กลางดึกของคืนหนึ่ง


   การได้ร่วมทำกิจกรรมเพื่อเด็กๆตั้งแต่เช้ายันดึก ทำให้รู้สึกที่ดีที่ได้มีส่วนร่วมในการสร้างความสุขให้กับเด็กๆในหมู่บ้าน หลังกิจกรรมของเด็กผู้ใหญ่ใจดีทั้งหลายก็ร้องเพลงกันต่อด้วยความสนุกสนาน ถือว่าได้อานิสงค์ในการจักงานวันเด็กก็ว่าได้

   ผมขอตัวกับเพื่อนๆคณะกรรมการ เพื่อกลับมาพักผ่อนหลังจากประเมินแล้วน่าจะดึกกว่ากิจกรรมของผูใหญ่จะเลิก

   มาถึงบ้านภรรยาและลูกสาวเข้านอนแล้ว มีเจ้าทอฟฟี่คอยมาต้อนรัับขับสู้อยู่ข้างล่าง ภายในซอยเงียบสงัด น่าแปลกใจที่ความอึงคนึงของเครื่องเสียงในงานเมื่อกี้เหมือนจะเงียบไปด้วยเหมือนโดนปิดเครื่อง

   การได้อยู่เงียบๆคนเดียวทำให้ผมถอนใจยาวด้วยความรู้สึกสงบเย็นเหมือนได้ปลดปล่อยความวุ่นวายของชีวิตที่ดำเนินมาทั้งวันนี้ให้หลุดลอยไปด้วย 

   เหลือบไปมองเห็นหนังสือ Secret ที่ภรรยาชอบยืมมาอ่าน และบ่อยครั้งผมจะพลิกไปอ่านหน้าสุดท้ายที่ ท่านปิยโสภณ เขียน ฉบับนี้ท่านเขียนเกี่ยวกับ ความว่างเปล่า ไว้ว่า

   "บางครั้งการอยู่คนเดียวดูเหมือนเปล่าเปลี่ยวหัวใจ เรามักจะหาอะไรมาเติมเต็มหรือหาใครมาคุยเป็นเพื่อน พอคุยมากไปก็เกิดความเบ่อหน่าย อยากอยู่คนเดียว

   ชีวิตของคน ปราชญ์บอกว่า ต้องทำให้จิตว่างเปล่าจากอารมณ์จึงจะมองเห็นความสุขแท้ ทุกข์ืจริง หากไม่ทำให้จิตว่าง ก็จะพยายามกลบทุกข์ด้วยสุขเทียม เมื่อใดเราเจอสุขเทียม นั่นคือทุกข์ที่แอบหลบซ่อนอยู่ในตัวเราเหมือนเชื้อไวรัสที่พร้อมจะเล่นงานเราเมื่ออ่อนแอ..."

   การได้อ่านบทความนี้ทำให้ใจสุขสงบในกลางดึกของวันนั้น ผมหายใจลึกๆอีกครั้งแล้วพลิกย้อนอ่านเรื่องต่อไป ทางสู่นิพพาน ของ กำธร เก่งสกุล

   "...ชีวิตของแต่ละคนมีช่วงเวลาอันจำกัดและแสนสั้น ...หากเปรียบชีวิตเป็นการเดินทางแล้ว การเดินทางสู่จุดหมายใดโดยมีสัมภาระน้อยที่สุดย่อมทำให้เกิดความโปร่ง โล่ง เบา ในการเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเดินทางสู่แดนนิพพาน เพราะแม้แต่การแบกขันธ์ 5 ไประหว่างทางก็ถือว่าหนักมากเกินพอแล้ว..."

