ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี
ผู้อำนวยการโครงการอนุรักษ์คัมภีร์
มหาบัณฑิตสาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ธรรมศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาค้นคว้าเพื่อเป็นหลักฐานทางวิชาการทางพระพุทธศาสนาตามหลักสูตรวิจัยคัมภีร์พระพุทธศาสนา มูลนิธิเบญจนิกาย พุทธศักราช ๒๕๕๐พิมพ์ครั้งที่ ๑ ๕๐๐ เล่ม
เพื่อเป็นธรรมทานไม่สงวนลิขสิทธิ์
กำลังสร้างชีวิตสร้างทางของตนเองไปสู่ทางพ้นทุกข์
กระบวนการแห่งการคิดที่ดีไว้แล้วก็อยู่ที่ท่านทั้งหลายที่ได้ฟังแล้วได้นำไปปฏิบัติอย่างไรกันบ้างซึ่งสิ่งเหล่านี้คือเรื่องที่ท่านต้องคอยสังเกตทำไมจึงมาเข้าปฏิบัติ? และทำไปเพื่ออะไร?
ในเรื่องของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้เป็นเรื่องที่ไม่ยากและไม่ยุ่ง
แต่จะยากและจะยุ่งกับชีวิตของผู้ปฏิบัติก็ตรงที่ว่า "เราไม่เข้าใจ"คือ
มนสิการไม่ถูกต้องนั่นเอง
บางคนการที่เพิ่งเข้าปฏิบัติใหม่ๆ
แล้วไม่รู้จักรากฐานของการปฏิบัติก็จะทำให้ผลประโยชน์หรือผลที่ควรได้น้อยลง
ฉะนั้น ก่อนอื่นก็จะขอเกริ่นสักนิดว่าเรามาทำอะไรกันที่นี่ทำไมจึงมาเข้าปฏิบัติ
และทำเพื่ออะไรให้เข้าใจถูกต้องก่อน เพราะในชีวิตประจำวันของคนเรา
ตั้งแต่เกิดมานั้นเราสะสมความวิปลาสธรรมกันมามากมายไม่รู้กี่ภพกี่ชาติแล้วเชื่อว่าทุกท่านที่นั่งอยู่ตรงนี้เชื่อว่า
มีชาติหน้ามี มีชาติที่แล้วฉะนั้นวัฏฏสงสารของเราจึงหมุนเวียนอยู่เนื่องด้วยอวิชชาคือความไม่รู้นั่นเอง.
ความไม่รู้ในที่นี้ไม่รู้ในเรื่องราวของชีวิตตามความเป็นจริง
แต่ขอพูดเฉพาะที่การปฏิบัติก็คือในส่วนของวิปลาสธรรมเห็นผิดไปจากความเป็นจริง.
ความเป็นจริงนั้น ชีวิตเป็นของไม่ดี เราก็เห็นว่าเป็นของดีเรียกว่าสุภวิปลาสความเป็นจริงนั้น ชีวิตเป็นของไม่มีความสุข แต่เราเห็นว่าสุข เรียกว่าสุขวิปลาสธรรมชาติทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นชีวิตใครมีแต่ความไม่เที่ยงแต่เราเห็นว่าเที่ยง เรียกว่านิจจวิปลาสธรรมชาติทั้งหลายทั้งหมดนี้ เราไม่สามารถไปกำหนดกฎเกณฑ์ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ เป็นอนัตตา เราเห็นว่าเป็นตัวเรา เป็นต้น เป็นอัตตาตัวตนเรียกว่าอัตตวิปลาส
ฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสสั่งสอนว่า..
สพฺเพ สงฺขารา
อนิจฺจา สพฺเพ สงฺขารา
ทุกขา สพฺเพ ธมฺมา
อนตฺตา
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ธรรมทั้งหมดไม่
สามารถบังคับบัญชาได้
นี่คือความรู้ที่ผู้เข้าปฏิบัติทุกท่าน
ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกิดขึ้นก่อนพอมีความรู้ความเข้าใจเช่นนี้แล้ว
ก็จะได้ศึกษาเข้าไปว่า ภายใต้ธรรมชาติที่บอกว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับบัญชาไม่ได้นั้นเพราะอะไร
ก็เพราะสภาพธรรมต่างๆเหล่านั้นมีความเกิดดับอยู่ตลอดเวลา
ยกตัวอย่างเช่นจิตธรรมชาติของจิตนั้นเป็นสภาพที่รู้อารมณ์มีการเกิดแล้วก็ดับ แต่การเกิดดับของจิตนั้นเกิดสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลาความสืบต่อกันนั้นเรียกว่าสันตติมีเกิดมีดับ
และมีการเกิดขึ้นแทนความดับจึงมีความติดต่อกันไม่ขาดสาย
ดังนี้เราจึงหลงฟั่นเฟือนไปว่า "เที่ยง"ว่ามีสาระ มีประโยชน์
สภาพธรรมเหล่านี้ไม่ปรากฏแก่สายตาพวกเราทั้งหลายคือไม่ปรากฏต่อใจของเราผู้ที่ยังมีปัญญาน้อยฉะนั้น เราจึงต้องมาที่นี่มาเข้าปฏิบัติเพื่อดูความจริง
ความจริงคืออะไร?
ในธรรมชาติของชีวิตนั้น
ที่กล่าวว่า ไม่มีคนไม่มีสัตว์ ไม่มีหญิงไม่มีชายเราได้ฟังกันมานานแล้วแต่ทุกวันนี้เราก็ยังมีคนมีสัตว์
มีหญิงมีชายเพราะว่าจิตของเรายังไม่เข้าไปประจักษ์แจ้งในสภาวะธรรมความเป็นจริงนั้นเราต้องเข้าใจเรื่องกิจในพระพุทธศาสนาให้ถูกต้องว่าเราควรทำอะไรบ้างเช่นเราศึกษาเล่าเรียนอยู่นี้ก็มีการพยายามทำความรู้ให้เกิดขึ้นว่า
ชีวิตคืออะไรชีวิตประกอบไปด้วยรูปและนาม
คือขันธ์ ๕ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณพระพุทะองค์ทรงตรัสว่า ขันธ์ ๕
นี่แหละเป็นทุกข์ ไม่มีอย่างอื่นเป็นทุกข์เลย
ฉะนั้นการที่เราได้เริ่มทำความเข้าใจกับชีวิตเช่นนี้
แล้วมาเข้าปฏิบัติเราก็ต้องรู้ภูมิธรรมหรืออารมณ์ของวิปัสสนาเพราะอารมณ์ของวิปัสสนาต่างกับอารมณ์ของสมถะ
อารมณ์ของสมถะนั้นจะใช้อะไรก็ได้ใน ๔๐อย่าง เช่น กสิณ หรืออสุภะ หรือลมหายใจ
หรือพรหมวิหารต่างๆ แต่อารมณ์ของวิปัสสนามีอยู่อย่างเดียวคือปรมัตถ์อารมณ์
ปรมัตถ์อารมณ์
คือต้องมีรูป
ต้องมีนามเป็นอารมณ์เท่านั้นนอกเหนือจากนี้ไม่ได้ เพราะเราต้องการความจริงความจริงคือรูปกับนามเท่านั้นเพราะธรรมชาติที่รู้อารมณ์เรียกว่าจิตและธรรมชาติ(อารมณ์)ที่ให้จิตรู้ก็คือ รูป และนาม
เราจึงใช้อย่างอื่นมาเป็นอารมณ์ไม่ได้ เพราะหากไปเพ่งดูอย่างอื่นก็จะไม่ใช่งานของวิปัสสนา
การศึกษาเล่าเรียนจึงทำให้เกิดปัญญาปัญญาคือตัววิปัสสนาที่จะต้องเข้าไปกำหนดรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่าเป็นอะไรบ้าง
หรือคืออะไร ความจริงนั้นไม่มีอะไรนอกจากความทุกข์ความทุกข์เท่านั้นที่เป็นจริง
สมตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่
และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ฉะนั้นความจริงก็คือทุกข์นั่นเอง
เมื่อใดเราจึงจะมีความรู้เท่าทันทุกข์ที่เกิดขึ้น?
หน้าที่ของผู้ปฏิบัติจึงต้องคอยดูทุกข์อยู่ตลอดเวลา จะดูอย่างอื่นไม่ได้
เพราะทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นคืออาการต่างๆ
เกิดขึ้น รูปอิริยาบถต่างๆที่ปรากฏ แล้วทำไมจึงเป็นความทุกข์เล่าก็เพราะรูปนั้นก็ไม่เที่ยง นามนั้นก็ไม่เที่ยง
ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้และบังคับบัญชาไม่ได้การที่เราคอยสังเกต คือรูปเกิดขึ้นเราก็คอยดูที่รูปนามเกิดขึ้นเราก็คอยดูที่นามเพราะธรรมชาติของรูปและนามเกิดขึ้นและอยู่ได้ด้วยเหตุปัจจัยพอหมดเหตุปัจจัยก็ต้องดับโดยธรรมชาตินั่นเอง ฉะนั้น สภาพที่ต้องเปลี่ยนแปลง
ดับไป นั่นแหละค่ะคือ ทุกข์เราจึงมีหน้าที่คอยสังเกตคือดูแลอยู่ตลอดเวลา
การกำหนดของวิปัสสนากรรมฐานจึงเป็นเรื่องของการดูทุกข์
เพราะถ้าดูอย่างอื่นแล้วเราก็จะพลาดไป เพราะกิเลสตัณหาอุปาทานต่างๆ ที่เราพกกันมาไม่รู้เท่าใดนั้น เราจะมาเข้าปฏิบัติแล้วชำระให้หมดสิ้นในเพียงวันเดียวนั้นก็คงเป็นไปได้ยากหรือขอพูดว่าสมัยนี้คงเป็นไปไม่ได้
จึงต้องค่อยๆทำไปเรื่อยๆ
หากมีการตั้งคำถามว่า
เมื่อใดล่ะเราจึงจะมีความรู้ทุกข์นั้นหรือเท่าทันทุกข์นั้นรูปนามนั้นที่เกิดขึ้นแล้วดับไปก็ต้องอาศัยเวลาเพาะบ่มความชำนาญเข้าไป ใหม่ๆ
เราก็เหมือน"ตามดู"หรือตามรู้
แต่ถามว่า
การตามดูหรือตามรู้นั้นเป็นการดูความจริงใช่ไหม
ก็ต้องตอบว่าใช่เมื่อความปรากฏขึ้นของความจริงนั้น มีมากขึ้นแล้วเราก็รู้ได้มากขึ้น
ๆๆอีกหน่อยเราก็จะรู้เท่าทันความจริงได้เอง
คือทันปัจจุบันเองและก็ต้องรู้อีกอย่างหนึ่งว่า ปัจจุบันเป็นอย่างไร?
