จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 (พ.ศ.2513) พ่อ-แม่ก็ให้ลองสอบเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่ “โรงเรียนจังหวัด” ทั้ง ๆ พี่ ๆ ทุกคนจะเรียนต่อระดับมัธยมที่โรงเรียนราษฎร์ในตลาดปากคลองทั้งสิ้น คงไม่ใช่เพราะความเก่งกาจความสามารถหรอกครับ แต่เป็นเพราะเป็นช่วงเวลาที่การเดินทางระหว่างบ้านกับตัวเมืองพัทลุงสะดวกขึ้นกว่าเดิม ประจวบกับมีพระที่เป็นญาติผู้ใหญ่ได้บวชและพำนักอยู่ที่วัดภูผาภิมุข (วัดต่ำ) พ่อและแม่จึงตกลงใจให้ลองสอบดู
ความจริงแล้วในขณะนั้นโรงเรียนราษฎร์ที่ตลาดปากคลอง คือ โรงเรียนศิริราษฎร์วิทยา จัดได้ว่าเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงมากของจังหวัดพัทลุง ครูและ “ไม้เรียว” ของครูโรงเรียนนี้สร้างคนมามากต่อมาก ควบคู่กับโรงเรียนช่วยมิตรซึ่งตั้งอยู่ที่ควนขนุน และ “โรงเรียนราษฎร์” อีกจำนวนมากในจังหวัดพัทลุงที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับนักเรียนที่จบระดับประถมศึกษาในช่วงเวลาที่โรงเรียนของรัฐมีจำกัด เมื่อโรงเรียนของรัฐขยายตัวมากขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 2520 ถึงต้นทศวรรษ 2520 โรงเรียนราษฎร์เหล่านี้ก็ค่อย ๆ ทยอยปิดตัวเองลงเรื่อย ๆ จนเหลืออยู่เพียงไม่กี่แห่งในปัจจุบัน
เมื่อสอบเข้าเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนต้นที่โรงเรียนพัทลุงได้ ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงไป จากเด็กบ้านชนบทที่ห่างไกลความเจริญมาอยู่ในเมือง จากที่เคยอยู่บ้านกับพ่อแม่มาตลอดก็ต้องออกจากบ้านมาเป็น “เด็กวัด” เดือนหนึ่งจึงจะได้กลับบ้านสักครั้งหนึ่ง จากเด็กที่เคยดูแต่หนังตะลุง โนรา หนังกลางแปลง และ/หรือหนังฉายกั้นผ้าประเภท “สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา” ก็เริ่มรู้จักโรงภาพยนตร์ เริ่มดู “ภาพยนตร์” ในโรงหรือในวิก และมีเพื่อนที่เป็น “ลูกจีน” ในตลาด
ชีวิตในโรงเรียนพัทลุงสมัยนั้นก็ไม่ได้แตกต่างไปจากโรงเรียนในระดับชั้นประถมมากนัก เพราะครูที่โรงเรียนพัทลุงก็คือครูที่มีความเป็น “ครู” เหมือนกับครูในตอนที่เรียนชั้นประถม ดุ ตีเจ็บ(บางคนก็หยิกเจ็บ - ยิ่งครูประจำชั้นหรือที่ในยุคนี้เรียนเป็นครูที่ปรึกษา ยิ่งตีเจ็บ - ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ท่านเหล่านั้นล้วนรักเด็ก เอาอกเอาใจเด็ก) เข้มงวด เหมือน ๆ กัน ตั้งใจสอนและให้ความสำคัญกับการสอนเหมือน ๆ กัน จะแตกต่างกันก็ตรงที่มีครูและนักเรียนจำนวนมากกว่า มีอุปกรณ์การเรียนการสอนที่พร้อมกว่า แต่ก็ไม่ได้มากเหมือนปัจจุบัน ที่มากหน่อยก็เห็นจะเป็นอุปกรณ์ทดลองวิทยาศาสตร์ (ซึ่งผู้มีโอกาสได้ใช้ก็มักจะเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย) การสอนของครูส่วนใหญ่จึงเป็นแบบ “ชอล์ค & ทอล์ค” ประเภทซิปป้าโมเดลและอีกหลาย ๆ วิธีที่พูดกันมากในปัจจุบัน ก็ไม่เห็นว่ามีครูคนใดพูดถึงหรือใช้ จะเห็นก็เพียง “ซิปโป” (ที่ครูผู้ชายบางคนควักออกมาให้เด็ก ๆ ได้เห็นกันบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อจะสูบบุหรี่) สอบตกก็เรียนซ้ำชั้น เรียนกันจนกว่าจะรู้เรื่อง เข้าใจ หรือมีความรู้จริง ๆ จึงจะจบกันได้ ยิ่ง ม.ปลาย มีหลาย ๆ คน (หรืออาจส่วนใหญ่ด้วยซ้ำไป) ที่กว่าจะจบกันได้ก็เรียนกันชั้นละ 2 ปีก็มี หลักสูตร ม.ปลาย 2 ปี (ม.ศ.4- ม.ศ.5) มีไม่น้อยที่ต้องใช้เวลาเรียน 3-5 ปี
หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนสมัยโน้นอาจจะเน้นความรู้ความจำเป็นหลัก
จนกระทั่งมีผู้ค่อนขอดว่าเรียนรู้แบบ “นกแก้วนกขุนทอง”
ข้าพเจ้าเองก็เคยคิดแบบเดียวกันนี้
เคยปฏิเสธการเรียนรู้แบบท่องจำ
แต่เมื่อเริ่มทำงานที่ต้องใช้ความคิด
ใช้การวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์อย่างการเขียนหนังสือ (หรือแม้แต่การเป็นครู –
เอ๊ะใช้คำผิดหรือเปล่า เพราะคนเป็นครูต้องใช้ความคิดวิพากษ์วิจารณ์สูงทีเดียว)
ต้องกลับไปขอบคุณครูเก่า ๆ หลักสูตรและวิธีการสอนเก่า ๆ
ที่บังคับให้ท่องจำจนมีข้อมูลความรู้ที่เป็นพื้นฐานของการคิดการวิเคราะห์ได้ในปัจจุบัน
เพราะหากจำอะไรไม่ได้ก็ไม่รู้ว่าจะเอาข้อมูลที่ไหนมาคิดมาวิเคราะห์ (อย่างในขณะนี้ผู้เขียนกำลังทำงานวิจัยอยู่เรื่องหนึ่ง เลยกำหนดส่งมานานแสนนานแล้วก็ยังเขียนไม่จบสักทีหนึ่ง หลายครั้งตั้งใจว่าวันหนึ่งต้องเขียนให้ได้สักประเด็นหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่บางทีนั่งคิดจะเขียนอยู่ค่อนวันก็ยังเขียนไม่ได้ เพราะสมองชักจะเสื่อมครับ อ่านข้อมูลแล้วจำไม่ค่อยได้ ต้องเปิดเอกสารตลอดเวลา เวลาเขียนก็คิดไม่ออกว่าจะลงมือเขียนว่าอย่างไร - เฮ้อ... ความจำมันไม่ดีตรงไหน (ว่ะ) จึงต้องเลิกจำ)
ชีวิตในโรงเรียนแม้จะมีความน่าตื่นเต้นเร้าใจอยู่ไม่น้อย แต่ชีวิตเด็กวัดกลับมีสิ่งที่น่าสนใจน่าจดจำมากกว่า ในโรงเรียนเป็นการเรียนไปตามระบบ มีเนื้อหาวิชาที่แน่นอน ในขณะที่ชีวิตเด็กวัดเป็นการเรียนรู้ที่หลากหลายรูปแบบและวิธีการ ทั้งเรียนรู้การใช้ชีวิต เรียนรู้และฝึกฝนคุณธรรมจริยธรรม รวมถึงประเพณีวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้แม้กระทั่งปัจจุบัน
ชีวิต “เด็กวัดต่ำ” ในช่วง 3 ปีที่เรียนอยู่โรงเรียนพัทลุงค่อนข้างจะเป็นชีวิตที่มีช่วงเวลาการทำกิจกรรมที่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการที่ต้องตื่นตั้งแต่เวลาตีสี่ครึ่งหรือตีห้าเพื่อสวดมนต์ไหว้พระประจำวัน พระอาจารย์จะสอนเรื่องต่าง ๆ แล้วให้กลับไปเตรียมตัวเพื่อไปบิณฑบาตกับพระหรือไปรับปิ่นโตจากบ้านของอุบาสก อุบาสิกามาถวายพระ กว่าจะเสร็จภารกิจในวัดก็เกือบแปดโมงเช้า จากนั้นจึง “เดิน” ไปโรงเรียน (เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าโดยสารรถตุ๊ก ๆ) กลับจากโรงเรียนก็ช่วยงานวัด พอตกค่ำก็อ่านหนังสือทำการบ้านตามเวลาที่พระอาจารย์กำหนด (มีบางคนนึกว่าตนฉลาด เปิดไฟทิ้งไว้และนอนหลับหรือหนีไปดูหนังเพื่อแสดงว่ากำลังอ่านหนังสือ ซึ่งมักจะถูกจับได้เพราะ “ขยัน” ผิดสังเกต)
วันที่มีความสุขมากที่สุดเห็นจะเป็นวันเสาร์ เพราะเป็นวันที่ใครจะไปเที่ยวไหนก็ได้ กลางคืนอยากไปดูหนังในตลาดก็ได้ (ในยุคนั้นมีโรงหนังอยู่ 2 โรง คือ “วิกแกรนด์” กับ “วิกราเมศวร์”) ส่วนวันอาทิตย์ช่วงเช้าก็ทำงานส่วนตัว พอช่วงบ่ายก็พัฒนาวัด
แม้ชีวิตประจำวันจำมีการกำหนดช่วงเวลาทำกิจกรรมค่อนข้างแน่นอน
แต่ก็เป็นธรรมชาติของเด็กวัดที่ต้องทำอะไรที่เป็นการละเมิดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ
อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการหนีดูหนัง หนีไปเที่ยว
