หวงหลง 2 ประสบการณ์การเดินทาง


         ลงภาพประทับใจของหวงหลงกันไปในบันทึกที่แล้ว ในความประทับใจก็เจอเรื่องแย่ๆปนขำๆ เหนื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะยังไงภาพความประทับใจมันก็ยังมีอยู่ในใจ

          การไปเที่ยวที่ไหนคนเดียวคงไม่ค่อยมีใครอยากไปกันนักเพราะมันเหงา มนุษย์บางครั้งก็ทนกับความเหงาไม่ได้และสังคมก็คอยค่อนขอดว่าเราว่า ทำไมมาคนเดียวไม่มีเพื่อนเหรอ ยิ่งตอกย้ำกันเข้าไปอีก เหมือนเราเป็นคนน่าสงสาร ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ บางทีเราก็ไม่ค่อยสนใจสังคมเท่าไรแต่บางทีก็อดรู้สึกแย่ไม่ได้ บางทีถ้าเราอยากไปที่ใดที่หนึ่งจริงๆ ไม่มีเพื่อนไป เพื่อนติดธุระ หรือไปไม่ได้ ไม่อยากไปด้วยเหตุผลใดก็ตาม หรือไปคนเดียวแล้วจะสะดวกกว่าเราก็ไปคนเดียวได้ไม่ผูกติดกับใครอยู่แล้ว ไม่มีใครหยุดเราได้ถ้าเราอยากไปที่ไหนจริงๆ

        วันนี้ก็จะเล่าเรื่องการเดินทางคนเดียว เดินทางคนเดียวในประเทศตัวเองมันก็ค่อยเท่าไหร่ แต่ต่างประเทศนี่สิ รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยกลัวไม่มีคนช่วยเหลือ คนต่างชาติบางคนก็ไม่ได้น้ำใจดีเหมือนคนไทย ตอนนั้นอยู่จีนมาเกือบปีแล้วรู้ดี

          เรื่องการเดินทางไปหวงหลง กว่าจะได้ภาพสวยๆมาก็เดินเหนื่อย สภาพร่างกายตอนนั้นก็ไม่เอื้ออำนวยเท่าไร เนื่องจากเป็นไข้เพราะมีเพื่อนๆในกลุ่มเป็นหวัดแต่ใกล้จะหายแล้ว แต่เราดันมาเป็นต่อ และคืนก่อนหน้านั้นที่จิ่วจ้ายโกวฝนตกและอากาศหนาว ที่เตียงนอนใช้อุปกรณ์ต่อไฟฟ้าไว้ใต้ผ้าห่มรองนอนแล้วห่มผ้าอีกชั้นหนึ่ง ก็รู้สึกไม่ค่อยอุ่นเท่าไหร่ มีสะดุ้งตื่นกลางคืนด้วยเพราะเปิดระดับไฟร้อนไปไฟก็ลวกหลัง เบาไปก็หนาว รู้สึกจะปรับได้แค่สองระดับมั้ง แล้วก็ต้องเปิดไว้สักครึ่งชั่วโมงกว่าจะอุ่น ปลั๊กไฟก็มีหลวม บางทีไฟไม่เข้า ก็พยายามไม่กระทบโดนมัน ส่วนเรื่องห้องน้ำห้องท่า เฮ้อ!ต้องทำใจ เบาได้อย่างเดียว หนักนี่กลัวชักโครกจะชักไม่ลง ห้องที่อยู่ก็เจอของเก่าค้างคาอยู่บ้าง ถึงจะเบายังไงก็ต้องทำใจอยู่ดี โดยห้ามเฉียดตาดูของเก่า ตอนนั้นเริ่มชินแล้วกับห้องน้ำที่จีน ห้องน้ำที่โรงแรมนั้นเขามีน้ำเปิดปิดเป็นเวลา บางทีคนไปปล่อยของไว้ตอนน้ำไม่ไหล ของมันก็เลยค้างอยู่อย่างนั้น พนักงานทำความสะอาดห้องไม่รู้สนใจบ้างหรือเปล่า พอดีเป็นช่วงเทศกาลวันชาติด้วย ก่อนหน้าที่จะได้ห้องนี้ก็พวกเราก็ไปทะเลาะกับไกด์ จริงๆแล้วไกด์ก็ไม่ได้ดีเท่าไร ทัวร์นี้เป็นทัวร์ที่เราซื้อจากเฉิงตูไปจิ่วจ้ายโกว เพราะเรานั่งรถไฟจากปักกิ่งมาเฉิงตูกันเอง จริงๆแล้วมันก็ถูกนะ ถูกกว่าเดินทางมาจากเมืองไทย จำได้ว่าตอนนั้นหมดไปประมาณ 18,000 บาทสำหรับการเดินทางมาเฉิงตูทั้งหมด นี่คือใช้เงินแบบประหยัด ถ้ามาที่นี่จากเมืองไทยน่าจะเฉลี่ยประมาณสี่หมื่นแต่บริการอาจจะดีกว่า และลูกทัวร์ที่มาด้วยกันเขาก็บอกว่าถ้าซื้อทัวร์มาจากปักกิ่งบริการจะดีกว่า ห้องนี้ถือว่าสภาพดูดีกว่าที่ไกด์จัดให้แล้วนะจ่ายเงินกันเองอีกต่างหาก เพราะเปลี่ยนโรงแรมเอง ทะเลาะกับไกด์เพราะว่าเขาเห็นเราเป็นวัยรุ่นหรือไงเนี่ยถึงได้ให้อยู่แต่ ชั้นสี่ ลิฟต์ก็ไม่มี พวกเราขนกระเป๋าขึ้นบันไดกันไม่ไหวนะเหนื่อย ของก็ไม่ได้เอามาน้อยๆ ตุนของกินของไทยที่พวกเรากินกันได้มาด้วย อาหารที่จัดให้ก็มีแต่อะไรไม่รู้ คนแถวนั้นก็กินแต่ผักดอง มื้อเช้าก็ผักดอง ผัดถั่วงอกจืดๆ หมั่นโถว มื้อเที่ยงก็พอๆกัน ตอนเย็นพวกเราก็ยอมแยกออกมากินข้าวมื้อเย็นตามร้านอาหารตามสั่งร้านอื่นด้วย เงินที่พวกเราจ่ายเอง เพราะทนกินอาหารแบบนั้นไม่ได้ ไม่อร่อยและไม่ค่อยมีสารอาหารเลย พวกเราก็กินกันง่ายๆแล้วนะ ก็กินแค่ไข่เจียว ผัดผักอะไรประมาณนั้น ไข่เจียวถือเป็นอาหารโปรดของพวกเราที่พอกินกันได้ ตลอดเวลาที่ไปอยู่จีนก็กินไข่เจียว ข้าวผัด หมี่ผัดกันเป็นประจำ