ปัจจุบันเป็นอย่างไร?
คำว่าปัจจุบันมี
๒ อย่างคือ ปัจจุบันธรรมและปัจจุบันอารมณ์ แล้วความสำคัญอยู่ตรงไหน
ระหว่างปัจจุบันสองอย่างนี้
ปัจจุบันธรรม คือธรรมที่มีอยู่ตลอดไม่ขาดสาย เป็นเรื่องของธรรมะที่มีอยู่
เช่น เย็น ร้อนอ่อน แข็ง หย่อน ตึง เปรี้ยว
หวาน มัน เค็ม เผ็ด จืด รัก เกลียด ชอบ ชัง ฟุ้งความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ เป็นต้น
เป็นธรรมะทั้งสิ้นที่มีอยู่คู่กับโลก
ปัจจุบันอารมณ์คือธรรมหรืออารมณ์ที่เกิดขึ้นกับเราที่ปัจจุบัน
ตรงปัจจุบันอารมณ์นี้แหละค่ะ
ถ้าหากเราไม่มีสติปัญญามาสะกัดกั้นตรงปัจจุบันอารมณ์นี้ก็จะเป็นปรากฏการณ์ที่มีกิเลสตัณหาเข้าครอบครอง
คือปัจจุบันอารมณ์กลายเป็นที่เกิดของอภิชฌาและโทมนัสคือความยินดีและความไม่ยินดี
ฉะนั้นท่านต้องวางใจให้ถูก คือ หมั่นเพียรตรวจดูที่อารมณ์ของท่านเท่านั้นจึงไม่ต้องทำอะไรมาก ไม่ต้องนั่งภาวนามากคอยสังเกตความปรากฏขึ้นที่อารมณ์ปัจจุบันของท่าน
อยู่กับปัจจุบันให้ได้
บางท่านอาจยังเข้าใจไม่ละเอียดในเรื่องของปัจจุบันที่แตกต่างกันระหว่างปัจจุบันธรรมกับปัจจุบันอารมณ์
จึงขอยกตัวอย่างไว้ตรงนี้อีกครั้งหนึ่งว่า โดยการถามท่านว่าในขณะนี้มีคนถูกยุงกัดอยู่ไหม?
มี มีคนกำลังถูกรถชนอยู่ไหม?
มีมีคนกำลังคลอดลูกอยู่ไหม?
มี เหล่านี้เป็นปัจจุบันธรรม
ธรรมชาติเหล่านี้มีอยู่
แต่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเรา ขณะนี้เราไม่ได้ถูกยุงกัดขณะนี้ไม่มีความเจ็บเกิดขึ้นกับเรา
แต่เราปฏิเสธได้ไหมว่าคนอื่นไม่มี? ไม่ได้เพราะธรรมชาติเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปจะเกิดกับบุคคลใดก็แล้วแต่วิบากอกุศลจะส่งผลเขาในขณะนั้นแต่ถ้าหากในขณะนั้นวิบากอกุศลจะส่งผลให้เราในขณะปัจจุบันนี้ขณะนี้เรากำลังถูกยุงกัดตรงนี้เป็นปัจจุบันอารมณ์ของเราแล้วและเมื่อเราถูกยุงกัด
เราก็อาจมีอาการคันหรือเจ็บขึ้นมา ถ้าหากเราไม่เท่าทันเราก็จะเกิดความไม่พอใจ
ที่เราเกานั้นเกิดเพราะเราพอใจใช่ไหม? ไม่ใช่แต่เพราะมันเกิดอาการคันซึ่งเราไม่พอใจ
เราก็แก้ไข เพราะมันเกิดทุกข์ ฉะนั้นตรงปัจจุบันนี้
เราจึงต้องมีมนสิการ คือ มีโยนิโสมนสิการรู้อยู่ตลอดเวลาว่าจะทำไปเพื่ออะไรทำไมจึงต้องทำ
เราต้องมีเหตุผลให้กับตนเองเสมอๆนี่คือเรื่องของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
การแก้ไขทุกข์
วิปัสสนากรรมฐานนั้นนอกจากความเข้าใจว่ามีนามรูปเป็นอารมณ์
และมีปัจจุบันอารมณ์ที่ต้องคอยดักคอยแก้ไขมิให้เกิดเป็นอภิชฌาและโทมนัส
เพราะมิฉะนั้นแล้ววิปลาสธรรมก็จะเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
กิจของผู้ปฏิบัตินั้นก็คือดูทุกข์หากปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอนั้นก็จะเห็นทุกข์ขึ้นอยู่เรื่อยๆ
ตลอดเวลาและเมื่อเห็นทุกข์เกิดขึ้นแล้วก็จะรู้ว่ามีทุกข์ซ้อนทุกข์อยู่ในการแก้ไข
เช่นนั่งแล้วเมื่อย อย่างนี้มีทุกข์เกิดขึ้นแล้ว
เราก็ต้องมีมนสิการอยู่ในใจว่ารูปนี้เป็นทุกข์
แล้วจะทิ้งการดูไปเลยไม่ได้เพราะไม่ได้มีทุกข์นี้อยู่เพียงอย่างเดียวมีทุกข์คือเมื่อยแล้วก็ต้องมีการแก้ไขความเมื่อยนั้นและการแก้ไขทุกข์นั้นให้สำเร็จในครั้งเดียวก็ไม่ได้แต่จะต้องมีการพยายามในการแก้ไขนั้น
เพราะฉะนั้น จะเห็นว่า เราจำเป็นต้องๆสารพัดอย่างอยู่ตลอดเวลา ตรงนี้แหละที่รู้ว่าต้องทำนั้น เมื่อประจักษ์เข้าไปมากๆก็จะละแล้วก็คลายจากความยินดีหรือวิปลาสธรรมที่เคยเห็นว่า
ชีวิตนั้นเป็นของดีเพราะจะเห็นว่าชีวิตไม่ดีเลย เช่น
ตั้งแต่เช้าตื่นลืมตาจนหลับตาลงในตอนกลางคืนนั้นเราต้องแก้ไขทุกข์กันไม่รู้เท่าไร
นับไม่ได้เลยเพราะแม้กระทั่งหลับเราก็ยังต้องหายใจ
การตัดสังสารวัฏ
สมัยก่อนนั้นที่มาที่นี่กับคุณพ่อ
คือท่านอาจารย์บุญมี
เมธางกูรท่านจะเดินเข้าไปสอบอารมณ์
ที่สูญญาคาร ท่านตั้งคำถามว่า "วันนี้ที่คุณดูทุกข์อยู่นี้
คุณบอกผมได้ไหมว่าทุกข์เกิดขึ้นกับคุณเท่าไหร่?"ผู้ที่ถูกถามนั้นตอบไม่ได้
เพราะนับไม่ถ้วน แต่ถ้าหากตอบว่าทุกข์เกิดขึ้นสองครั้งนั่นก็แสดงว่า
นอกนั้นต้องเป็นสุข ซึ่งก็คือสุขวิปลาสเพราะคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริงแล้ว
เพราะความจริงมีแต่ทุกข์ที่ไม่สุขมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา
ท่านทั้งหลายที่ปฏิบัติอยู่นี้ท่านต้องคอยสังเกตตัวเองว่าท่านดูทุกข์อยู่หรือเปล่าแล้ววันต่อวันนี้ท่านสามารถรู้ได้เลยว่าท่านรู้สึกอย่างไร วันนี้กับเมื่อวานนี้รู้สึกต่างกันอย่างไรถ้าหากท่านตอบว่าสบายขึ้น นั่นเป็นคำตอบที่ผิดเพราะมีอะไรสบายขึ้นที่ไหนมีแต่ทุกข์อยู่ตลอดเวลาการแก้ไขการคอยเยียวยาก็เป็นทุกข์ชนิดหนึ่ง อารมณ์ที่วิบากส่งผลมาต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้ก็เป็นทุกข์ ต้องรับประทานอาหารด้วยความจำเป็นเพราะมีทุกข์เกิดขึ้น
ฉะนั้น สัตวโลกทั้งหลายก็ได้รับอดีตเหตุ จึงมีปัจจุบันผลแล้วก็ทำปัจจุบันเหตุให้มีอนาคตผล
ชาติหน้าจึงมีอยู่แน่นอนวัฏฏสงสารจึงมีอยู่เรื่อยไปแต่ท่านทั้งหลายที่มาปฏิบัติจึงเป็นผู้ที่ไม่ได้ทำวัฏฏะให้ยืดยาวแต่มาทำวิวัฏฏะคือมาทำลายวัฏฏสงสารออกไป
คือพยายามตัดรอนสิ่งที่ทำให้เกิดก็คือตัณหา
เพราะที่เราเกิดมาก็ด้วยอำนาจกรรมจึงมีความแตกต่างกันออกไปคือ เป็นหญิง เป็นชาย เป็นคนความจำดี
เป็นคนความจำไม่ดีความแตกต่างเหล่านี้เป็นเพราะกรรมที่ทำมาต่างกันแต่ไม่ว่าใครที่เกิดมาก็ล้วนมีตัณหา
คือความยินดีติดใจในกาม ในภพ เป็นต้น
ผู้ที่เข้าปฏิบัติจะไม่รู้ความจำเป็นไม่ได้เพราะนั่นคือการไม่รู้ภัยในวัฏฏะ
แต่เราเป็นผู้ที่รู้ภัยในวัฏฏะเราจึงต้องรู้ว่าวัฏฏะสงสารนั้นหมุนไปด้วยอะไร
คือ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูปอายตนะ ผัสสะ
เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรามรณะ นี่คือสังสารวัฏซึ่งมีอดีตเหตุจึงมีปัจจุบันผล มีปัจจุบันเหตุ จึงมีอนาคตผล
ฉะนั้นธรรมทั้งหลาย จึงประกอบไปด้วยเหตุและผลตลอดเวลา ผลที่ปรากฏกับเราทุกคนไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็มีอดีตเหตุด้วยกันทั้งสิ้นและปัจจุบันที่เรากำลังทำนี้ก็เป็นปัจจุบันเหตุที่จะส่งให้มีอนาคตผล