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็หาได้พ้นจากสายตาหรือการรับรู้ของพระอาจารย์ไม่ เพราะประสบการณ์ท่านมากกว่า ปกครองเด็กวัดมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น
สิ่งที่เด็กวัดจำนวนหนึ่งต้องพบอยู่บ่อย ๆ ก็คือ ตอนหนีเที่ยวไปสบาย (เพราะนึกว่าไม่มีใครรู้) แต่พอกลับมาถึงโดนจับได้ทุกที ตอนดึก ๆ จึงมักได้ยินเสียงก้นโดนไม้เรียวบ่อย
ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือในช่วงที่มีโปรแกรมหนังดังหนังดีเข้าฉาย และที่มีมากก็คือช่วงที่มีการฉายหนังรอบละ 50
สตางค์ (เท่าที่พอจะรับรู้ข้อมูลในขณะนั้น ทราบว่าเจ้าของโรงหนังหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ก็ไม่แน่ว่าจะโดนปรับหรืออย่างไร ทำให้มีการฉายหนังโดยเก็บค่าเข้าชมรอบละ 50 สตางค์ ชมกันตาเปียกตะแฉะครับ)
เนื่องจากในวันเสาร์เป็นวันที่เด็กวัดมีอิสระจะไปไหนก็ได้หนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์ กิจกรรมที่ข้าพเจ้าชอบมากที่สุดก็เห็นจะเห็นการได้เข้าห้องสมุดประชาชนซึ่งตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับโรงเรียนการช่างพัทลุง (ต่อมาเป็นโรงเรียนเทคนิค และวิทยาลัยเทคนิคพัทลุง ตามลำดับ) เพื่ออ่านหนังสือนวนิยาย ทั้งที่เป็นนวนิยายที่ตีพิมพ์รวมเล่มและที่ตีพิมพ์เป็นตอน ๆ ในนิตยสารต่าง ๆ นวนิยายอย่างเพชรพระอุมาในนิตยสารจักรวาล(หรือจักรวาลปืน-จำได้ไม่แม่นนัก)ที่เริ่มอ่านตั้งแต่เรียนชั้นประถม(พี่ชายซึ่งไปเรียนต่อต่างจังหวัดซื้อและขนกลับมาบ้าน) ก็ได้อ่านต่อในห้องสมุดประชาชน นวนิยายในนิตยสารบางกอกก็ต้องติดตามอ่านทุกสัปดาห์ นิยายจีนกำลังภายในที่ตีพิมพ์เป็นเล่มเล็ก ๆ ก็ถูกหยิบขึ้นมาอ่าน (โดยเฉพาะผลงานแปลของ ว. ณ เมืองลุง จะอ่านมากน้อย ด้วยความรู้สึกว่าเป็น ณ เมืองลุง - ท้องถิ่นนิยมหรือเปล่าก็ไม่รู้) เฉพาะวันเสาร์วันเดียวจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการที่จะอ่าน บ่อยครั้งที่แอบไปอ่านในวันอาทิตย์ด้วย (ห้องสมุดประชาชนยุคนั้นจะเปิดตั้งแต่วันอังคารถึงวันอาทิตย์ ปิดวันจันทร์) ดังนั้นจึงมีบ่อยครั้งที่โดนฟาดก้นเพราะอ่านจนเพลินกลับมาพัฒนาวัดในช่วงบ่ายไม่ทัน
หลังจากเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แล้ว ด้วยคิดว่าตนเองน่าจะเรียนสายวิทย์ได้จึงสมัครเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนพัทลุง ประจวบกับตอนนั้นท่านผู้อำนวยการต้องการที่จะพัฒนาคุณภาพของนักเรียน จึงนำข้อสอบของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษามาใช้กับนักเรียนโรงเรียนพัทลุง ผลก็คือนักเรียนสอบตกกันมาก จำได้ว่าห้องข้าพเจ้าเรียนอยู่มีนักเรียนประมาณ 40 คน ที่สอบผ่านการสอบกลางปีมีไม่ถึง 10 คน ซึ่งแน่นอนว่าในจำนวนนั้นไม่มีชื่อของข้าพเจ้า ดูท่าไม่ไหว เมื่อพ่อ-แม่อยากให้ไปเรียนครู จึงตัดสินใจสอบไปเรียนครู แม้ว่าการสอบปลายปีจะได้ 50 % พอดี ก็เห็นทีจะต้องอำลา
ในปี
พ.ศ.2516 เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลา
ซึ่งขณะนั้นก็ไม่ได้รับรู้อะไรมากนัก
รู้แต่ว่าเริ่มมีปัญหาภายในโรงเรียน
มีการประท้วงขับไล่ผู้อำนวยการโรงเรียนและผู้นำนักเรียนสมัยนั้นก็ได้ผนวกการประท้วงขับไล่รัฐบาลจอมพลถนอมเข้าไปด้วย
เป็นครั้งแรกที่เข้าร่วมการประท้วงโดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรมากนัก
สงสัยรุ่นเดียวกัน จบ ป.7 และ 16 ตุลา
ยินดีต้อนรับค่ะ