เมื่อเริ่มจะรู้ประสา เราเห็นทารกหลายๆคน ชอบเล่น "จ๊ะเอ๋" มันเป็นความรู้สึกชอบกับการตื่นเต้นของเกมนี้ พอผู้ใหญ่เอามือปิดหน้า เด็กก็เหมือนรู้ทันเตรียมจ้องหน้า รอเวลาจ๊ะเอ๋ หลังจากนั้นรอยยิ้ม เสียงหัวเราก็ะดังลั่น พร้อมทั้งดิ้นด้วยความสนุกบนอ้อมกอดของพ่อแม่หรือพี่เลี้ยง
คราวนั้นทำไมถึงชอบเกมนี้ก็ไม่รู้ ทำให้เราเริ่มรู้จักการคาดเดาเวลาที่จะประจันหน้ากันอย่างใจจดใจจ่อ หรือเป็นสัญชาตญาณแห่งธรรมชาติ ที่เราทุกคนต่างมีความกล้าเผชิญติดตัวมาทุกคน
พอโตหน่อย เราก็เปลี่ยนไปเล่นซ่อนแอบ เสาะหาที่กำบังตัวให้พ้นสายตาเพื่อน ในระยะเวลาอันสั้น บางทีก็แค่นับหนึ่งถึงสิบ และเป็นการนับที่เร็วจี๋เสียด้วย ทัั้งนี้ เพื่อให้เวลาคนไปซ่อนที่สั้นที่สุด แต่น่าประหลาด ทำไมเราทำเวลาซุกซ่อนตัวเองได้ยอดเยี่ยม หายตัววับไปเหมือนล่องหน บางครั้งเพื่อนใช้เวลาตามหานานมาก บางทีก็ผ่านจุดซ่อนตัวของเราไป แต่เราก็เงีบยจนเพื่อนเสาะหาไม่พบ เรามีความอดทนกับการหลบซ่อน เรามีความสุขกับการปล่อยให้เพื่อนตามหาเรา บางครั้งนานจนต้องออกมาโป้งแปะ ให้เกมจบลงเสียที แล้วก็เปลี่ยนกันซ่อน เปลี่ยนกันหา เราเรียนรู้ที่จะเล่นเกมให้สนุก
ครั้นเติบใหญ่จนเด็กๆเรียกเราว่าผู้ใหญ่ แต่เรากลับเข้าใจตนเองน้อยลงไปทุกที ใจที่เคยสนุกง่ายๆ กลับทำให้เรากลัวจับใจ กลัวถูกทิ้ง กลัวความเหงา กลัวการเผชิญหน้าในบางสิ่ง และหวาดระแวงกับเกมเซอร์ไพร้ของชีวิต
เราหลงคิดไปว่าเด็กๆ ไร้เดียงสา ไม่รู้จักคิด ไม่เข้าใจชีวิต จึงเห็นอะไรเป็นเรื่องสนุกไปหมด ไม่กลัวไม่กังวล
แต่แท้จริงแล้ว เราเองกำลังถูกเคลือบด้วยอะไรสักอย่างหนอ ที่มาหล่อหลอมให้เราเปลี่ยนไปจากเดิม
กลายเป็นคนกลัวแม้กระทั่งไม่กล้าคิดถึงแสงสว่างที่ปลายทางว่าเราจะไปถึงหรือไม่ ..ไม่กล้าฝัน
กลัวว่าความสว่างดวงสุดท้าย ที่เราเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันจะดับลงไป แล้วชีวิตเราก็จะไม่มีวันคลำเส้นทางได้ กลัวการเปลี่ยนแปลง กลัวการสิ้นสุด
ดังนั้นชีวิตเราจึงเหมือนหลักลอย เพราะมีแต่ความหวั่นไหวเสียแล้ว ถ้าเราสลัดความรู้สึกกลัวในใจออกไปไม่ได้ หรือในใจมีแต่คำปฏิเสธ เช่นว่า ไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ มันไม่มีวันเป็นจริง ดังนี้แล้วต่อให้ตั้งความปรารถนาสูงส่งเพียงใด ก็ไปไม่ถึง
เพราะความกลัวเป็นอุปสรรคที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน ลึกมากด้วย แม้บางครั้งใจจะฮึกเหิม กดข่มมันไว้ แต่ที่สุด ความกลัวก็จะะออกมาแผงฤทธิ์อีกตจนได้
ลองถามตัวเองบ่อยๆ ว่าว่าเรายังมีความกลัวอะไรอีกไหม ถามซ้ำๆ ค้นไปเรื่อยๆ แล้วความกลัวที่แท้จริงจะผุดขึ้นมาเอง ไม่ต้องถึงกับต้องฆ่าความกลัวให้จบสิ้นไป เพียงแต่ ร้องอ๋อ แล้วก็ค่อยๆเอาความกลัวก้อนนั้นวางลง ก่อนจะก้าวข้ามผ่านไป ไม่มีที่ให้เขาอาศัยในใจต่อไป
ความอัศจรรย์ของใจเป็นเช่นนี้แหละ เมื่อคิดจนจบ จนเข้าใจ เราก็จะไม่กลับไปคิดอีกต่อไป
เอาออกมาเถอะค่ะ ความหวาดกลัวว่าจะทำอะไรไม่สำเร็จทั้งหลาย รู้ให้ได้ แล้ววางซะ เราจะไม่วิ่งกลับไปหา หรือปล่อยให้ความกลัวไล่ล่าเราต่อไปแล้วนะคะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
