ขณะที่รถเก๋งคู่ชีพของฉันแล่นไปบนถนนเพชรเกษม เลี้ยวเข้าทางเข้าวัดวังเย็นโดยมีลูกศิษย์ที่ฉันไปเยี่ยมบ้านหลายคน วันนี้ฉันมีเป้าหมายในการไปเยี่ยมบ้านนักเรียนสี่หลังด้วยกันคือ วังเย็น ๒ หลัง และที่จัดหวัดราชบุรี อีกสองหลังโดยอยู่ที่อำเภอบ้านโป่ง ๑ หลัง และที่อำเภอบางแพ ๑ หลัง
"ปลิตา บ้านหนูอยู่กันกี่คน" ฉันถามนักเรียนซึ่งฉันเป็นครูที่ปรึกษาเมื่อฉันขับรถใกล้ถึงบ้านนักเรียน
ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลวังเย็น อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม
"ห้าคนค่ะ มียายสามคน แม่หนู แล้วก็หนู" เด็กตอบฉันด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ยายสามคนเลยหรือ แล้วยายอายุเท่าไรคะ " ฉันถามเด็กด้วยความสงสัย
"คนโตแปดสิบกว่า คนกลางเกือบแปดสิบ แล้วก็ยายที่เป็นแม่ของแม่หนูเจ็ดสิบกว่าค่ะ"
เมื่อรถเก๋งจอด เด็ก ๆ และฉันลงจากรถ ฉันได้ยินเสียงเชื้อเชิญของคุณแม่ปลิตาซึ่งอยู่ในวัย ๓๕ ปี ให้ขึ้นบ้านด้วยน้ำเสียงที่สดใส
สัมผัสแรกที่ฉันเห็นก็คือ ภาพคุณยายกำลังก่อไฟหุงข้าวด้วยฟืนอยู่ด้านล่าง ฉันก้าวขึ้นเรือนมองเห็นสภาพที่เรียบง่าย เห็นคุณยายอีกท่านหนึ่งรูปร่างเล็กมาก นั่งกอดเข่าข้างขวาด้วยแววตาแห่งความทุกข์ ถ้าเดาไม่ผิดคงเป็นพี่สาวคนโต
ฉันมองไปรอบ ๆ บ้าน เห็นมีมุ้งหลังใหญ่กางอยู่ด้านในของเรือน คุณยายสามพี่น้องคงนอนด้วยกัน ฉันรับรู้ความจริงว่า คุณยายอีกสองท่านไม่ได้แต่งงาน ส่วนคุณยายคนเล็กแต่งงานแล้วมีลูกสาวเพียงคนเดียว คือคุณแม่ของปลิตา ส่วนพ่อของปลิตาแยกทางกับแม่เพราะมีปัญหาด้านพฤติกรรม
แม่ปลิตาเล่าให้ฟังถึงรายได้ทั้งหมดว่า เธอรับจ้างทำงานที่ร้านขายข้าวหมูแดงในตัวเมือง จังหวัดนครปฐม โดยมีรายได้เดือนละ ๖,๐๐๐ บาท ซึ่งต้องจ่ายค่ารถเดินทางไป - กลับ วันละ ๒๔ บาท ให้ลูกวันละ ๑๐๐ บาท จ่ายค่ารถตู้ให้ลูกไปโรงเรียนเดือนละ ๗๐๐ บาท ส่วนคุณยายทั้งสามคนมีรายได้จากค่าครองชีพผู้สูงวัยคนละไม่กี่ร้อยบาท
ฉันและผู้ติดตามได้ยินแล้วอดหดหู่ไม่ได้ ไม่อยากจะเชื่อว่าครอบครัวนี้สามารถครองชีพได้ด้วยรายได้เพียงเล็กน้อย แม่เด็กตอบว่า "ต้องออม ใช้จ่ายเฉพาะจำเป็นพออยู่ได้ คุณยายก็ไม่ค่อยกินอะไรเก็บเงินไว้ให้หลานเรียน"
ก่อนหน้านี้โรงเรียนมีทุนให้นักเรียนที่มีฐานะยากจน โดยให้ครูที่ปรึกษาคัดเลือก แต่ทำไมปลิตาไม่มาสมัครขอรับทุน ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีครอบครัวที่ลำบากกว่าใครทั้งหมดในห้องหลงเหลืออยู่ ฉันไม่รู้ว่าเธอมีเหตุผลอันใดจึงไม่มาขอรับทุนเป็นเพราะ " อาย " หรือ ?