ฉะนั้น พอมาปฏิบัตินี้เราก็รู้แล้วว่าตัวเชื่อมต่อวัฏฏะก็คือตัณหา และสิ่งที่ทำให้คนแตกต่างกันก็คือกรรมเมื่อเราหยุดตัณหาแล้ว เราทำกรรมชนิดพิเศษนั่นก็คือเราก็หยุดเกิดด้วยแล้วกำลังทำผลพิเศษคือ กุศลที่ประกอบไปด้วยปัญญานั่นเอง
ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่ออะไร
ที่เรามาปฏิบัติกันในวันนี้ก็เพื่อทำลายความเห็นผิด
คือเห็นผิดจากความเป็นจริงเพราะความเป็นจริง
มีอย่างเดียวคือ ความทุกข์เพราะฉะนั้นท่านก็จะได้คำตอบแล้วว่า
ใครที่มาปฏิบัติแล้วรู้สึกสบายขึ้นอยู่แล้วสบายกว่าที่บ้าน
พอปฏิบัตินานๆแล้วสงบขึ้น ดีขึ้นกว่าเดิมนั่นคือการปฏิบัติที่ผิดไปจากความเป็นจริงเพราะความเห็นถูกก็คือเห็นความทุกข์เห็นปรากฏการณ์ของชีวิตว่านั่นก็ทุกข์นี่ก็ทุกข์ เปลี่ยนอิริยาบถ
โดยมีมนสิการแล้วก็รู้สึกทุกข์อีกแล้วก็รู้ว่ารูปนี้เป็นทุกข์แล้ว
และความทุกข์นี้ก็เป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนอิริยาบถในขณะที่เปลี่ยนก็ต้องแก้ไขอีกแล้ว ซึ่งมีใครมาช่วยให้หายทุกข์ได้ไหม? ไม่ได้แม้กระทั่งเปลี่ยนอิริยาบถไปแล้วก็จริงรูปใหม่นามใหม่ก็กำลังเริ่มเกิดทุกอีกแล้ว
เมื่อท่านอยู่ในห้องปฏิบัติ
พอถึงเวลาก็มีคนเอาปิ่นโตมาวาง เราก็ต้องหยิบเองต้องตักเอง ต้องใส่ปาก ต้องเคี้ยว ต้องกลืน นั้นก็เป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่าทุกข์เท่านั้นที่เดินทางอยู่ตลอดเวลา
บังเกิดขึ้นอยู่เสมอ
แต่ถ้าหากเรากลับไปเห็นว่าสิ่งนั้นดี
สิ่งนี้ดีกว่า ฉะนั้นจึงเป็นความรู้ที่ตรงข้ามกับความเป็นจริง
วันนี้จึงมาให้เหตุผลถ้าหากท่านมีความรู้สึกอย่างที่กล่าวมานี้
ท่านสามารถบอกตนเองได้เลยว่าการปฏิบัตินั้นถูกหรือผิด
หากทราบว่าผิดแล้วก็ต้องแก้ไข
บางครั้งที่เราเข้าปฏิบัติหลายๆ
วัน ก็มีอารมณ์เข้ามามากมายซึ่งเราห้ามไม่ได้
และแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันการที่เราได้มีโอกาสมาเสวนาธรรมกันในวันนี้เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันจึงเป็นสิ่งที่ดีเพราะทำให้มีเหตุผลและส่งเสริมให้เดินหน้าขึ้นไปได้
และทำบุญให้สูงๆ ขึ้นไปได้
วิธีการจับปัจจุบัน
อีกประการหนึ่งที่ผู้ปฏิบัติควรจะเข้าใจว่าในเรื่องของชีวิตทั้งเราทั้งเขามีสภาพเหมือนกัน คือไตรลักษณ์มีรูปนามที่ไม่เที่ยง รูปนามที่เป็นทุกข์ รูปนามที่บังคับบัญชาไม่ได้เพราะความที่เราไม่เห็นไตรลักษณ์เราจึงหลงฟั่นเฟือนไปตามอาการทำคิดว่ามีแก่นสารขึ้นมาแต่ถ้าเมื่อใดที่เราปฏิบัติอยู่นี้แล้วมีมนสิการมากขึ้นๆ เราก็จะเห็นความจริงว่าความปรากฏขึ้นของทุกข์ ทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายด้วยปัญญาคือเบื่อชีวิตแต่ไม่ใช่เบื่อว่ามาปฏิบัติแล้วไม่เห็นได้อะไรเลย วันนี้อารมณ์ไม่ดีเลยวันนี้ไม่ได้ปัจจุบันเลย เบื่ออย่างนี้ก็คือ กิเลสเบื่อ
สาเหตุก็เพราะเราเข้ามาด้วยมีความหวังมีความต้องการมาตั้งแต่แรก ที่จะได้เห็นรูป เห็นนาม หรือได้ปัญญาอย่างนี้ละคะเป็นการมาที่มีกิเลสหนุดหลังให้มา
แต่พอไม่สมความปรารถนาหรือใจร้อนพอปฏิบัตินิดนึงก็อยากเห็นผลขึ้นมาแล้ว
ความใจร้อนเหล่านี้เป็นกิเลสกิเลสจึงอุดหนุนให้เราถอยดีกว่า
ออกมาจากห้องเสียก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่
ฉะนั้น
การมาปฏิบัติจึงต้องมีศรัทธาเป็นตัวนำเหมือนหัวรถจักรที่จะนำให้ท่านทั้งหลายมาพากเพียร
ทำความเข้าใจชีวิตคือมาดูชีวิตตัวเองดูทุกข์ที่เกิดขึ้นทั้งวี่ทั้งวันเมื่อปรากฏขึ้นที่รูปก็ดูที่รูป
เมื่อปรากฏขึ้นที่นามก็ดูที่นามอาการใดปรากฏขึ้นหรือมีอยู่นี้ก็ให้ดูไป
เพราะในรูปนั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงในรูปนั้นก็ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
ในรูปนั่ง เดิน ยืน นอนนั้นก็บังคับบัญชาไม่ได้แม้กระทั่งนามก็เป็นเช่นนี้
แต่หลายครั้งทีได้ยินว่าไม่ได้ปัจจุบัน จับปัจจุบันไม่ได้ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ก็เพราะว่าท่านดูทุกข์น้อยไปหน่อยเพราะปล่อยให้ทุกข์ผ่านไปหมด
ทุกอย่างที่เข้ามาแล้วก็ผ่านไปเปรียบเสมือนเรารับเงินเดือนที่เอามาพักชั่วคราว
แล้วก็ต้องจ่ายออกไป เช่นไปซื้อของฉะนั้นหน้าที่ของเราคือดูทุกข์
ถ้าเผื่อมีทุกข์มาแล้วเราดู ทุกข์มาเราดูอะไรมาเราดูๆๆๆๆ
งานการเรามากเราก็จะไม่เสียปัจจุบันแต่ถ้าหากเราดูทุกข์น้อยไปเราก็เสียแล้ว
คือเสียปัจจุบันไปพอเสียปัจจุบันไปก็เท่ากับทุกข์นั้นผ่านไปหมด
แล้วอย่างนี้เราจะรู้ทุกข์ได้อย่างไร
ทุกข์มีกิจให้รู้แต่เราเสียเวลาไปโดยที่ไม่ได้ดูเราจึงไม่ได้ปัจจุบันนั่นเองทุกอย่างเกิดขึ้นที่ปัจจุบัน ทุกข์เกิดขึ้นที่ปัจจุบันญาณปัญญาก็เกิดขึ้นที่ปัจจุบัน ฉะนั้นความสำคัญในแง่มุมเหล่านี้ท่านทั้งหลายจึงต้องเข้าใจ แล้วก็ต้องพยายามปรับ
คือสังเกตให้มากกว่าเดิมไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใด ก็ต้องคอยสังเกต
แล้วก็รู้เสมอว่ามีอะไรเกิดขึ้นจะเปลี่ยนอิริยาบถก็ต้องรู้ว่าจะเปลี่ยนทำไม
งานการชีวิตของผู้ปฏิบัติก็คือมีหน้าที่คอยสังเกต ตัวโยคาวจรก็คือสติมา สัมปชาโณ และอาตาปีเกิดขึ้นมาทำงานอยู่ตลอดเวลาเมื่อเครื่องจักรได้ทำงานโดยฟันเฟืองไม่ปีนเกลียวกันแล้ว
เดินเครื่องได้คล่องแล้วทุกอย่างก็จะลื่นไหลไปโดยอัตโนมัติ
ในการปฏิบัติ ถ้าหากมีเข้าใจ และวางใจคือมีโยนิโสมนสิการอย่างถูกต้องได้มากและทำได้ดีแล้วนั้น ในคัมภีร์มหาปัฏฐานบอกว่าขอแค่เจ็ดวันนามรูปปริจเฉทญาณเกิดขึ้นแน่ๆแต่ที่ยังไม่มีปรากฏการณ์เช่นนี้ก็เพราะว่าเรามนสิการไม่ถูกนั่นเองเหมือนหัวรถจักรที่วางบนรางถูกต้องแล้ว ยังไงก็ต้องถึงแน่นอนแต่เพราะเราวางผิดเราจึงไปไม่ถึงที่
เรื่องของการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานนี้ ก่อนเข้า จึงต้องมีการอบรมกันมากมายแต่เมื่อเข้ามาปฏิบัติแล้ว ศาลาธรรมสภาตรงนี้จึงไม่ควรเป็นที่บรรยายหรืออภิปรายแต่ควรเป็นที่ที่มาแนะนำหรือมาแก้ไขอารมณ์กันเพราะที่ท่านกำลังทำอยู่ขณะนี้คือวิปัสสนาธุระ ไม่ใช่คันถธุระแต่ที่ต้องใช้เวลาของท่านมาคุยกันตรงนี้ก็เพราะ การเข้าหลายๆวันนั้นไม่แน่ว่าจะดีเสมอไป แล้วไม่ใช่ว่าเข้านานๆ แล้วจะไม่ดีอยู่ที่ว่ามนสิการดีหรือเปล่า ถ้าหากมนสิการดีแล้ว เข้าวันเดียวก็ดี หลายวันยิ่งดีแต่ถ้ามนสิการไม่ดี หลายวันก็ไม่ดี ฉะนั้น มีอะไรจะพูดคุยก็เชิญเลยนะคะจะได้ให้ท่านได้มีโอกาสซักถามกันบ้างค่ะ เชิญค่ะ.
ถามเวลากำหนดนามได้ยินแล้วทำไมไม่ไปถึงทุกข์อย่างที่ให้กำหนด
คือพอได้ยิน ก็กำหนดนามได้ยินแต่ยังไม่เลยไปถึงว่านามนี้แหละเป็นทุกข์
ตอบเป็นคำถามที่ดีนะคะเพราะท่านถามแล้วจะได้เข้าใจคำว่าทุกข์ถูกต้องมากขึ้นความจริงสภาพธรรมนั้นเป็นทุกข์อยู่แล้ว
แต่ท่านขาดความเข้าใจไปนิดนึง คือ....ในเรื่องของนามได้ยิน
เราเรียนรู้ว่าเสียงเป็นรูป การได้ยินเป็นนามหน้าที่ของผู้เข้าปฏิบัติต้องตรงต่อความเป็นจริง
คือ ไม่ใช่เราเป็นผู้ได้ยินเพราะการได้ยินนั้นมีเหตุใหญ่ๆ
๔ ประการ หากนับเป็นปัจจัยก็ได้มากมายถึง ๗๓ ปัจจัย
เหตุใหญ่ๆ ๔ ประการคือ ๑.
ต้องมีประสาทหูดี ๒. มีช่องว่างระหว่างหู ๓.มีคลื่นเสียงมากระทบ ๔.
มีมนสิการ จึงมีผลคือเกิดการได้ยิน จึงไม่ใช่คนไม่ใช่สัตว์แต่เป็นเหตุทำให้เกิดการได้ยินแล้วการได้ยินนั้นก็ได้ยินความสั่นสะเทือนของอากาศที่สะท้อนเข้ามาเพราะคลื่นเสียงที่กว่าจะมาถึงท่านนั้นต้องเดินทางโดยอาศัยอากาศมีการเกิดดับเกิดดับ
รวดเร็วมากและโสตวิญญาณที่อาศัยโสตปสาท ก็มีการเกิดดับ เกิดดับอยู่เช่นกันโดยสภาพธรรม
ซึ่งการเกิดดับของธรรมะทั้งหลายนี่ละคะเรียกว่าทุกขังแต่เราท่านยังเข้าไปไม่ถึงตรงนั้นจึงยังไม่ได้ไปสัมผัสถึงความทุกข์คือการเกิดดับของรูปและนามนั่นเองไงคะทั้งที่ความจริงทุกข์มีอยู่แล้วตลอดเวลา.
ท่านไม่ต้องไปกลัวว่า
ท่านไม่เห็นทุกข์เพราะตอนนี้เราเพิ่งเริ่มต้นและท่านก็ทำถูกแล้วครั้งแรกๆนี้เรากำหนดเพื่อป้องกันความวิปลาสเสียก่อนว่าเราเป็นผู้ได้ยินด้วยการกำหนดว่านามได้ยินแท้ที่จริงเราไม่มีจิตเป็นนามจึงต้องกำหนดนามได้ยิน
การกำหนดนามได้ยินนั้น
เราต้องรู้อย่างนี้ว่าผู้ได้ยินคือจิตและจิตเป็นนามไม่ใช่เราเป็นผู้ได้ยินแต่ถ้ากำหนดเพราะเขาบอกมาว่า
ได้ยินต้องกำหนดนาม อย่างนี้ไม่ถูกเพราะเป็นการจำจดหรือฟังตามกันมาที่สำคัญคือเราต้องมีเหตุผลว่าทำไมเราต้องกำหนดนามได้ยินเพราะสภาพธรรมจริงๆไม่ใช่เราได้ยินแต่เป็นจิตได้ยิน
และจิตเป็นนาม นี่คือขั้นหนึ่งนะคะ
และในการได้ยินนั้น
คลื่นเสียงต่างๆก็สั่นยาวไม่เท่ากันและคลื่นเสียงเองก็มีการเกิดดับอยู่แล้วซึ่งเราบังคับบัญชาไม่ได้และมีความรวดเร็วมากเพราะฉะนั้นความไวของคลื่นเสียงและความไวของจิตที่เกิดดับรวดเร็วมากแต่ผู้ปฏิบัติยังไม่สามารถรู้ได้นั้นก็เพราะสติปัญญาของเรายังด้อยพัฒนา
แต่ถามว่า
กำหนดอย่างนั้นเป็นความผิดไหมขอตอบว่าไม่ผิด
เพราะท่านได้สกัดกั้นความเห็นผิดตรงนั้นว่าเป็นเราออกไปแล้ว
แต่ความปรากฏของธรรมะนั้นมีความต่อเนื่องคือมีความต่อเนื่องของสันตติคือความสืบต่อ
สันตติปิดบังอนิจจังฉะนั้นท่านก็ต้องคอยสังเกต
มีมนสิการอยู่ในใจว่า คำหนึ่ง ประโยคหนึ่งใช่เรื่องเดียวกันไหม
อย่าให้ใจไปกระวนกระวาย แต่ให้ทำใจเหมือนดูละครอย่าไปเล่นละครด้วย
คืออย่าเอาความปรารถนาเข้าไปเพราะจะปิดบังความจริงทันที
ความที่ปัญญายังไม่กล้าแข็ง
ที่จะเข้าไปรู้ทุกขังตรงนั้นจึงได้แค่ได้ยินเพราะกว่าจะเห็นทุกข์ตรงนั้นรู้สภาพธรรนั้น
ท่านจะต้องได้นามรูปปริจเฉทญาณปัจจยปริคหญาณ
จนมาถึงสัมมสนญาณ
นามรูปปริจเฉทญาณคือ
ญาณที่เกิดขึ้นที่รู้รูป นามว่าเป็นคนละอย่างกันปัจจยปริคหญาณคือ
ญาณปัญญาที่รู้ว่ารูปนามนั้นเป็นคนละอย่างกันก็จริง แต่เป็นปัจจัยแก่กันและกัน
และสัมมสนญาณคือญาณปัญญาที่รู้ว่าทั้งรูปและนามที่เป็นปัจจัยให้กันและกันทำงานสัมพันธ์กันอยู่นั้นต่างก็มีดับมีเกิด
มีการเกิดดับอยู่เสมอ
ฉะนั้น ตรงสัมมสนญาณนี้ ก็จะเปิดเผยให้ผู้ปฏิบัติเห็นเองรู้เองว่าเห็นพระไตรลักษณ์ แต่ยังเป็นชนิดอ่อน จนกระทั่งปฏิบัติไปถึงอุทยัพพยญาณญาณปัญญาที่เห็นการเกิดดับมากขึ้นๆ แก่กล้าขึ้น หน้าที่ของท่านในขณะนี้ท่านทำถูกต้องแล้วค่ะ คือกำหนดเช่นนั้น แล้วกำหนดไป คอยดูไป ความแก่กล้าของ สติมาสัมปชาโณ อาตาปี จะพาชีวิตของผู้ปฏิบัติให้มีความกล้าแข็งจนกระทั่งญาณปัญญาเปิดเผยขึ้นมาได้ จึงอย่ากังวลว่าจะไม่ไปถึงทุกข์สิ่งที่ควรกลัวก็คือ อย่าหมดศรัทธา อย่าขาดความเพียรแล้วสักวันหนึ่งเมื่อความเพียรมีกำลังมากเหตุปัจจัยพร้อมผลก็จะพรั่งพรูเอง
ถามจากคำถามที่พระคุณเจ้าท่านถามเรื่องทุกข์ที่ยังไม่ปรากฏนี้
ที่เคยเรียนมาว่าบุคคลบางคนปรากฏทุกข์ชัดเนื่องจากในอดีตมีการฝึกสมาธิมาบางคนปรากฏอนิจจังชัดเนื่องจากมีศีลมามาก
บางคนอนัตตาชัดเนื่องจากอบรมปัญญามามากขอถามว่าถ้าเกิดคนหนึ่งไม่ได้เห็นทุกข์ชัดแต่ไปเห็นอนัตตานี่ขอให้อาจารย์ช่วยอธิบายว่าต่างกันอย่างไร?