            เขียนเรื่องเป็นไข้แล้วยาวเลย เอ้าเข้าเรื่องกันต่อ เพราะเป็นไข้ก็เลยเดินตามคนอื่นเขาไม่ทัน รู้สึกมึนๆงง อีกอย่างเพราะน้ำหนักและอายุมากกว่าคนอื่นด้วย เพราะความเกรงใจกลัวเป็นตัวถ่วงของคนอื่นก็เลยให้คนอื่นเดินกันไปก่อน เราก็เดินของเราอยู่คนเดียว รู้สึกเหนื่อยก็รีบพัก เพราะร่างกายไม่ค่อยดีอยู่กลัวกลิ้งตกเขาไป เดินไปเรื่อยๆจนถึงสระต้อนรับแขกที่สวยที่สุด ตอนนั้นโทรหาใครก็ไม่ติด เพราะที่นั่นสัญญาณไม่ดี ก่อนหน้านั้นมีฝนตกปรอยๆด้วย สรุปก็หาคนแถวนั้นให้ช่วยถ่ายรูปให้ตัวเอง เดินถ่ายรูปวิวไปสักพักอ้าวใกล้ถึงเวลาที่ไกด์นัดหมายแล้วเนี่ยอีกแค่ ชั่วโมงเดียว แล้วจะไปไหนต่อเนี่ย จะกลับทางไหนไม่รู้อะไรสักอย่าง จะไปขึ้นกระเช้าก็ดูไกลเหลือเกิน ตอนเดินลงเขามาไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเดินขึ้นเขาไปเพื่อขึ้นกระเช้า จะเดินไหวไหมเนี่ย อาการก็ไม่ค่อยดีอยู่ แล้วท่าทางจะใช้เวลาเดินมากกว่าหนึ่งชั่วโมงแน่ๆ ทำไงดีเนี่ย เดินคนเดียวด้วยรู้สึกใจแป้ว เริ่มกลัวแล้ว กลัวไม่ทันเวลาเพราะไกด์บอกว่าถ้าไปไม่ทันเวลา เขาจะให้พวกเราหารถกลับออกไปเองซึ่งแน่นอนว่าคงจะหารถออกไปลำบากแน่ใกล้ค่ำ แล้วและต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเองอีก  ในที่สุดก็ตัดสินใจถามคนแถวนั้นว่าถ้าเดินขึ้นเขาไปขึ้นกระเช้ากับเดินลงเขา ไปอย่างไหนจะดีกว่ากันเพราะเราก็ไม่รู้ว่าลงเขาไปใช้เวลาเท่าไหร่ถึงจะถึง เขาก็ตอบว่าถ้าเดินไปขึ้นกระเช้าคงไม่ทันแต่เดินลงเขาไปชั่วโมงเดียวอาจจะ ทัน จากนั้นเราก็ตัดสินใจวิ่งลงเขาเลยทั้งๆที่เป็นไข้ แต่ทำไงได้ล่ะ สถานการณ์มันบังคับ วิ่งก็ต้องคอยระวังล้มกลิ้งตกเขา แต่ไม่วายวิ่งไปเจอสระน้ำอื่น ก็แวะถ่ายรูปสองสามรูปจนได้ แต่ไปได้ไม่หมดทุกที่เพราะกลัวไม่ทันเวลา มองไปเห็นทางลงเขาอยู่ในป่าด้านข้างเลยไปทางนั้น จากนั้นก็วิ่งลงเขาตรงดิ่งเลย สรุปก็ไปขึ้นรถได้ทันเวลา ส่วนเพื่อนๆยังมาไม่ถึงเราก็เลยบอกให้ไกด์ช่วยรอ ยังดีไกด์ไม่โหดเกิน ก็รอเพื่อนๆมาถึงแล้วรถค่อยออกเดินทางกลับ ถามเพื่อนๆว่าทำไมถึงมาช้าถึงได้รู้ว่าเพื่อนๆไม่รู้เส้นทางลัดทางที่เรามา 

      ทริปนี้โหด แต่ก็สนุกไปอีกแบบนะ เดี่๋ยวจะเขียนเรื่องห้องน้ำจีนที่สุดยอดในบันทึกจิ่วจ้ายโกว 2 จ้า


หมายเลขบันทึก: 512717เขียนเมื่อ 19 ธันวาคม 2012 21:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 ธันวาคม 2012 12:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท