โครงการธรรมศึกษาวิจัย
: ศึกษาจากคัมภีร์พระไตรปิฎก
อรรถกถา ฎีกาตลอดจนคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา
ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี
ผู้อำนวยการโครงการอนุรักษ์คัมภีร์
มหาบัณฑิตสาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
ธรรมศึกษาวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาค้นคว้าเพื่อเป็นหลักฐานทางวิชาการทางพระพุทธศาสนาตามหลักสูตรวิจัยคัมภีร์พระพุทธศาสนา
มูลนิธิเบญจนิกาย พุทธศักราช ๒๕๕๐ พิมพ์ครั้งที่ ๑
๕๐๐ เล่ม เพื่อเป็นธรรมทานไม่สงวนลิขสิทธิ์
คำนำ
การศึกษาพุทธวิธีการพ้นทุกข์ตามหลักฐานทางพระพุทธศาสนาช่วยให้ผู้ศึกษาได้ทราบถึงความจริงในหลักธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แสดงไว้ สร้างความลึกซึ้งการจะเข้าถึงธรรมได้อย่างดี เพราะใน มีการแสดงเปรียบเทียบความจริงกับสิ่งปรากฏให้รู้ได้ เพื่อให้การศึกษาพุทธวิธีการพ้นทุกข์ให้เข้าใจ ผู้เขียนจึงสกัดเนื้อธรรม และภาษาให้เข้าถึงธรรมได้อย่างง่ายๆและไม่เสียเนื้อความ และที่สำคัญการอุปมาที่สำคัญ อันที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์นี้ สามารถสร้างเข้าใจได้อย่างง่ายขึ้น
หนังสือนี้เชื่อว่าจะยังคุณประโยชน์ให้แก่ผู้อ่าน ด้วยผลแห่งกุศลที่ประสงค์จะดำรงพระสัทธรรมให้ดำรงคงมั่นในอยู่จิตใจชาวพุทธ สร้างเสริมปัญญาเป็นบารมี จงเป็นบุญญาบารมีให้บิดามารดาครูอาจารย์ญาติพี่น้องตลอดจนสหายธรรมทุกท่านเป็นผู้ดำรงคงมั่น ในสัทธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และให้ศาสนาแห่งพระบรมศาสดาดำรงคงอยู่ตลอดกาลนาน เป็นแสงสว่างนำพาชีวิตของสรรพสัตว์ออกจากห้วงมหรรณพภพสงสารพ้นกองทุกข์กองโศกกองกิเลสเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ด้วยทั่วหน้ากันทุกท่านทุกคนเทอญ
ธีรเมธี
ธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี
มหาบัณฑิตพุทธศาสนามหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย
บทที่ ๑
การครองชีวิตที่ประเสริฐสุด
การครองชีวิตที่ประเสริฐสุดและการแนะวิธีธรรมปฏิบัติ, พระผู้มีพระภาคได้แสดงกัลยาณมิตร เปรียบเหมือนดวงอาทิตย์ว่า
ภิกษุทั้งหลายเมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อนเป็นบุพนิมิตฉันใด ความมีกัลยาณมิตรก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรคแก่ภิกษุ ฉันนั้นความมีกัลยาณมิตร เท่ากับเป็นพรหมจรรย์(การครองชีวิตประเสริฐ) ทั้งหมดทีเดียวเพราะว่าผู้มีกัลยาณมิตรพึงหวังสิ่งนี้ได้คือ จักเจริญจักทำให้มากซึ่งอารยอัษฎางคิกมรรคอาศัยเราผู้เป็นกัลยาณมิตรผู้มีกัลยาณมิตรย่อมกำจัดอกุศลได้และย่อมยังกุศลให้เกิดขึ้นความมีกัลป์ยาณมิตร
ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ [1]
เมื่อมีกัลยาณมิตรแล้วสิ่งที่ดีก็จะปรากฏ ซึ่งจะมีปัจจัยให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ๒ วิธีอันเป็นทางเกิดแห่งแนวคิดที่ถูกต้องและเป็นต้นทางของความดีงามทั้งปวงสิ่งที่เป็นปัจจัยมี
๑.ปรโตโมสะ อันได้แก่เสียงจากผู้อื่นช่วยการกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก
๒.โยนิโสมนสิการ เป็นการใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือกระทำในใจโดยแยบคายมองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณา รู้จักสืบสาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งนั้น ๆหรือปัญหานั้น ๆ ออก ให้เห็นตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย“ความได้สดับแต่บุคคลอื่น๑ความทำในใจโดยแยบคาย๑เป็นปัจจัยเพื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิธรรม๒ประการนี้แลเป็นปัจจัยเมื่อความเกิดขึ้นแห่งสัมมาทิฏฐิ”[2]
จุดเริ่มที่เป็นบุพภาคของการศึกษาของการได้ยินได้ฟังสิ่งที่ดีที่เรียกปรโตโมสะนั้นก็คือกัลป์ยาณมิตตตาผู้มีหน้าที่การงานที่พึงกระทำสามารถ ทำให้ประกอบกิจในพระพุทธศาสนาที่เรียกว่าธุระ ซึ่งในพระพุทธศาสนามี ๒ อย่างคือ
๑. คันถธุระ ธุระฝ่ายการศึกษาหรือกิจด้านการเล่าเรียน
๒.วิปัสสนาธุระ ธุระฝ่ายเจริญวิปัสสนาเป็นกิจด้านการบำเพ็ญภาวนาหรือเจริญกรรมฐานซึ่งรวมทั้งสมถะด้วย เรียกรวมเข้าในวิปัสสนาโดยฐานะเป็นส่วนคลุมยอดธุระ ๒ นี้[3]
โยนิโสมนสิการจึงเป็นไปเพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่และเป็นไปเพื่อความดำรงมั่นความไม่เสื่อมสูญและไม่อันตรธานแห่งสัทธรรมฯลฯมีธรรมที่เทียบคล้ายกับโยนิโสมนสิการนี้ ทิฏฐิสัมปทา ความถึงพร้อมแห่งทิฏฐิและ อัปปมาทสัมปทาความถึงพร้อมแห่งอัปปมาทะพระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงการคบหามิตรที่ดีนี้เป็นสิ่งทีสร้างความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นกับบุคคลมิตรดีดังที่ทรงตรัสไว้ว่า
“ความเป็นผู้มีมิตรดีมีสหายดีมีเพื่อนดีนี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียวดูกรอานนท์อันภิกษุผู้มีมิตรดีมีสหายดีมีเพื่อนดีพึงหวังข้อนี้ได้จักเจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์๘จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์๘”[4]
หลักธรรมเพื่อประพฤติพรหมจรรย์
การประพฤติพรหมจรรย์เพื่อยังความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นทั้งกายวาจาใจนั้นต้องอาศัยธรรมปฏิบัติที่ยังความบริสุทธิ์หรือเพื่อการประพฤติซึ่งพรหมจรรย์๑๐ ประการนี้ คือ
๑.ทาน คือ การประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการบริจาคทานเพื่อกำจัดความตระหนี่
๒.เวยยาวัจจะ คือ การประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการช่วยขวนขวายทำงานที่เป็นบุญ
๓.รักษาศีล คือ การประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการรักษาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล๑๐และศีล ๒๒๗
๔.อัปปมัญญา คือ การประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการเป็นอยู่ด้วยพรหมวิหารธรรม คือ เป็นผู้ที่มีความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาต่อคนอื่นเป็นหลักในการดำเนินชีวิต
๕.เมถุนวิรัติ คือ การประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการงดเว้นจากการมีเพศสัมพันธ์ทุกชนิด
๖.สทารสันโดษ คือ การประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการสันโดษ ยินดีอยู่แต่ในภรรยาสามีของตัวเอง ไม่มีเพศสัมพันธ์กับภรรยาสามีของคนอื่น