ตอบตอบ การเห็นอนิจจัง
เห็นทุกข์ขังเห็นอนัตตาตรงนี้ต้องตอบว่าเป็นภาคปริยัติ ซึ่งไม่จำเป็นเท่าใด
เพราะการที่รู้ทุกข์คือ ทุกขสัจจะปรากฏแก่ผู้รู้นั้นจะเป็นอนิจจัง
ทุกขัง หรืออนัตตาก็ได้
เพราะทั้งสามอย่างนั้นท่านอยู่บ้านเดียวกันคือในรูปรูปหนึ่งก็มีทั้งอนิจจัง
ทุกขัง อนัตตา ในนามนามหนึ่งก็มีทั้งอนิจจังทุกขัง อนัตตา
แต่ความเด่นชัดขององค์ใดจะปรากฏขึ้นมาก่อนเท่านั้นแต่ถามว่าเมื่อปรากฏอนิจจังปรากฏชัด
ทุกขังและอนัตตามีอยู่ด้วยไหม? มีอยู่
เมื่อถามตรงนี้แล้ว ก็จะขออธิบายคำว่าอธิบดีอารมณ์สักนิดหนึ่งอธิบดีอารมณ์ต่างกับคำว่าอินทรีย์อย่างไร ในเมื่ออธิบดีก็แปลว่าความเป็นใหญ่อินทรีย์ก็แปลว่าความเป็นใหญ่ แต่เป็นใหญ่คนละอย่าง อธิบดีอารมณ์มีฉันทาธิปติวิริยาธิปติ จิตตาธิปติ วิมังสาธิปติซึ่งถ้าศึกษาแล้วก็จะรู้ว่าไม่เหมือนกันกับอินทรีย์ เพราะอินทรีย์ เช่น จักขุนทรีย์โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ เป็นต้นเหล่านี้ เป็นความเป็นใหญ่เฉพาะที่และมาเพียงลำพังถ้าจักขุนทรีย์ขึ้นมาทำงานเป็นใหญ่ โสตินทรีย์ก็จะขึ้นมาทำงานไม่ได้แต่อธิบดีนั้นเป็นเใหญ่เพียงหนึ่งแต่เกิดพร้อมกันทั้งสี่ได้ในลักษณะของสหชาตเป็นสหชาตธิปติ
เช่น ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยคือมีประชาชนเป็นใหญ่
แล้วประชาชนจะเป็นใหญ่ได้ทั้ง ๖๐ ล้านคนได้ไหม ก็ไม่ได้จึงต้องเลือกผู้แทนขึ้นมาก็มีนายกรัฐมนตรี
ขึ้นมาเป็นใหญ่คนเดียวแต่ประชาชนก็ยังคงอยู่ในประเทศ
และคล้อยตามการทำงานของบุคคลที่เราเลือกไป
ฉะนั้น
เมื่อฉันทาธิปติเกิดขึ้น วิริยาธิปติจิตตาธิปติ
และวิมังสาธิปติก็จะคล้อยตามเช่นเดียวกันในอนิจจัง ทุกขังอนัตตา
ท่านก็มาพร้อมกันดุจเดียวกับเรื่องอธิบดี ฉะนั้นเมื่ออนิจจังทำหน้าที่เด่นชัดกว่า
ทุกขัง และอนัตตาต้องมีอยู่ตรงนั้นด้วยแต่ความสำคัญอยู่ตรงที่เมื่อใดเล่าที่เราจะไปประจักษ์เสียทีหนึ่ง
จะเป็นอนิจจังหรืออนัตตาก็ได้เมื่อใดล่ะที่การกำหนดของท่านไม่ว่าจะเป็นนามได้ยิน
หรือรูปนั่งแล้วมีปรากฏการณ์ที่จะพาให้ชีวิตของท่านแล่นออกไปนอกวัฏฏะจะเกิดขึ้นตรงนั้นสำคัญกว่านะคะ
ขอยกอุปมาว่ามีท่อนไม้ไผ่อยู่สองท่อน
ที่ใช้เป็นไม้ถูกไฟ การเสียดสีทำให้เกิดความร้อนทำให้เกิดไฟได้
ตอนนี้เราถือไว้เฉยๆ ก็ยังไม่มีไฟ แต่เราจะบอกว่าไม่มีไฟได้ไหมก็ไม่ได้แต่ถามว่ามีไฟหรือยังก็ยังไม่มีปฏิเสธก็ไม่ได้ยอมรับก็ไม่ได้
เมื่อเราลงมีเอาไม้ถูกันเข้าแต่ที่ยังไม่มีไฟก็เพราะความร้อนจากการเสียดสียังไม่พอ
ไฟจึงยังไม่เกิดขึ้นถ้าเราเลิกเสียก่อนเพราะหมดความเพียรก็ไม่มีทางจะมีไฟแต่ถ้าเรามีความเพียรสีต่อไปไฟก็จะเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นอยู่จึงที่ความเพียรเป็นสำคัญ
และอีกอย่างหนึ่งเราปรารถนาให้มีไฟหรือปรารถนาเห็นอนิจจัง
เห็นทุกขัง เห็นอนัตตาก่อนไม่ได้เพราะว่าทุกข์หรือสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความปรารถนาแต่เกิดขึ้นเพราะความเพียร
และต้องเพียรให้ถูกไฟปัญญาก็จะเกิดขึ้นแน่
ถามกำหนดนามได้ยินแล้ว
จิตก็แค่ได้ยินแต่ทุกขังไม่ปรากฏที่ใจ
แล้วมีผู้บอกว่าอย่าไปสนใจเพราะทุกข์นั้นดับอยู่แล้วอย่างนี้ถูกต้องไหมครับ
ตอบผู้ปฏิบัติต้องรู้ทุกข์
จึงไม่ใส่ใจไม่ได้เหมือนกับไฟที่เรามีหน้าที่สีแล้วมาบอกว่าอย่าไปใส่ใจกับไฟว่าจะเกิดหรือไม่เกิดพูดอย่างนั้นไม่ได้ไฟจะต้องมีและเราต้องเห็นไฟ
มิฉะนั้นแล้วเราจะทำไปทำไม คืออย่าไปใส่ใจว่าตนเองไม่เห็น
หรือต้องการเห็นแต่เราต้องรู้ในใจว่าตรงนั้นมีความทุกข์แต่ทุกข์ยังไม่ปรากฏชัดกับเราเท่านั้นเอง
ทำไมละ ? เพราะความเพียรเพราะเหตุปัจจัยที่จะทำให้ปรากฏการณ์ของญาณปัญญายังไม่พร้อมใช่ไหมคะจึงยังไม่เห็นทุกข์
ยกตัวอย่างเช่น
การไม่เห็นความเกิดดับตรงนั้นเพราะว่า ปัจจัย
คือปัจจยปริคคหญาณยังไม่ปรากฏและปัจจยปริคคหญาณยังไม่ปรากฏก็เพราะนามรูปปริจเฉทญาณยังไม่มากเลยจะข้ามขั้นจึงเป็นไปไม่ได้
เพราะญาณปัญญาต้องผ่านแบบนี้เพราะฉะนั้นจะปล่อยไปว่าไม่ต้องไปสนใจจึงไม่ได้
มนสิการให้ถูกจึงเป็นสิ่งสำคัญและพยายามรักษาศรัทธาไว้ว่าหนทางอันประเสริฐนี้เอง
ที่จะพาเราข้ามโอฆะสงสารเพราะเมื่อญาณปัญญาเกิดแล้ว
ความจริงก็จะถูกประจักษ์ขึ้นมาเรื่อยๆตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณเป็นต้นมาและเมื่อเกิดความเบื่อหน่ายในรูปนามแล้วชีวิตก็จะมีจุดมุ่งหมายมากขึ้น
เริ่มจะมีจุดหมายปลายทางและเมื่อมรรคญาณเกิดขึ้นครั้งแรก
จุดจบของทางชีวิตก็เริ่มจะมีขอบเขตแล้ว
แต่ถ้าเรายังไปไม่ถึงตรงนั้นชีวิตของเราก็ยังตกอยู่ในความน่ากลัวในขณะที่โลกกำลังร้อนระอุอย่างที่หลายท่านทราบว่าผู้พูดเป็นคนที่ผ่านการผ่าตัดมามาก
และแพ้ความร้อนก่อนที่จะมาพูดตรงนี้ก็มีผู้เชื้อเชิญให้ไปจัดเก้าอี้นั่งกันในห้องแอร์แต่ก็บอกว่าไม่เป็นไรเพราะในขณะที่พูดนั้นก็คงไม่ได้สนใจอะไรและเชื่อว่ากุศลต้องคุ้มครองผู้ทำกุศล
ซึ่งมาถึงเวลานี้ก็ยังไม่รู้สึกว่าร้อนซึ่งถ้าท่านร้อน
ท่านก็มีหน้าที่กำหนดกันไป แต่ถ้าหากจิตมีงานทำไม่ซัดส่ายไปรับอารมณ์ต่างๆที่เป็นวิบาก
แต่ถ้าเราเข้าไปเล่นกับวิบากนั้นมันก็เพิ่มอำนาจมากขึ้น
ฉะนั้นจึงบอกว่าให้ทำใจเหมือนดูละครเพราะเรามีหน้าที่ดูเท่านั้น
ถามเจริญพรโยม อยากถามว่ารูปนามจะเปลี่ยนต้องทำอย่างไรก่อนถึงจะเรียกว่าถูก
ตอบการปฏิบัติของอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
ชีวิตจริงเป็นอย่างไรไม่ว่าจะนั่ง ผู้ปฏิบัติก็นั่ง
และถ้านั่งนานๆ ก็เมื่อเหมือนกันแต่ที่ไม่เหมือนกันคือ
ตรงสภาวะจิตที่รู้ว่าไม่มีคนมาเมื่อยแต่คนที่ไม่ปฏิบัติก็จะเป็น
"เขาเมื่อย" พอเขาเมื่อยปุ๊บ เขาก็อยากจะเปลี่ยนแต่ถ้าผู้ปฏิบัติเวลาเกิดปวดเมื่อย
หรือปวดตรงหลัง ปวดตรงขา ก็จะไม่มีคนไม่มีใครมาเป็นผู้ปวด
มีแต่นามปวด นามรู้สึก นามทุกข์ จึงต้องมนสิการไปว่าตรงนั้นผู้รู้คือนาม
แล้วก็จะเปลี่ยนอิริยาบถได้ไหมตอบว่าได้แต่ก่อนเปลี่ยนจะต้องรู้ความจำเป็นว่าเพราะทุกข์นะ
จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนคือต้องมีเหตุผลเสนอให้ปัญญาทุกครั้งไปนะคะ