ฉันออกจากบ้านหลังนี้ด้วยความรู้สึกสะท้อนใจ คุณยายคงอดมื้อกินมื้อ รูปร่างจึงแคระแกร็นยิ่งนัก อีกทั้งที่บ้านไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอันใดนอกจากหม้อหุงข้าวไฟฟ้าใบเล็ก ๆ วางอยู่ เตาแก๊สไม่มีใช้ ทุกวันคนแก่สามคนที่ยักแย่ยักยันอยู่กันลำพัง เดินแทบไม่ได้ต้องดูแลกันเอง อดมื้อกินมื้อ ฉันอยากจะช่วยพวกเขาแต่ก็คงช่วยอะไรได้ไม่มากไปกว่าบอกเล่าเรื่องราวความจริงบางอย่างให้สังคมรับรู้ และช่วยเยียวยาหัวใจด้วยการเชิญชวนญาติมิตรที่มีจิตเมตตานำปัจจัยสี่ที่จำเป็นเพื่อนำไปมอบให้คุณยายและครอบครัวในโอกาสต่อไป....
ขอบคุณประสบการณ์ "เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย" ที่ฉันพบเห็นในครั้งนี้ที่ทำให้ฉันตระหนักว่า ฉันควรเยี่ยมบ้านนักเรียนให้ครบทุกบ้านตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ เพื่อช่วยเหลือลูกศิษย์ของฉันได้เต็มที่
........................................................................................
ธรรมทิพย์
๒๑ มกราคม ๒๕๕๖
จริงครับรู้สึกหดหู่หัวใจและยินดีจะช่วยบ้างเล็กๆน้อยๆให้แจ้งไปนะครับ
ถ้าสังคมยังมีผู้ไม่ดูดาย คนละไม้คนละมือคือพลัง
(ต่อกลอนให้ครบบทจากหัวข้อเรื่องครับ)
กาารเยี่ยมบ้านทำให้ผมเข้าใจชีวิตมากครับพี่ครู....พี่ครูสบายดีนะครับ
ขอบพระคุณ คุณลุงที่่แวะมาให้กำลังใจ พร้อมทั้งช่วยต่อบทกลอนที่มีความหมายจนครบบทค่ะ
การเยี่ยมบ้านทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้นอย่างลึกซึ้งจริง ๆ
พี่ครูสบายดี ขอบคุณค่ะ ดูแลรักษาสุขภาพเพื่อจะได้เป็นที่พึ่่่งของผู้อื่นนะคะ
สวัสดีค่ะ ขออนุญาตเรียกว่า คุณครู นะค่ะ
ในอนาคตหนูก็กำลังจะเป็นคุณครู
การได้เห็น การเป็นอยู่ของน้องคนนั้นแล้ว
ทำให้รู้ว่าการเยี่ยมบ้านนักเรียนสำคัญแค่ไหน
ขอบคุณคุณครูธรรมทิพย์มากๆเลยค่ะ ^.^
สถานการณ์คล้ายกันค่ะครู
เด็กน้อยในหมู่บ้าน อยู่กับตายาย+ป่วยหนัก รายได้ไม่มี
บางครอบครัว ยิ่งกว่านิยาย สะท้อนใจ อึ้งไปสองวันค่ะ
แทบช่วยอะไรไม่ได้เลย กำลังคิดๆอยู่ค่ะ
ขอบคุณมากค่ะครู
รายได้ที่พอซื้อข้าวหักยกกระสอบแต่ละเดือน
คือค่าครองชีพผู้สูงอายุเหมือนกันค่ะ
สวัสดีค่ะ คุณตะวันดิน
อ่านแล้วก็สะท้อนใจ ขอบคุณที่ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ค่ะ
ในโลกนี้ยังมีคนคอยความช่วยเหลืออีกมากมาย ที่สำคัญเราต้องสอนให้เขาช่วยตัวเองให้ได้
แต่บางทีสภาพสิ่งแวดล้อมก็ไม่เือื้ออำนวยนะคะ