สรุปจนถึงบันทึกนี้ ก็ต้องบอกว่าสถานบริการของรัฐ น่าจะอ่อนกว่าของเอกชนไปบ้าง ผู้เขียนว่าความจริงก็คงไม่ได้เป็นความลับอะไร เพราะการทำงานกับเอกชนนั้น ต้องยอมรับว่ารายได้ดีกว่าแน่นอน ดีจนรู้สึกพอใจ แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องช่วยกันทำรายได้ที่ดีให้กับองค์กรด้วย คนไข้ที่เข้ารับบริการที่เอกชน จึงมีแพทย์หลายคนมาดูแลแต่ละระบบให้เรา มีพยาบาลเจ้าของไข้ คนไข้ทุกคนมีห้องพิเศษพักได้ทันทีไม่ต้องจองล่วงหน้า ความพอใจของผู้ให้บริการ และผู้รับบริการจึงทำให้หาทุนโดยง่ายดาย และจ่ายกันด้วยความยินดี
สถานบริการของรัฐนั้น เราเป็นของหลวง เป็นงานสาธารณสุข ที่ต้องขาดทุนอยู่แล้ว เจ้าหน้าที่บางคนมีความภาคภูมิใจมากที่ได้ให้บริการฟรีกับประชาชน มันรู้สึกใจสะอาดไม่มีความต้องการอะไรลึกๆจากคนไข้ มองเห็นว่าตนได้ประกอบอาชีพที่ได้ทั้งเงินเลี้ยงชีพและได้ทั้งบุญ ได้สงเคราะห์คนวันละหลายๆคน เป็นคนมีคุณค่า ที่มีคนเฝ้ารอการมาถึงของเราทุกๆวัน ที่จริงเหล่านี้เป็นพื้นฐานของคนทำงานด้านการแพทย์อยู่แล้ว สมัยก่อนเรานับถือหมอ ราวกับเทวดา(ไม่ใช่ประชด) แต่ทำไมหนอ นับวันองค์กรที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆของเรา จึงกลับมีคุณค่าเล็กลงๆ ดูยุ่งเหยิงกันทั้งวัน หรือเรากำลังมีจุดบอดที่ยังค้นหาไม่เจอ ในตัวเรา ในเพื่อนเรา และในองค์กรเรา
เรากำลังดูคนไข้แบบองค์รวม แต่องค์รวมในตัวเรากำลังแตกกระจาย
ไม่อยากโทษเลย กับนโยบายที่สวนกระแสความเป็นจริงสำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกระดับอย่างเรา เราต้องมีความชำนาญในวิชาชีพ เราต้องมีความรับผิดชอบในชีวิตผู้คน และต้องซื่อสัตย์ในงานที่ทำ ซึ่งเป็นงานหนัก ที่ไม่ย่อหย่อนกันอยู่แล้ว แต่ความมืดดำก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามาในวงการของเรา จนกลายเป็นมุมมืดที่ทำให้คนในองค์กรไม่เห็นกัน ต่างก็ต้องนั่งทำรายงานหลังขดหลังแข็ง เพราะตัวชี้วัดจากหน่วยเหนือนั้นมีเป็นร้อย บางครั้งทำเพลินจนลืมดูคนไข้ที่นั่งรอ หรือหงุดหงิดที่คนไข้เข้ามาช่วงกำลังติดพัน แล้วเราจะเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไปเพื่อใตรกัน พูดได้เต็มปากว่า ที่ทำไปก็เพื่อผลประโยชน์ในการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีเช่นกัน และที่สำคัญมันเป็นกองกลางที่ต้องเอาผลงาน(เอกสาร) มาแลกกันเสียด้วย วัดผลกันใหม่ดีไหม ให้คณะประเมินลงไปถามชาวบ้านว่า เจ้าหน้าที่แต่ละคน เขาทำอะไรให้ประชาชนบ้าง แค่นี้ก็จบ
การแข่งขันกันในองค์กรที่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นการสร้างเงามืดให้กันและกัน จุดที่เอกชนทำได้ดีคือ คนไข้จะคิดถึงเข้าเป็นครั้งแรกเมื่อเจ็บป่วย แต่คนไข้จะไม่ยอมอยู่นาน เพราะกลัวการคิดค่าบริการ ที่แพงเด็ดขาด จนต้องรีบจากไป แต่ยามฉุกเฉินเอกชนทำได้ดีจนต้องยกนิ้วให้ ส่วนสถานบริการของรัฐนั้น แม้จะต้องเป็นที่สองรองรับคนไข้จากเอกชน ก็ปรับอีกนิดหนึ่ง ให้ต้อนรับแบบยินดี ที่ไม่ต้องสั่งตรวจแรกรับมากมาย และภาวะฉุกเฉินที่ผ่านมือเอกชนมาแล้ว เท่านี้ ประชาชนก็จะรักและวางใจเชื่อมั่นในองค์กรของรัฐอย่างท่วมท้น
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่าย เมื่อเราเริ่มนับถือตัวเราเอง คุณค่า คุณธรรมก็จะกลับมา สังคมแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ก็จะเกิดขึ้นที่นั่น ที่นี่ และมากมายนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะวงการแพทย์ของเรา ถ้าเขาไม่เชื่อใจ เขาไม่มาหาเราหรอกค่ะ
...โดยเฉพาะวงการแพทย์ของเรา ถ้าเขาไม่เชื่อใจ เขาไม่มาหาเราหรอกค่ะ...
Most people have no choice but ...
สวัสดีค่ะคุณsr
แม้จะไม่เต็มใจหรือพอใจกับสถานบริการนั้น
แต่เชื่อว่าส่วนลึกก็ยังยอมรับเชื่อถือกันอยู่บ้างนะคะ
ขอขอบคุณเจ้าของดอกไม้ที่มอบมาให้เป็นกำลังใจ
ด้วยความซาบซึ้งค่ะก
มาให้กำลังใจค่ะ
องค์กรต้องโปร่งใส สามารถอธิบายชุมชนได้ครับ
สวัสดีค่ะคุณครูทิพย์
ขอบคุณเป็นอย่างยิ่งนะคะ
ที่ให้กำลังใจผ่านบล็อกนี้
ขอให้คุณครูมีกำลังใจเข้มแข็งยิ่งๆขึ้นไปด้วยนะคะ
สวัสดีค่ะคุณ อ.ขจิต ฝอยทอง
เป็นอย่างที่ อ.ขจิตว่า
แต่ทุกวันนี้ขาดคนเชื่อมโยง
ที่จะอธิบายให้คนไข้หรือชุมชนเราเข้าใจว่า
ทำไม่ต้องรอ ทำไมต้องซักถามเอามากๆ ทำไม่ต้องช้า
เหมือนการมาพบกัน ต่างก็ให้และรับประโยชน์ในการรักษาครั้งนั้น
แล้วก็จากกันไปเหมือนไม่มีเยื่อใยกัน
และที่จริงเราก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรกับคนไข้
ถึงสิ่งที่เราต้องทำในระหว่างคนไข้มารักษา
ต้องค้นหารหัสยา รหัสโรค ฯลฯ ลงรายงานมากจนแทบไม่น่าเชื่อ
ขอบคุณอ.ขจิตที่มาร่วมแสดงความคิดเห็นและเป็นข้องเสนอแนะที่ดีมากๆที่ต้องนำไปปฏิบัติด้วยค่ะ
ขอขอบพระคุณเจ้าของดอกไม้ที่มอบให้ในบันทึกนี้
มกามายจนรู้สึกปลื้มใจเลยค่ะ