ้าง ในที่สุดก็จะได้เลือด เพราะคนพม่าเป็นโรคเกรงใจพระ(โรคอย่างนี้ดีจัง) <ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> เมืองย่างกุ้งมีสมาคมที่จัดพิธีบริจาคเลือดเป็นประจำหลายแห่ง ขอยกเรื่องราวของสมาคมมิงกาล่า บิว ฮาร์ (Mingalar Byu Har) ในเขตบาฮันมาเล่าสู่กันฟัง… </div></li></ul>สมาคมนี้เป็นสมาคมชาวพุทธ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1956 (2499) สมาคมนี้จัดพิธีการบริจาคเลือดมาตั้งแต่ปี 1980 (2523) รับบริจาคเลือดทุกๆ 4 เดือน <p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"> </p><ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> ต่อมามีปัญหาเลือดไม่พอใช้ จึงทำพิธีรับบริจาคเลือดทุกๆ 2 เดือน รวมเลือดจากผู้มีจิตศรัทธามาได้ประมาณ 22,000 ถุง หรือเฉลี่ยวันละ 7 ถุง </div></li></ul>เดือนนี้(กันยายน 2549) มีผู้ร่วมพิธีบริจาคเลือด 700 ท่าน ผลการตรวจความเข้มข้นเลือดผ่านประมาณ 60% <ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> หนังสือพิมพ์เมียนมาร์ไทม์ไปสัมภาษณ์คุณครู ดอว์ เมย์ เต๊ด ยี (Day May Thet Yi) ครูโรงเรียนรัฐบาลที่เกษียณแล้ว อายุ 47 ปี บริจาคมาแล้วเป็นปีที่ 4 ครั้งที่ 10 </div></li></ul><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent">ท่านเป็นผู้จัดตั้งกลุ่ม “เมตตา” ในปี 2546 ชวนเพื่อนบ้านมาร่วมพิธีบริจาคเลือด ครั้งแรกรวมกลุ่มได้ 12 ท่าน</p><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"> </p><ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> เพื่อนๆ บอกกัน… ปากต่อปาก ทำให้มีคนเข้าร่วมกลุ่มเมตตามากขึ้นจนเป็น 172 ท่าน นับว่า น่ากราบอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่ง </div></li></ul>อู เข่ง จี วีน อดีตอาจารย์คณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ท่านให้บทความสัมภาษณ์ผู้บริจาคเลือดที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เมียนมาร์ ไทม์ปี 2548 <ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> ท่านแรกเป็นอาจารย์ อู เข่ง จี วีนเอง… อาจารย์ท่านบริจาคเลือดมาตั้งแต่อายุ 21 ปี ปี 2548 ท่านมีอายุ 58 ปี บริจาคเลือดได้ 107 ครั้ง </div></li></ul>ท่านเล่าว่า ก่อนบริจาคจะนอนเต็มที่ล่วงหน้า 1 เดือน และรักษาสุขภาพอย่างดีมาตลอด 37 ปี เพื่อที่จะบริจาคเลือดให้ได้นานที่สุด(เท่าที่จะเป็นไปได้) <p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"> </p><ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> ท่านที่สองคือ โก วีน เฏย์ (Ko Winn Htay) ท่านเป็นนักสาธารณสุข โรงพยาบาลย่างกุ้ง ทราบว่า โรงพยาบาลขาดเลือด จึงเริ่มบริจาคเลือด </div></li></ul>ท่านเล่าว่า โรงพยาบาลย่างกุ้งต้องการเลือดเดือนละประมาณ 2,000 ถุง ทว่า… มีผู้บริจาคขาประจำเพียง 500 คน หรือประมาณ 1 ใน 4 ของความต้องการ <ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> ท่านที่สามคือ หม่าวง์ วิ้นต์ โกะ โกะ (Maung Wint Ko Ko) คุณแม่ของท่านทำงานที่คลังเลือด โรงพยาบาลย่างกุ้ง บริจาคมาแล้ว 3 ครั้ง ปัจจุบันอายุ 18 ปี </div></li></ul><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent">ขอกลับมาที่อาจารย์วีน เราเดินทางไปคลังเลือด โรงพยาบาลย่างกุ้ง… </p><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"> </p><ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> การคัดกรองผู้บริจาคเลือด มีการให้กรอกประวัติ เพื่อคัดกรองบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ชั่งน้ำหนัก ตรวจความเข้มข้นเลือด วัดความดันเลือด </div></li></ul><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent">จุดที่ต่างกันมากคือ การตรวจความเข้มข้นเลือดเริ่มด้วยการเจาะปลายนิ้ว เจ้าหน้าที่จับปลายนิ้วมือไว้เหนือสารละลายประมาณ 3.5 ซม. แล้วปล่อยให้เลือดหยดลงไปในสารละลาย </p><ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify">การไม่มีหลอดเล็กๆ รองรับเลือดก่อนหยด ทำให้ดูหวาดเสียวเล็กน้อย</div></li></ul><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent">อาจารย์ อู เข่ง จี วีน ท่านผ่านการตรวจทุกขั้นตอนมาโดยลำดับ ในที่สุดท่านก็ได้บริจาคเลือดครั้งที่ 110 สมตามความตั้งใจ </p><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"> </p><ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify"> ผู้เขียนนำพลาสเตอร์ยา 18 กล่องๆ ละ 100 แผ่น และเงินพม่า 70,000 จั๊ต(ประมาณ 1,935 บาท) บริจาคให้คลังเลือดพม่าในวันเดียวกัน </div></li></ul>ให้แล้วรู้สึกเหมือนยังไม่อิ่ม(บุญ)เท่าที่ควร ตั้งใจว่า จะพยายามหาโอกาสไปทำบุญให้มากขึ้นไปกว่านี้อีก <ul><li><div class="MsoBodyTextIndent" style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify">ถึงตรงนี้… ผู้เขียนขอกราบอนุโมทนา อนุโมทนาสาธุกับท่านบริจาคเลือดทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นชาวพม่า ไทย ลาว หรือจะเป็นชาติใดก็ตาม</div></li></ul><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent"></p><p style="text-justify: inter-cluster; margin: 12pt 0cm 0pt; text-indent: 0cm; text-align: justify" class="MsoBodyTextIndent">แหล่งข้อมูล: </p><ul>
</ul>
เรียนท่านผู้อ่านทุกท่าน...
ขอเรียนเชิญชมภาพใหญ่ที่นี่ >
ขอขอบคุณอาจารย์ขจิต และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
อ่านแล้วนะค่ะ
อยากบริจากเลือดเหมือนกันค่ะ แต่เป็นคนที่กลัวเลือดมาก
ขอขอบคุณอาจารย์ปารินุช และท่านผู้อ่านทุกท่าน...
หลานผม(ตอนนี้เรียนวิศวฯ ปี 1) >
น้องสาวผมนี่กลัวเข็มยิ่งกว่าหลานหลายเท่า...
ขอเสนอทางเลือกสำหรับคนที่กลัวเข็ม หรือกลัวเลือดอย่างนี้...
วิธีที่ดีที่สุดคือ.. ลองทำดีสักครั้ง...
ถ้านับถือพระพุทธศาสนา >
โดยนัยแห่งพระสูตร >
ขอกราบอนุโมทนา + อนุโมทนาในกุศลเจตนาของท่านผู้บริจาคเลือด + อวัยวะ หรือมีส่วนส่งเสริม สนับสนุนการบริจาคทุกท่าน