ช่วงนี้เดินทางไปไหว้พระตามวัดต่างจังหวัดบ่อยครั้ง ถามคนรู้ใจที่เป็นพ่อพระในบ้านว่าตั้งแต่โบร่ำโบราณผู้ใหญ่ไปไหว้พระทำไม โดยส่วนตัวแล้วมีคำตอบของตัวเองอยู่ในใจ
จากคำตอบที่ได้ตามคำกล่าวของคนรู้ใจ ทราบว่ามีสองแนวคือว่าหลายคนไปไหว้พระขอพรเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต และในขณะที่บางกลุ่มไปไหว้พระเพื่อแสดงความเคารพนบน้อมต่อพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ซึ่งก็คือการแสดงความศรัทธา
ไม่ว่าจะเป็นคำตอบแบบไหน เจตนาที่บริสุทธิ์สุจริตด้วยศรัทธาถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ข้าพเจ้าเพิ่งตระหนักรู้ได้ไม่นานมานี้เองว่าการไปไหว้พระเป็นการเติมพลังชีวิต
เมื่อเราไหว้พระด้วยจิตเป็นสมาธิตั้งมั่น มีศรัทธาที่บริสุทธิ์ ผลบุญกุศลที่ได้ทันทีทันใดในขณะปัจจุบันไม่ต้องรอผลจากพรที่ขอ ก็คือจิตสว่าง สงบ สะอาด มีความแกล้วกล้า คล่องแคล่ว ว่องไว ปราดเปรียว
หนักแน่น มีความเป็นใหญ่ (อินทรีย์) และความไม่หวั่นไหว (พละ)
หลายท่านคงเคยได้ยินกันมาแล้ว ที่ว่า
"อินทรีย์ 5 และ พละ 5 ประกอบด้วย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และ ปัญญา
อินทรีย์ 5
ศรัทธา คือ สัทธินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ ในสภาพธัมมะของตนคือ น้อมใจเชื่อ
วิริยะ คือ วิริยินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ ในการประคองไว้
สติ คือ สตินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ในการระลึก
สมาธิ คือ สมาธินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ ในการไม่ฟุ้งซ่าน
ปัญญา คือ ปัญญินทรีย์ มีความเป็นใหญ่ในการเห็นตามความเป็นจริง
พละ 5
สัทธาพละ มีความไม่หวั่นไหว ในความไม่มีศรัทธา
วิริยะพละ มีความไม่หวั่นไหว ในความไม่เกียจคร้าน
สติพละ มีความไม่หวั่นไหว ในความไม่ประมาท
สมาธิพละ มีความไม่หวั่นไหวไป เพราะความฟุ้งซ่าน
ปัญญาพละ มีความไม่หวั่นไหวไป ในความไม่รู้"
ข้อมูลจากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่ศาสนา http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=4558
ข้าพเจ้าไม่เคยเข้าใจในความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้มาก่อน และเมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้อยู่ไม่นาน มีเจริญ มีเสื่อมก็ตาม แต่ก็พอเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม เกิดผลบุญกุศลแก่จิตเราได้จริง เป็นภูมิคุ้มกันศัตรูสำคัญของเราได้ นั่นคือกิเลสของเราเอง
ความไม่เที่ยง ไม่แน่นอนเกิดขึ้นทุก ๆ วินาที
การสะสมบุญวันละเล็กละน้อยคือการขัดเกลาจิตใจเราให้สะอาด สว่าง สงบ เติมอินทรีย์ มีพละอยู่เนือง ๆ
หนทางใดที่จะทำให้เกิดกุศลแก่จิตได้ ก็โปรดหาโอกาสทำเลย เพราะสิ่งที่มากระทบเรามีมากมาย หากจิตมีพลังแล้ว มีภูมิธรรมคุ้มกัน ปัญหาต่าง ๆ ที่มากระทบเราจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยไป เราไม่อาจหนีความทุกข์ได้ แต่สร้างความสุขจากภายในเพื่อต่อสู้กับความทุกข์ได้ ปัญหาที่มารุมล้อมเราจะเล็กนิดเดียว
เคยสังเกตไหมคะว่าปัญหาเดียวกันนี้ วันนั้นเราสู้ไหว พอมาวันนี้หมดแรง หมดกำลังใจ เห็นไหมว่าไม่ได้อยู่ที่ปัญหา แต่อยู่ที่จิตใจ อยู่ที่ภายในเรานี่เอง
การเติมพลังให้จิตก็เพื่อต่อสู้กับกิเลสหลายประเภทที่อยู่ภายในของเรา ทุกลมหายใจเข้าออกของเรา เราอยู่ร่วมกับโรคภัยต่าง ๆ ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับที่เรามีกิเลสร่วมอยู่ด้วย ชีวิตมีขึ้น มีลงเป็นปกติอยู่แล้ว และจิตใจเราโดยปกติก็มีทั้งขึ้นและลงอยู่แล้ว แต่เราก็ไม่ควรพ่ายแพ้ปล่อยใจให้ล่องลอยไปเรื่อย ๆ ขึ้นลงไปพร้อมกับสิ่งมากระทบ พร้อมกับชีวิตที่ไม่แน่นอนอยู่แล้ว
การควบคุมบังคับใจไม่ใช่อย่างเดียวกันกับการเติมพลังให้จิตมีความเป็นใหญ่ไม่หวั่นไหว
หากเมื่อใดก็ตาม เราไม่สามารถควบคุมจิตใจไว้ได้ เมื่อนั้นจิตจะกระเจิดกระเจิง
"จิต" เราบังคับไม่ได้ ขอให้ "รู้" และ "เติม" สิ่งดีงามเข้าไปก็ "พอ"
ขออนุโมทนาบุญกุศลด้วยครับอาจารย์นพลักษณ์ ๙ ;)...
ศีล สมาธิ ปัญญา
ค่ะ
ฝึกความเข้มแข็งแห่งจิต
เมื่อถึงคราวผจญทุกข์
จะมีช่องว่างให้เห็นทางรอดอยู่บ้างนะคะ
ขอบคุณบันทึกดีๆ นะคะ
อ่านแล้วก็รู้สึกดีๆ ค่ะ
ใช่ค่ะคุณหมอตันติราพันธ์ สตินั่นเองที่ทำให้เห็นทางออก จากเดิม ๆ ของเราที่อาจไม่เคยมองเห็นมาก่อนค่ะ
จะพยายามต่อไปค่ะ
ขอบคุณที่ทบทวนสิ่งที่ได้ทำอยู่แล้ว ขอบคุณมากค่ะ
ขอบคุณสำหรับธรรมะที่จำเป็นยิ่งในชีวิตแต่ละวันนี้ค่ะ
อ่านแล้วอ่านอีก สบายใจ ได้น้อมนำไปทบทวนและปฏิบัติ
ขอบคุณพี่ Bright Lily ค่ะ ว่าง ๆ คงต้องขอเคล็ดลับจากพี่ในการเป็นผู้นำที่ดีแล้วล่ะค่ะ คนที่เป็นผู้นำที่ดี มีพลังใจตัวเองเยอะนะคะ
อนุโมทนาสาธุด้วยครับ