เมื่ออาการไปตั้งใหม่แล้วท่านก็คอยสังเกตต่อไป
ทำความรู้สึกตัวที่รูปใหม่ (อาการ) เพราะอิริยาบถปิดบังทุกขัง
คือปิดทุกข์เก่าแล้วก็ปิดทุกข์ใหม่เพราะพอเปลี่ยนท่านั่งมาท่านั่งใหม่ก็จะเริ่มทุกข์แล้วอะไรเกิดขึ้นปุ๊บก็จะเริ่มทุกข์แล้ว
แต่มันยังไม่สุกงอมเท่านั้นเองทุกข์ใหม่จึงเห็นยากไงคะ
จึงต้องคอยสังเกตุให้ดีคือมนสิการให้ดีนั่นเองค่ะ
ฉะนั้น การนั่งนี้พอเรากำหนดแล้ว
ทำความรู้สึกตัวในรูปนั่งนั้นแล้วคอยดู คือใจนี้ดู
หรือจะใช้คำว่า กำหนด สังเกต ต่างๆก็ได้คอยสังเกตดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นมีอะไรปรากฏขึ้นบ้างในรูปนั้นทุกข์ก็จะค่อยๆเพิ่มปริมาณเหมือนปรอทที่คนเป็นไข้อมเอาไว้ในปากคือเราเป็นโรค ทุกข์กันทุกคน ฉะนั้นใหม่ๆพออมปรอทปรอทก็จะค่อยๆสะสมความร้อนแล้วก็มีอุณหภูมิสูงขึ้นแม้จะเป็นไข้สูงอมปรอทแล้วปรอทก็จะค่อยๆวิ่ง
ไม่ใช่พออมปุ๊บก็วิ่งปรู๊ดไปอย่างเร็วแต่ต้องค่อยๆขึ้นแต่ภาพลวงตาที่เรามองเห็นว่าพุ่งปรู๊ดไปเกิดสามสิบเจ็ดองศาแล้วแต่แท้จริงแล้วปรอทมันค่อยๆขึ้นผ่านทีละองศาไป
ฉะนั้น
ทุกข์เหมือนกัน ที่จะค่อยๆ ขึ้นจนตั้งอยู่ปรากฏขึ้นแก่จิตอยู่คือความทุกข์
เราก็ดูอีกว่าทุกข์อีกแล้ว ใครทุกข์? นามทุกข์แล้วเราต้องทนต่อไปไหมเมื่อทุกข์ปรากฏขึ้นมาแล้ว
ไม่ต้องทนเพราะทุกข์นั้นเป็นตัวบีบคั้น
เราไม่ได้อยากเปลี่ยน อย่าอยากเปลี่ยนเราต้องกันโง่และกันตัณหาออก
กันความเห็นผิดที่เห็นว่าเป็นเราเป็นคนเป็นสัตว์กับกันอยากคือตัณหา
นี่เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติต้องรู้ว่าทำอะไรกัน
เหมือนคอยเฝ้าดูผู้ร้ายต่างๆที่จะเข้าจู่โจมชีวิตเรานั่นเองคือดูให้เห็นนะคะ
โยนิโสมนสิการคือ การวางใจได้ถูกต้องแยบคายคือดูว่าเป็นรูปหรือเป็นนาม เหมือนกับเราจะอ่านชีวิต
ว่าชีวิตเป็นอย่างไรชีวิตมีตัวหนังสือสองตัวคือรูปกับนามเท่านั้นเอง
เป็นตัวให้เราศึกษาเพราะเราจะเห็นทุกข์ปรากฏขึ้นที่อื่นไม่ได้
ทุกข์ต้องปรากฏที่รูปและนามเท่านั้นแม้กระทั่งฟุ้ง
เวลาถ้าฟุ้งเกิดขึ้นก็อย่าไปกลัวฟุ้ง หรือไปคิดว่าฟุ้งไม่ดีเพราะมีสิ่งให้เราศึกษา
และมีปรากฏการณ์ธรรมชาติคือไตรลักษณ์เกิดขึ้นในฟุ้งได้นะคะ
อาจารย์บุษกร :ขอประทานโทษนะคะ ก่อนที่ท่านจะเข้ามาที่นี่ท่านมีพื้นฐานทางด้านการปฏิบัติมาด้านไหนบ้างคะ
พระภิกษุ :เคยปฏิบัติสมาธิมา ก่อนยังกำหนดไม่ค่อยถูก
อาจารย์บุษกร :ท่านต้องเข้าใจสักนิดนะคะว่า สมาธิต่างกับวิปัสสนาถ้าคุณพ่อคือพระอาจารย์บุญมี
เมธางกูรยังอยู่ท่านก็จะบอกว่าสมาธิต่างกับวิปัสสนาราวฟ้ากับดิน
เพราะสมาธินั้นเราทำเพราะต้องการความสงบและในช่วงหลังมานี้คนไปฝึกสมาธิกันมากมายก็เพื่อให้มีความจำดี
จะเห็นว่ามีความต้องการเข้าร่วมอยู่ตลอดเวลา
เพราะฉะนั้น ความต้องการคืออะไรคะ? ความต้องการคือตัณหา
และตัณหาคือเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ เพราะถ้าเกิดไม่สงบขึ้นมาผู้ต้องการนั่นแหละจะทุกข์มาก และทุกข์นี้ก็รวมถึงการเกิด คือ ชาติ
ปิ ทุกขาเพราะผลจากการทำสมาธิทำให้เกิดชาติ
สมาธิคือการกำหนดจิตใจอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเพียงอารมณ์เดียวเพื่อให้จิตนั้นสงบ สงบเป็นขณะๆ เรียกว่า ขณิกสมาธิ
สงบได้มากขึ้นเป็นอุปจารสมาธิและสงบอย่างแนบแน่นเรียกว่าอัปปนาสมาธิ
แต่เมื่อเลิกการกระทำสมาธิธรรมชาติของจิตที่มีลักษณะผนฺทนํ จปลํ ทุรกฺขํ ทุนฺนิวารยํคือ ดิ้นรนกวัดแกว่ง
รักษายาก และห้ามได้ยากนั้นก็จะรับอารมณ์อื่นๆต่อไปซึ่งเป็นการแก้ไขทุกข์ให้พ้นไปได้ชั่วคราวค่ะ
ส่วนวิปัสสนากรรมฐานไม่ใช่ให้ไปแก้ไขทุกข์แต่ให้ไปรู้ทุกข์ เพื่อจะได้เห็นทุกข์ประจักษ์ทุกข์
สภาพธรรมของชีวิตนั้นเมื่อเห็นทุกข์มากๆ ก็จะต้องการหนีออกจากทุกข์ด้วยกันทั้งนั้นใช่ไหมค่ะขอประทานโทษที่จะยกตัวอย่างเมื่อคราวที่แล้วที่ท่านเจ้าคุณเมธีวรญาณมาบรรยายธรรมท่านพระคุณเจ้าได้นั่งอยู่ริมหน้าต่างแล้วก็ขยับเก้าอี้หลายครั้งเพื่อให้พ้นไปจากแสงแดดที่ร้อน ซึ่งทำให้เป็นทุกข์
ฉะนั้นธรรมชาติของจิตนั้นคือดิ้นรนที่จะหนีทุกข์อยู่แล้วแต่เพราะไม่รู้จักทุกข์จึงไม่หนีทุกข์
เพราะสุขวิปลาสนั้นเข้าไปทำให้รู้สึกสบายแต่มันไม่สบายจริงเพราะเป็นแค่การบำบัด
ในขณะที่เราอยู่ในอากาศร้อนเราก็คิดว่าอากาศเย็นช่วยให้เราได้สบายแต่พออากาศเย็นจริงๆแล้วไปซื้อเสื้อกันหนาวใส่กันทำไมเพราะเราทนเท่าที่ทนได้เท่านั้นซึ่งมันยังไม่สุกงอมจนกระทั่งทนไม่ได้
ฉะนั้น วิปัสสนาไม่ใช่ให้มาหาความสงบแต่มาดูทุกข์เพื่อให้จิตนั้นรู้ทุกข์
การเข้ารู้มากๆทุกข์ปรากฏขึ้นเท่าใดรู้เท่านั้น จิตก็จะละคลายจากความกำหนัด
คือความยินดีเพราะทุกวันนี้เรายินดี เรามีสภาพความยินดีในชีวิตอยู่ตลอดเวลาแต่พอมาปฏิบัติวิปัสสนาได้พบกับปรากฏการณ์ตามธรรมชาติและผู้ดูก็เห็นธรรมชาตินั้นว่าเป็นทุกข์ความกำหนัดก็คลายแล้วก็เห็นว่าชีวิตไม่ได้เป็นของดี
นั่งก็ทุกข์พอกำหนดไปทุกขเวทนาเกิดขึ้น
ทุกข์จากการแก้ไขทุกข์ก็ตามมาคือสภาวทุกข์ความเปลี่ยนแปลงของรูปที่มีก็คือทุกขลักษณะ
และรูปนามนั่นแหละคือทุกขสัจจะก็จะเห็นว่ามีทุกข์ซ้อนทุกข์ซ้อนทุกข์อยู่เสมอ
ผู้ปฏิบัติจึงมีกิจอย่างเดียว
คือกิจรู้คือการกำหนดรู้ทุกข์เมื่อเรารู้ว่าเป็นทุกข์มากเท่าไร
ตัณหาก็จะละไปมากเท่านั้น ไม่ใช่ดูเฉยๆนะคะต้องมนสิการ คือทำความเข้าใจให้ถูกตรงกับความเป็นจริงในเหตุผลนั้นๆให้ถูกต้องและให้มีนามรูปติดตามไปทุกขณะ
เห็นทุกข์จนกระทั่งไม่มสุขมากเท่าไรทุกข์ก็จะเผารนตัณหาให้หมดไปมากเท่านั้น
และตัณหาหมดไป หรือดับไปเมื่อไหร่ก็จะถึงนิโรธเมื่อนั้น
เมื่อถึงนิโรธเมื่อไหร่ มรรคก็จะสมบรูณ์เมื่อนั้นค่ะท่านนี่คือกิจของอริยสัจ
ซึ่งเป็นไปตามลำดับขั้นตอน
ฉะนั้นวิปัสสนากรรมฐานจึงเป็นทางสายเอกหรือที่เรียกว่ามหาสติปัฏฐานนี้แหละคือทางสายเอกเป็นทางสายเดียว
ต้องเดินเพียงผู้เดียว และไปที่เดียวคือพระนิพพาน
แต่สมาธินั้นนำให้ไปเกิดเป็นพรหม
นับตั้งแต่ปฐมฌาน ทุติยฌานตติยฌาน จตุตถฌาน
ซึ่งในแต่ละชั้นก็ยังมีการแบ่งเป็นพรหมออกไปอีกหลายภูมินี่ก็จะเห็นว่าผลของสมาธิทำให้ไปหลายที่แต่วิปัสสนาไปที่เดียวเท่านั้นคือไปนิพพานค่ะท่าน.