   อ่านบทความนี้เสร็จผมเหลือบมองดูสรรพร่างกายของตัวเองที่ยังต้องแบกอยู่ แล้วหายใจลึกๆด้วยความสงบอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะอ่านเรื่องต่อไป พลังแห่งความคิดบวก(2) ของท่าน ว.วชิรเมธี

   "...ดังมีเรื่องเล่าของพระปุณณะ ซึ่งตัดสินใจกลับไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังแผ่นดินถิ่นเกิด ซึ่งเป็นดินแดนที่ผู้คนใจคอโหดเหี้ยม เมื่อพระพุทธองค์ทรงสอบถามถึงบริบทของสังคมในเรื่องนี้ พระปุณณะได้ตอบคำถามซึ่งสะท้อนถึงวิธีคิดเชิงบวกเอาไว้ดังนี้

"ชาวสุนาปรันตระเป็นคนดุร้าย ถ้าเขาด่าท่าน ท่านจะวางใจต่อคนเหล่านั้นอย่างไร"

พระปุณณะทูลว่า"ยังดีนักหนาที่เขาไม่ตบตี"

ตรัสถามว่า"ถ้าเขาตบตี จะวางใจอย่างไร"

ทูลว่า"จะคิดว่ายังดีนักหนาที่เขาไม่ขว้างปาด้วยก้อนดิน"

ตรัสถามว่า"ถ้าเขาขว้างปาด้วยก้อนดิน จะวางใจอย่างไร"

ทูลว่า"จะคิดว่ายังดีนักหนา ที่เขาไม่ทุบด้วยท่อนไม้"

ตรัสถามว่า"ถ้าเขาทุบตีด้วยท่อนไม้ จะวางใจอย่างไร"

ทูลว่า"จะคิดว่ายังดีนักหนาที่เขาไม่ฟันแทงด้วยศรัสตรา"

ตรัสถามว่า"ถ้าเขาฟันแทงด้วยศรัสตรา จะวางใจอย่างไร"

ทูลว่า"จะคิดว่ายังดีนักหนาที่เขาไม่เอาศรัสตราอันคมฆ่าเสีย"

ตรัสถามว่า"ถ้าเขาเอาศรัสตราอันคมฆ่าเสีย จะวางใจอย่างไร"

ทูลว่า"จะคิดว่ามีสาวกบางท่านเบื่อหน่ายร่างกายและชีวิตต้องเที่ยวหาศัสตรามาสังหารตนเอง แต่เราไม่ต้องเที่ยวหาเลยก็ได้ศัสตราแล้ว"

   จบวิสัชนานี้แล้ว พระพุทธองค์ทรงพอพระทัยมาก ตรัสสาธุการชมเชยว่าเป็นการคิดถูกแล้ว สามารถออกไปทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนายังดินแดนที่เต็มไปด้วยคนดุร้ายได้ ในเวลาต่อมาท่านปุณณะก็สามารถนำเอาพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานยังดินแดนนั้นได้จริงๆ..."

   ผมอ่านจบพลางถามความคิดของตัวเองว่า พบความว่างเปล่าหรือยังหนอ...ยังต้องแบกขันธ์ 5 อีกนานเท่าไหร่หนอ...เบื่อหน่ายในชีวิตที่ผ่านมาหรือไม่หนอ...

   ท่ามกลางความเงียบสงัดในกลางดึกคืนนั้น

 

 

หมายเลขบันทึก: 516080เขียนเมื่อ 13 มกราคม 2013 12:59 น. ()แก้ไขเมื่อ 9 ธันวาคม 2013 21:04 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีวันหยุดค่ะ

เพิ่งอ่านซีเคร็ตฉบับนี้จบไปเช่นกัน รับประจำอยู่ค่ะ น่าอ่านน่าคิดมากๆ   :)

สุนาปรันตะ คาดว่าเป็นชาวอินเดียทางด้านใต้

คาดว่าเป็นเมือง ทมิฬนาดู ใครรู้ช่วยบอกด้วยครับผม





โสภณ เปียสนิท

ขอบคุณครับอาจารย์

ผมเองก็ไม่มีความรู้ด้านพุทธประวัติเลย ใครทราบช่วยบอกอีกที ล่ะกันครับ

ขอบคุณครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท