หลังจากที่เราได้ย้ายมาทำงานยังที่ทำงานแห่งใหม่ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๕โดยได้ทำพิธีขึ้นศาลพระพรหมและศาลตา-ยาย โดยมีพราหมณ์เจ้าพิธี ได้แก่ อ.ประเสริฐ นุตาลัย พราหมณ์ระดับประเทศและอันดับ ๑ ของสุโขทัย ผลปรากฏว่าหลังจากนั้น วันหวยออกงวด ๑๖ พ.ย.๒๕๕๕ ต่างถูกหวยรวยเบอร์ไปตามๆ กัน
วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ ได้ทำบุญขึ้นที่ทำงานแห่งใหม่พร้อมจัดพิธีบวงสรวงพ่อขุนศรีอินทราทิตย์และพ่อขุนผาเมือง โดยหลวงพ่อราม เทพเจ้าแห่งสายรุ้งหรือเทพเจ้าแห่งวัดวังเงิน อ.คีรีมาศ จ.สุโขทัย เป็นเจ้าพิธี อันจะนำไปสู่การก่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ทั้ง ๒ พระองค์
หลังจากนั้น เหตุการณ์ต่างๆ ก็ได้ดำเนินไปตามปกติ จนมาถึงวันนั้น....วันที่ผมได้ลูกชาย
บ่ายแก่ๆ วันที่ ๒๖ ธันวาคม ปี ๒๕๕๕ มีหญิงชราได้มาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าขอพบผม ซึ่งตามหน้าที่ของเจ้าหน้าที่จะต้องทราบขอมูลเบื้องต้นเสียก่อนว่าจะมาพบผมด้วยเรื่องอะไร ซึ่งในบางครั้ง ในบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพบผมก็ได้ เด็กหรือเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ก็สามารถชี้แจง แก้ไขปัญหาให้ได้
เด็กเข้ามาบอกผมว่า มีคุณยายสูงอายุมาขอพบเพื่อให้ผมรับหลานของเขาเป็นลูกของผม
ผมอึ้ง และงงมาก...มันเกิดอะไรขึ้น ?
งงตรงที่ว่าผมไปมีปฏิสัมพันธ์หรือมีความข้องเกี่ยวกับคนแถวนี้ตอนไหน? ไปปักธงชัยกันได้อย่างไร ? จนมีลูกเป็นตัวเป็นตน จนคุณป้าแก่ๆ ต้องมาเรียกร้องขอความเป็นธรรม?
เด็กเมื่อเห็นอาการของผม หล่อนก็ยิ้ม ผมก็ยิ่งสงสัยในรอยยิ้มของเธอ ว่าเธอเยาะเย้ยผม หรือในรอยยิ้มของเธอจะบอกกับผมว่า...นายแน่มาก...หรือว่าเธอคิดตำหนิผมกันแน่
โชคยังดีที่หล่อนไม่ปล่อยให้ผมเออ หรือจิตตกไปมากกว่านี้ หล่อนจึงเล่าเรื่องราวคราวๆ ให้ผมฟัง ซึ่งมันทำให้ผมจำเป็นต้องลงไปพบกับคุณป้า เจ้าของเรื่องที่เกือบทำให้ผมช็อคไปแล้ว
คุณป้าชื่อดอกเต็ง สุวรรณโฉม ได้พาเด็กชายณัฐนิธิ บุญญพันธ์ ซึ่งเป็นบุตรของนายณัฐพงษ์ บุญญพันธ์และนางกัญญรัตน์ พุทธกิจ มาขอความกรุณาให้ผม ได้รับเด็กชายณัฐนิธิเป็นบุตร หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า (ยกให้เป็นลูกบุญธรรม)
สาเหตุมาจากเด็กชายณัฐนิธิร้องไห้เป็นระยะเวลานานมาก ร้องไม่หยุด มาเป็นระยะเวลา ๒ เดือนแล้ว จึงทำให้คุณปู่ คุณย่า เป็นห่วงมาก บวกกับความเชื่อของครอบครัวบุญญพันธ์ในเรื่องของไสยศาสตร์ เพราะเมื่อก่อนแม่ของนายณัฐพงษ์ หรือนางประทีป บุญญพันธ์ มีอาการเหมือนถูกผีเข้าอยู่บ่อยๆ ส่วนมากจะเข้าโดยไม่รู้ตัว จะมีอาการร้องไห้ หวีดร้อง กรี๊ดร้อง ตัวสั่น จนเพื่อนบ้านเอามือปิดปาก แกก็หวีดร้องจนเอามือปิดไม่อยู่ ร้องเหมือนใจจะขาด บ่อยครั้งที่เป็นอย่างนี้ (ปัจจุบันนางประทีป จึงไม่ค่อยแข็งแรง ไม่สบายอยู่เสมอ) จึงทำให้คนในครอบครัวเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะไปหาหมอทางไสยศาสตร์ หรือทำพิธีทางไสยศาสตร์ เช่น การเดินเบี้ย เพื่อถามผีบ้านผีเรือน หรือผู้ที่ล่วงลับไปแล้วว่าต้องการอะไร จะเอาอะไร เพราะอะไรถึงไม่สบาย แล้วจึงค่อยไปหาหมอที่โรงพยาบาล ซึ่งความเชื่อทางไสยศาสตร์จึงผูกพันกับการใช้ชีวิตประจำวันของคนในครอบครัว
เมื่อน้องณัฐนิธิ ร้องไห้ไม่หยุด ร้องจนเป็นระยะเวลา ๒ เดือน นายณัฐพงษ์พ่อของเด็ก เล่าว่า ร้องเพลงกล่อมลูกน้อยจนเส้นเสียงอักเสบลูกก็ไม่หยุดร้อง ไม่ได้หลับได้นอนเลยตลอดระยะเวลาเกือบ ๒ เดือน
แต่ด้วยความเชื่อของครอบครัวเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ ปู่ ย่า ท่านไม่สบายใจที่เห็นหลานร้องไห้ไม่หยุด จึงตัดสินใจไปหาหมอดูใกล้ๆ บ้าน ที่หมู่ ๑ บ้านคลองแห้ง และบ้านซ่าน คุณป้าดอกเต็งเล่าว่าหมอทั้ง ๒ ได้ทักและพูดเหมือนกันว่า “...ให้นำน้องณัฐนิธิ ไปฝากให้เป็นลูกบุญธรรมของผู้ที่มีมีการศึกษาสูง มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูง เพราะน้องณัฐนิธิมีบุญสูงมากกว่าพ่อ แม่...”
หมอบอกว่า “...กลัวพ่อ แม่ จะเลี้ยงน้องไม่ได้ ต้องยกน้องให้พ่อ แม่ ที่มียศ มีตำแหน่งสูง...” และมีผีนู้นผีนี่ ผีบ้านผีเรือนมากวนให้ร้องบ้าง ก็ให้แก้บน โดยให้เป็นหัวหมู ในตอนแรกคุณป้าดอกเต็งได้พาน้องณัฐนิธิไปให้คนอื่นรับแล้วแต่ก็ไม่ได้ เลยคิดว่าบ้านเรามีใครอีกที่จะมีตำแหน่งสูง หน้าที่การงานสูง ก็นึกถึงผมขึ้นมา จึงมาขอให้ผมช่วยรับเป็นลูกบุญธรรมสักหน่อย เพื่อให้เด็กได้หยุดร้องและทำตามความเชื่อแต่โบราณ
เมื่อฟังดังนั้น ผมก็อึ้ง (แต่อึ้งน้อยกว่าครั้งแรกนะ) ถามตัวเองว่า เรามีหน้าที่การงานสูงแล้วหรือ ? ทำไมไม่ไปขอคนอื่น ? แล้วเราจะรับดีไหม ? รับแล้วเราจะเป็นอะไรไหม ? ....ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ผมไม่เคยทราบมาก่อน และโดยส่วนตัวก็คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ถ้าผมไม่รับ...คุณป้าเขาจะทำอย่างไร? อุตส่าห์ทรมานสังขารมาขอร้องผม
เพียงปล่อยความคิดได้ชั่วแวบเดียว ตาผมมองเห็นดวงตาเชิงอ้อนวอนของคุณป้าสัมผัสได้ถึงความเกรงใจ ความเชื่อ ความหวัง...
ผมต้องตอบตกลงในทันที พร้อมความคิดที่ว่า เราจะทำลายความตั้งใจ ทำลายความหวังของคนแก่ไม่ได้ เด็กจะหายร้องหรือไม่หายร้องก็ไม่เป็นไร แต่จิตใจของคุณป้าต้องหายกังวล บรรจุวัตถุประสงค์ในเรื่องของความเชื่อ ได้สมานแผลในใจแก่จะได้เกิดความสบายใจ
วันนั้นผมจึงได้รับน้องณัฐนิธิเป็นลูก โดยมีพิธีการเล็กน้อย คือ ยายได้กล่าวยกน้องณัฐนิธิให้ไปเป็นลูกของผม แล้วให้ผมรับเป็นลูกโดยการให้ผมรับด้วยการผูกด้ายแดง ขาว ที่ข้อมือและจ่ายเงินให้พ่อ แม่ น้องณัฐนิธิ พร้อมกล่าวรับเลี้ยงดู มาอยู่ มาเป็นลูกของผม แล้วผมก็รับน้องจากแม่ของน้องมาอุ้ม ด้วยความน่ารักของเด็ก ผมจึงอดใจไม่ไหวก้มลงหอมแก้มแก่ไป ๑ ที น่ารักครับ น่ารักมาก (ตอนนั้นแก่ร้องจนเพลียหลับไปแล้ว)
ที่มาของเด็กชายณัฐนิธิ บุญญพันธ์นั้น มาจากการที่นายณัฐพงษ์ บุญญพันธ์และนางกัญญารัตน์ พุทธกิจ ได้ไปเที่ยวงานสักการะพระแม่ย่าพ่อขุน ที่จังหวัดสุโขทัย ได้กราบไหว้ขอลูกกับพระแม่ย่า เมื่อปี ๒๕๕๔ และตั้งครรภ์ประมาณ เดือนมีนาคม ๒๕๕๕ (โดยส่วนตัวนางกัญญารัตน์ พุทธกิจ มีความเชื่อว่าเป็นธรรมดาที่ลูกของตนร้องไห้ เพราะเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึง ๓ เดือน จะมีอาการโคลิคและจะหายไปเอง และได้พาลูกไปหาหมอแล้วหมอบอกว่า เป็นธรรมดาที่เด็กร้อง เด็กยังบังคับกล้ามเนื้อของตัวเองยังไม่ได้)
ปัจจุบันเด็กชายณัฐนิธิ บุญญพันธ์ มีอายุ ๒ เดือน ๗ วัน มีอาการที่เบาขึ้น ดีขึ้นไม่ร้องตลอดเวลา แต่จะร้องเป็นเวลา ประมาณ ๑๘.๐๐ – ๒๐.๐๐ ของทุกวัน (คุณแม่บอกว่า เตรียมตัวได้เลยเมื่อถึงเวลานี้)
สาธุ...ขอให้เด็กหยุดร้องด้วยเถิดครับ คนแก่จะได้มีความสุข.... (รวมทั้งผมด้วย).
ข้อมูลเมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๖
<p></p>
ไม่มีความเห็น