สวัสดีค่ะคุณวอญ่า
ดีจังเลยค่ะที่รู้ความกลัวที่แท้จริง
กลัวใจตนเองสงบระงับกำจัดง่ายกว่ากลัวใจคนอื่นมากๆ
คุณวอญ่าเป็นนักพัฒนาจิตวิญญาณอยู่แล้วนี่คะ
สวัสดีค่ะพี่ชายชยพร
ทุกวันนี้มีสิ่งที่เราต้องวิ่งเข้าหาและถูกไล่ล่าในเวลาเดียวกัน
แต่ถ้ารู้ว่าอยู่สถานการณ์ไหนก็พอรับมือไหวนะคะ
สวัสดีค่ะคุณtuknarak
มีบางช่วงที่เราก็โล่งๆก็จะค่อยๆพาทีกับหัวใจได้นะคะ
เพราะการที่อยู่กับความสงบจะเป็นเหมือนน้ำใส
เห็นตะกอนง่ายกว่าน้ำขุ่นนะคะ
สวัสดีคุณอ.นุค่ะ
ความกลัวมีกำลังมาก
ทำให้หวั่นไหวสั่นสะเทือน
จนผังสำเร็จคลาดเคลื่อนไปเลย
ต้องเอาออกต้องเอาออก
สวัสดีค่ะคุณกอหญ้า
ความกลวเก็บตัวอยู่ลึกมาก
ถ้าไม่ค่อยๆคิดคืบคลานไปหา
รับรองว่าค้นไม่เจอ
ใช้คำถามง่ายๆนะคะ ว่ากลัวอะไรๆๆๆๆๆๆ
คำตอบไม่เหมือนกันทุกครั้งหรอกค่ะ
จนถึงคำตอบที่แท้จริงและรู้สึกหลุด
เราจะกล้าทำสิ่งต่อหน้าอย่างโปร่งเบาค่ะ
กลัวความลำเอียง กลัวคนพูดอย่างแต่ใจอีกอย่างค่ะ
กลัว...ตัวเอง...จับใจเลยค่ะ
กลัวแพ้ใจตัวเอง โอ้... ซ่อนตัวในหลืบลึก
ตีกรอบซ้อนๆหลายๆชั้น ผ่านไปนานวัน นานปี หลายๆปี ความกลัวจับเป็นผลึกฟอสซิล
สุดท้าย พบว่าตนเองกลายเป็นคนแปลกหน้าเบอร์หนึ่งสำหรับตนเอง...เป็นไปแล้วจริงๆ
คำตอบที่ได้วันนี้ หากไม่มีแบบอย่างของ... "ความรักแบบไม่มีเงื่อนไข" เป็นรหัสวิเศษ
ค่อยๆไข ค่อยๆค้น.. กลไกกำแพงอันตนปิดกั้นตนไว้... คงได้แบกผลึกความไม่รู้ไปเกิดใหม่เป็นแน่แท้ :)
ขอบคุณบันทึกที่แสนอบอุ่น...คล้ายได้นั่งในวงสุนทรียสนทนา
พาสืบค้นต้นเค้าของความขัดแย้งในตนเอง...ชุดนี้มากๆนะคะ
ปล. ชอบทุกๆความเห็นในบันทึกมากๆค่ะ
สวัสดีค่ะคุณครูอ้อย
ยังดีนะคะที่เรากลัวคนอื่นจะเป็นอย่างนั้นทั้งลำเอียงทั้งไม่จริงใจ
ทั้งนี้เพราะสำรวจแล้วเราไม่มีสิ่งเหล่านี้ในใจเราก็เลิกกลัวตัวตนไปได้
กลัวสิ่งภายนอกว่าจะเกิดจะเป็นนั้นให้วางเฉยไปเถอะค่ะ
เพราะเราก็คาดเดาไม่ถูกว่าใจใครคิดอะไร
เอาไว้คิดเล่นๆยามว่างๆเหมือนเกมเดาใจน่าจะสนุกกว่านะคะ
คิดว่าใจคุณครูอ้อยคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้ามากกว่าความกลัวนะคะ
สวัสดีค่ะคุtawandin
โอ้..ดีใจจังค่ะนานๆจะเห็นคนมาคุยด้วยยาวๆแบบนี้
แถมยังมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเกิดฟอสซิลของความกลัวอีก
แค่ได้จักได้เห็นตัวตนตามวามเป็นจริงก็เบาใจไปเยอะละค่ะ
สาเหตุที่ทำให้เราจดจำความกลัวเอาไว้เพราะสิ่งนั้นเคยสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจไว้ให้
ตามสัญชาตญาณเราจึงสร้างกำแพงแห่งความจำเอาไว้เพื่อหวังเป็นเครื่องเตือนใจ
สรุปว่าจะไม่ยอมเจ็บแบบนั้นอีก
ที่จริงดวงใจเรามีที่น้อยมากเมื่อเทียบกับการบรรจุเรื่องราวต่างๆไว้
ดังนั้นลองค่อยๆคัดออกก็ได้ค่ะความกลัวอันไหนที่ไร้สาระหรือเก็บนานไปก็ลองเอามทบทวนแล้วปล่อยไปบ้าง
วิธีการของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันที่สำคัญเคลียร์ไปเรื่อยๆอาจจะเหตุเดียวแต่แก้หลายปัญหาไปเลย
งั้นก็โชคดีเนาะคะ