อาจารย์บุษกร :คุณแม่ชีแสวงปฏิบัติเป็นอย่างไรบ้างคะ
แม่ชีแสวง :ก็มีแต่ทุกข์อย่างเดียวเห็นแต่ทุกข์อย่างเดียวเลย
ความรู้สึกนี้เปลี่ยนไปก็เป็นทุกข์อีกแล้วความรู้สึกใหม่ก็เป็นทุกข์อีกแล้ว
อาจารย์บุษกร :อย่างนี้ถ้าหากเป็นผลของการปฏิบัติก็เรียกว่า
ได้ดีแต่ที่บอกว่าเปลี่ยนไปแล้วก็เป็นทุกข์อีกทุกข์อยู่ตลอดเวลา
แล้วอะไรทุกข์คะเพราะทุกข์มีได้ทั้งที่รูปและที่นาม อยากถามคุณแม่ชีต่อนะคะ
แม่ชีแสวง :เวลาเกิดความรู้สึกออกไปก็เป็นทุกข์ที่ออกไปรู้รูปพอหมดไปก็กลับเป็นทุกข์อีกที่กลับเข้ามารู้ใหม่
รู้ก็เป็นทุกข์อีก
อาจารย์บุษกร :แล้วรู้สึกอย่างไรบ้างคะกับรู้สึกที่ปรากฏขึ้นนั้น
แม่ชีแสวง :ความรู้สึกที่เป็นทุกข์หรือคะ
จะตอบอย่างไรดีตอบไม่ถูก
อาจารย์บุษกร :ตอบความจริงที่รู้สึกสิคะ
แม่ชีแสวง
: ก็มีแต่ทุกข์
จะตอบอย่างไรดี ก็ยังมีศรัทธาอยู่รู้ว่าทุกข์ก็ทุกข์ไป
อาจารย์บุษกร :ค่ะดีมากเลยค่ะ
แต่ถ้าจะดีมากกว่านี้ก็ตรงที่ว่าต้องคอยสังเกตอีกว่า
ทุกข์ที่บอกว่ามันทุกข์อยู่นี่ ทุกข์ที่ไหน ที่รูปหรือที่นามเพราะรูปกับนามไม่ใช่อย่างเดียวกัน
จึงต้องรู้ชัดลงไปด้วยนะคะ ว่าที่ใด
แม่ชีแสวง :ค่ะถ้าทุกข์ที่นามก็นามทุกข์ที่นามเป็นทุกข์เพราะว่าไปรู้รูปทุกข์นี่นามอาศัยรูปกับนามทุกข์เพราะอาศัยรูปที่เป็นทุกข์นั้น
อาจารย์บุษกร :จากการเห็นทุกข์อย่างที่บอกนี่
แล้วรู้สึกอย่างไรบ้างกับทุกข์นั้นคะเหมือนกับคนเราเห็นศัตรูอยู่ตลอดเวลาถามว่าเราจะรู้สึกเฉยๆไหมกับศัตรูที่อยู่ต่อหน้าต่อตาตลอดเวลานี่ปรากฏการณ์ทางจิตที่เป็นผู้รู้นี้จึงต้องมีปฏิกิริยาตอบสนองสิ่งเร้าใช่ไหมคะ
แม่ชีระเบียบ :ใจมันเหี่ยวแห้ง
แม่ชีแสวง :ก็รู้สึกว่าใจมันเหี่ยวแห้ง
อาจารย์บุษกร :ถูกต้องนะคะกับท่านอื่นที่ตอบว่าใจเหี่ยวแห้งและถ้าท่านแม่ชีแสวงตอบอย่างนี้ก็จะเป็นคำตอบที่บอกว่าท่านปฏิบัติถูกแล้วละเพราะความรู้สึกตรงนั้นมันเหมือนกับคนที่ว่าความสดชื่นที่เคยมีอันจัดอยู่ในตัณหาที่เรียกว่ายางหรือเยื่อเมือกที่มีอยู่ในวัฏฏสงสาร
ยางนั้นมันฝ่อตัวน้ำหล่อเลี้ยงคือสุขวิปลาสนี้มันหดตัวลงจึงห่อแห้งเศร้าใจในการเห็นที่ตนเองเห็นแล้วก็รู้ไปว่าแม้จะต้องดูต่อมันจะมีความกดดันที่รู้ว่าปรากฏการณ์นี้ก็จะเกิดขึ้นอีกแล้ว
เหมือนกับเราเปิดหน้าต่างออกไปปุ๊บแล้วมีคนคอยตะโกนบอกว่า
"เธอทุกข์นะ"อยู่ตลอดเวลาคือมีสิ่งที่ไม่ดีมาปรากฏอยู่ต่อหน้าตลอดเวลานี่เราอยากเปิดหน้าต่างไหม?
เราไม่อยากเปิด
แต่เราไม่เปิดไม่ได้ แต่เวลาเปิดจะเป็นอย่างไรคะสดชื่นเปิดหรือเปล่า แต่มันห่อแห้งใจเกิดความสลด
ฉะนั้นที่แม่ชีตอบถูกต้องเลยค่ะ
เพราะถ้าเกิดทุกข์ปรากฏขึ้นมากๆนี่แล้วมีอะไรบ้างที่ต่อเนื่องจากทุกข์นั้น
ก็คือความแห้งใจ เห็นธรรมชาตินั้นไม่มีสาระเห็นอย่างนี้จึงเป็นการเห็นถูก
ไม่ใช่เห็นแต่ทุกข์ๆคือเห็นแต่ศัตรูแต่มันต้องมีความต่อเนื่องก้าวออกไปได้ก็คือปัญญาจะตามรู้ทุกข์และตัดสินให้แก่จิตนั้นเป็นผู้รู้โดยรู้สภาพของความทุกข์ที่มีเกิดขึ้นเท่านั้นอยู่อย่างต่อเนื่องตัณหาคือความต้องการ
ที่เคยต้องการได้รูปได้นาม ก็ละไปเพราะปัญญาเห็นความจริงตรงนี้นะคะตัณหาจะเกิดขึ้นมาบงการชีวิตไม่ได้ถูกละไปๆด้วยปัญญานั่นเองค่ะ.
อาจารย์เกื้อกูล :ขอเรียนถามท่านประธานนะคะเกี่ยวกับเรื่องทุกข์ที่ท่านได้อธิบายมาแล้วก็เข้าใจดีแต่ปรากฏว่ามีเรื่องจริงเรื่องหนึ่งมีสหายธรรมที่เขาเข้าปฏิบัติมาเป็นเวลายี่สิบปีเข้าไปปลูกบ้านอยู่คนเดียวแล้วก็เจริญสติปัฏฐานเขาก็เห็นทุกข์อย่างที่ท่านกล่าวมาแล้วแต่การเห็นทุกข์ของเขานี่มันมีผลตรงกันข้าม
ทำให้เขาเลิกกรรมฐาน ขายบ้านแล้วก็กลับมาเข้าสังคมไปเที่ยวต่างประเทศค่ะ
เขาบอกว่าการเห็นทุกข์ของเขานี่เห็นตลอดเวลา
แล้วเขาก็ทนไม่ได้จิตใจจะแตกสลายอยู่ไม่ได้ก็เลยขายบ้านแล้วกลับเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านซึ่งไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพังแล้วก็เรียนถามว่าการเห็นทุกข์ของผู้ปฏิบัติธรรมผู้นี้ซึ่งมีระยะเวลาประมาณ
๑๐ปี่นี่นะคะ เป็นการเห็นที่ถูกต้องหรือเปล่า
หรือว่ามีการมนสิการที่ไม่ถูกต้องคะ
อาจารย์บุษกร :ขอบพระคุณมากนะคะที่ตั้งคำถาม
ตรงนี้ก็ต้องขอตอบเป็นกลางๆ ในเหตุผล เพราะว่าตามหลักความเป็นจริงการที่เราเห็นภัยเห็นทุกข์
สภาพจิตทีเห็นทุกข์อยู่เรื่อยๆถามว่าใจเป็นอย่างไรบ้าง
ใจก็จะสลดหดหู่ถอยออกมี ความแห้งใจคือปัญญาที่เห็นโทษซึ่งตรงกันข้ามกับตัณหาที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้สดชื่น
ขอเปรียบสักนิดนะคะ เช่นคนที่แต่งงานกันไปพอมีลูก
ลูกก็ทำให้เกิดความกระตือรือร้นในการทำงานทำมาหากินขึ้นเพราะยินดีติดใจรักลูก
ความรักนี่ทำให้เกิดการแสวงหามากขึ้น มีกำลังมากขึ้นนี่คือตัณหา
แต่ปัญญาที่เข้าไปเห็นทุกข์นั้น ได้เห็นความจริงความต้องการความอยากได้จึงลดลงซึ่งตรงกันข้ามกับตัณหาฉะนั้นความแห้งใจเพราะไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลยสิ่งที่ปรากฏขึ้นก็อยู่ได้เท่าที่มีเหตุปัจจัยแล้วก็ดับลง
เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลาความรู้สึกอย่างนี้จะสะเทือนใจ
แม้กระทั่งอนาคตในวันข้างหน้าก็ต้องเป็นอย่างนี้ฉะนั้นญาณปัญญาก็จะเกิดขึ้นเป็นลำดับกับผู้ที่เห็นทุกข์มาตลอดนี้นี่คือความจริงของผู้ปฏิบัติที่จะต้องได้ผลตามนี้
ขอพูดจากความถูกจริงที่ไม่ใช่ความถูกใจนะคะว่าเมื่อปฏิบัติแล้วผู้ปฏิบัตินั้นจะต้องยิ่งปลีกออกจากเรื่องต่างๆนั้นออกมายิ่งปฏิบัติก็จะเห็นความเป็นจริงแบบนี้แต่บางครั้งเราก็ไม่ทราบว่าสภาพจิตของผู้ปฏิบัตินั้นเป็นอย่างไรที่เขาพูดออกมานั้นพูดออกมาจากความรู้สึกจริงหรือไม่หรือพูดออกมาโดยปริยัติเป็นปัญญาโดยปริยัติแต่ถ้าเป็นปัญญาโดยปฏิบัติแล้วก็จะปลีกออกจากสังคมแน่นอน
อันนี้คือนัยหนึ่ง
อีกนัยหนึ่งก็คือถ้าเราเอาเรื่องกรรมมาวินิจฉัย กรรมนั้นมีทั้งกรรมเบียดเบียนและตัดรอนเบียดเบียนทั้งฝ่ายดีและฝ่ายไม่ดี ฉะนั้นผู้ปฏิบัติท่านนั้นอาจจะปฏิบัติกำลังได้ดีอยู่แต่เหตุอดีตที่เคยตัดรอนผู้อื่นไว้มาเบียดเบียนแล้วก็ตัดรอนให้เกิดความเห็นผิดว่าไปแล้ว ตรงนี้เป็นภัย
เป็นกรรมตัดรอนให้ออกจากกุศลให้ไปอยู่ในอกุศลมากขึ้นก็ได้ค่ะจึงขอตอบไว้ตรงนี้เป็นสองนัย
เรื่องกรรมนี้วิจิตรจริงๆ จึงมีคำว่าทิฏฐิวิบัติไงคะขณะที่ปฏิบัติที่บอกว่าได้ดีนี่นะคะแต่กรรมที่ไม่มีหูมีตาก็อาจมาส่งผลให้เพราะเราห้ามไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเก่งเกินแรงกรรม
แรงกายเรายังพอสู้ แรงปัญญาก็จะต้องบ่มเพาะให้มากๆ
เราตั้งเป้าหมายอะไรก็ได้เราหวังได้เช่นมีมรรคผลนิพพานเป็นที่สุดนั่นคือแรงปรารถนาแต่อย่าลืมว่าแรงกรรมเราทำไว้พอหรือยังเมื่อคำนึงถึงแรงกรรมนี่เราก็จะได้ไม่ประมาทผลัดวันประกันพรุ่งเพราะแรงกรรมสามารถตัดรอนได้
ถ้าพูดถึงเรื่องบาปบุญ
บาปบุญนั้นเกิดขึ้นที่ชวนจิต ชวนะดวงที่ ๑ให้ผลในปัจจุบัน
เช่นเราทำดีตอนนี้เราก็ได้ความสบายใจสุขใจแต่มีอยู่นิดเดียวซึ่งดูเหมือนว่าไม่มีผล
ที่หลายคนบอกว่าทำดีเหมือนไม่ไดีแต่จริงๆแล้วกรรมที่ทำนั้นทำแล้วให้ผลในชาตินี้แต่ให้ผลน้อย
แต่ชวนะดวงที่ ๗ให้ผลในชาติหน้า คือให้ผลนำเกิด
แต่ชวนะดวงที่ ๒ ถึงดวงที่ ๖ ให้ผลในชาติที่ ๓จนกระทั่งนิพพาน ฉะนั้นเราตอบได้ไหมว่า
ตอนนี้ขณะนี้เราได้ผลจากชวนะดวงไหนบอกไม่ได้เลย
เพราะมันส่งผลตลอดเวลา และไม่อะลุ้มอล่วยกับใครถ้าหากเราเคยตัดรอนใครไว้มันก็จะตามมาตัดรอนเราได้ง่ายๆเลยดังที่เราเห็นมากมายจากสภาพสังคม เช่น
บวชๆอยู่นี่ก็สึกออกมากำลังได้ดีมีสุขอยู่นี่มีกรรมมาตัดรอนให้ต้องตาย
หรืออย่างคนจนที่ถูกสลากบนดิน ๑๙ล้านตามข่าวที่มีนั้น
ชีวิตก็เปลี่ยนไปเลยนะคะ
ฉะนั้นไม่มีอะไรที่เราจะยึดติดถือว่าเที่ยงได้เลยต้องอย่าลืมว่าแรงกรรมเป็นสิ่งสำคัญและท่านกำลังแรงกรรมชนิดพิเศษเสมือนหัวรถจักรที่ไม่ใช้ฟืนแต่ใช้ดีเซลแต่ถ้าเราหมดศรัทธาหรือหมดความเพียรเมื่อใดรถก็ไม่เดินเหมือนกัน
จึงต้องเพียรใส่ใจสังเกตดูรายละเอียดของชีวิต
คอยมนสิการให้ดีจะทำอะไร ไม่ว่าจะอยู่ห้องไหน
เราต้องรู้ว่าธรรมะให้อะไรแก่เราบ้างเราได้รับหรือยังถ้าหากยังก็ต้องรีบนำตัวเองไปน้อมรับสิ่งที่ธรรมะจึงจะเป็นประโยชน์มากเพราะฉะนั้นชีวิตที่สั้นๆ
เราต้องใช้เวลาสั้นให้เป็นประโยชน์ให้มาก
วันนี้คงไม่มีอะไรพูดมาก
เพราะธรรมะไม่ใช่เรื่องมากแต่บัญญัตินั้นเรื่องมากที่ทุกวันนี้เรื่องมากก็เพราะเราบัญญัติกันขึ้นมาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้แต่ธรรมะหรือสภาพธรรมนั้นก็มีอย่างนี้แหละค่ะ คือ
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปแต่เราดูยากเพราะมันสวนทางกับกิเลส
เมื่อสวนทางกับกิเลสนี่ก็เลยข้ออ้างเยอะ เช่นทำอย่างนี้ไม่ได้อะไรเลย ไปดีกว่ากลับบ้านก่อนดีกว่าแล้วค่อยมาใหม่ซึ่งพูดอย่างนี้ก็บอกได้เลยว่า
คนผู้นี้มาเพื่อต้องการจุดประสงค์นั้นมีตัณหานำมาเมื่อไม่สมความปรารถนาก็เลยกลับไป
แต่ถ้าวางใจว่ามาด้วยศรัทธา ด้วยการระลึกถึงพระพุทธคุณทั้ง ๙ประการที่ทรงพาชีวิตของผู้เข้าปฏิบัติให้สำเร็จท่านรื้อสัตว์ขนสัตว์ไปได้มากมายดังที่ปรากฏในพระสูตรและเมื่อมาศึกษาพระอภิธรรมประกอบด้วยแล้วก็จะยิ่งศรัทธามากขึ้นเพราะการวางใจที่ถูกตรงถูกต้องในการเฝ้าสังเกตสิ่งต่างๆที่ปรากฏไม่ให้คลาดสายตาเราเลยเราก็จะต้องเห็นอะไรอย่างหนึ่งอย่างแน่นอนในการปฏิบัติที่มีมนสิการถูกต้องแล้วสะสมบุญชนิดนี้ไว้การกระทำของเราที่กำลังทำอยู่นี้สักวันหนึ่งใครคนใดคนหนึ่งอาจจะนั่งอยู่ที่หน้าพระพักตร์ของพระศรีอาริยเมตไตรยก็ได้และบุญที่สะสมไว้ก็จะมีอำนาจมากขึ้นเหมือนเราเตรียมสะสมสีข้างของกล่องไม้ขีดและหัวไม้ขีดเอาไว้เมื่อได้พบกับพระพุทธองค์ พระพุทธองค์เพียงหยิบมาจุดเท่านั้นไฟก็ติด
ฉะนั้นเราต้องพยายามหาวัสดุชีวิตไว้ให้พร้อมคือปัญญาบารมีแล้วพระองค์ก็จะใช้วัสดุคือชีวิตเราให้เป็นผู้ที่มีค่า
ฉะนั้น
เวลาที่เหลืออยู่น้อยลงนี่ ทำค่าชีวิตให้มากๆแล้วความแห้งใจที่เกิดขึ้นเป็นความแห้งด้วยปัญญา
แล้วก็มีชาติภพที่น้อยลงและถึงจะมีชาติอย่างไรก็แล้วแต่
เราก็มีชีวิตที่เกิดสั้นลงดีกว่าคนที่เขามีแต่สุขใจแล้วมีชีวิตที่ยาวนานเลยเพราะนั่นคือทุกข์ทั้งนั้นเลย
การปฏิบัติวิปัสสนาก็ไม่มีอะไรนอกจากการดูทุกข์เพราะทุกข์เป็นความจริงที่ต้องกำหนดรู้ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
การปฏิบัติต้องมีรูปนามเป็นอารมณ์เสมอและต้องรู้ว่าเป็นรูปอะไรนามอะไร
ไม่ใช่รูปเฉยๆ หรือนามเฉยๆเพราะรูปกับนามก็ไม่เหมือนกัน
รูปแต่ละอย่างก็ไม่เหมือนกันเพราะถ้าเหมือนกันก็จะเกิดการประชุมกันเป็นกลุ่มก้อนทำให้ไม่เห็นพระไตรลักษณ์
การที่เราไม่เห็นพระไตรลักษณ์ก็เพราะสันตติอิริยาบถ
และฆนสัญญาปิดบังไว้
สันตติปิดบังอนิจจังความเกิดขึ้นสืบต่อปิดบังความไม่เที่ยง
อิริยาบถที่เราเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่ได้กำหนดนั้นปิดบังทุกขังเพราะทุกข์เก่าและทุกข์ใหม่ทีเปลี่ยนแปลงอิริยาบถไปทำให้รู้สึกสบายถ้าสบายจริงก็ทำท่านี้ไปตลอดสิคะ
จะเปลี่ยนอีกทำไมล่ะเพราะว่ามันเป็นทุกข์ใหม่นั่นเอง
ฆนสัญญาปิดบังอนัตตาการประชุมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนปิดบังความไม่ใช่ตัวตน
ทำให้เห็นว่าเป็นตัวตน
ดังนั้นจึงจะต้องคอยสังเกตสำรวจใจเพราะว่าเราจะอยู่กันได้สักกี่วันแต่ก็วันก็ช่างขอให้เราอยู่ในวิปัสสนาอารมณ์คือมีรูปมีนามเพราะวัฏฏสงสารน่ากลัวกว่าทุกข์ที่เราเห็นตอนนี้ฉะนั้นการเห็นภัยเห็นโทษที่ปรากฏขึ้นเป็นเรื่องที่ดีเพราะเป็นการเปิดเผยความจริงทำให้จิตนั้นสลดหดหู่แล้วก็อยากไปให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
เพราะชีวิตคือรูปนามขันธ์ ๕นี้เป็นทุกข์จริงๆ
จึงขออนุโมทนากับทุกท่าน
ขอบุญญาธิการบุญบารมีที่ท่านได้สะสมแล้วทำมาแล้วนี้จงเป็นเสียงลำเลียงชีวิตท่าน
ส่งเสริมท่านให้ท่านสามารถก้าวล่วงจากวัฏฏภัยและสามารถนำใจให้เกิดศรัทธา และศีล สมาธิ ปัญญาอันเสมอกันได้ถึงมรรคผลนิพพานได้โดยไวชาติ
และขอกราบขอบพระคุณท่านผู้มีอุปการคุณ
ต่อมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิในฐานะประธานกรรมการ
ก็ขอกราบขออภัยท่านไว้ ณ โอกาสนี้ ความขาดตกบกพร่องประการใดก็ขออภัยด้วยค่ะเพราะว่ากำลังกายหรือกำลังคนมีไม่พอเพียงที่จะดูแลให้ท่านได้สัปปายะที่ดีหรือสมบูรณ์มากว่านี้ถ้าหากมีอะไรบกพร่องก็บอกได้นะคะเขียนจดหมายมา
หรือจะมาบอกด้วยตนเองโดยตรงก็ได้ค่ะขอเป็นส่วนหนึ่งที่มีโอกาสได้ช่วยเหลือท่านผู้มีอุปการคุณทุกท่าน ขอบพระคุณค่ะ
ที่มา บทความจากมูลนิธิ อภิธรรมมูลนิธิ