๗.วิริยะ คือการประพฤติพรหมจรรย์เพื่อเพียรพยายามละความชั่วพยายามทำ ความดี
๘.อุโบสถศีล คือ การประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการรักษาศีลอุโบสถ ๘ ประการ
๙.อริยมรรค คือ การประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการดำเนินชีวิตแบบมีอริยมรรค
๑๐.ศาสนา คือ การประพฤติพรหมจรรย์ด้วยการประกาศศาสนา ได้แก่คำสั่งสอนดังที่แสดงไว้ใน มังคลัตถทีปนีดังนี้“พรหมจรรย์มี ๑๐ อย่าง ด้วยสามารถแห่งทาน เวยยาวัจจะ เบญจศีล อัปปมัญญา เมถุนวิรัติ สทารสันโดษ วิริยะ องค์อุโบสถ อริยมรรค และ ศาสนา”[5]
ลำดับแห่งพรหมจรรย์ อาศัยธรรมที่เพิ่มพูนขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องศีลดังที่แสดง
ก.พรหมจรรย์เบื้องต้น ผู้ครองเรือนครองตนด้วยการรักษาศีล ๕มีความพอใจในคู่ครอง
ข. พรหมจรรย์ขั้นกลาง ผู้ครองเรือนควรรักษาศีล ๕ เป็นประจำ และรักษาศีล ๘
ค.พรหมจรรย์ขั้นสูง สำหรับผู้ครองเรือน ถือศีล๘ ตลอดชีวิตและครองชีวิตที่ประเสริฐ
ปฏิบัติตามหลักอริยมรรคมีองค์แปด สำหรับภิกษุก็ประพฤติสมณธรรมพรหมจรรย์ทุกขั้นจะตั้งมั่นอยู่ได้ต้องอาศัยการฝึกสมาธิเป็นหลักพื้นฐานและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้สูงขึ้นโดยการยึดหลักศีล สมาธิ ปัญญา
พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องผู้มีมิตรดี มีความเคารพ กระทำตามคำของมิตรนำพาชีวิตให้ เป็นกัลยาณมิตรและกัลยาณมิตรชื่อว่าพรหมจรรย์ดังที่ทรงตรัสไว้ว่า
ดูกรอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้นก็ความเป็นผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี นี้เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว
ดูกรอานนท์ อันภิกษุผู้มีมิตรดี มีสหายดี มีเพื่อนดี พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘
ภิกษุใดผู้มีมิตรดี มีความยำเกรง มีความเคารพ กระทำตามคำของมิตรดีทั้งหลายมีสติสัมปชัญญะภิกษุนั้นพึงบรรลุธรรมอันเป็นที่สิ้นไปแห่งสังโยชน์ทั้งปวงโดยลำดับฯ[6]
จึงกล่าวได้ว่า ”การประพฤติพรหมจรรย์ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังญาณทัสสนะให้สำเร็จเขามีความยินดีด้วยญาณทัสสนะนั้น แต่มีความดำริยังไม่เต็มเปี่ยม เขาไม่ยกตน ไม่ข่มผู้อื่น เพราะญาณทัสสนะนั้น เขาย่อมไม่มัวเมาไม่ถึงความประมาท...เมื่อเป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว ย่อมยังสมยวิโมกข์ให้สำเร็จ”[7]
หลักธรรมไตรสิกขา
อันเป็นหลักธรรมสำคัญที่จะนำพาชีวิตให้ข้ามพ้นจากสีลัพพตปรามาสได้ ต้องเป็นผู้ได้รับศึกษาสำเหนียก อบรม กาย วาจา จิตใจ และปัญญาเป็นธรรมที่สร้างให้มีความสามารถข้ามพ้นสีลพัตตปรามาสเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดคือพระนิพพาน การอบรม กาย วาจา จิตใจนี้ต้องอาศัยหลักแห่งไตรสิกขา ความหมาย สิกขาหมายถึงการศึกษาการสำเหนียกข้อที่ต้องศึกษาข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรม ไตรแปลว่าสาม ไตรสิกขาหมายถึง สิกขา ๓เป็นข้อที่ต้องศึกษาข้อปฏิบัติที่เป็นหลักสำหรับศึกษาคือฝึกหัดอบรม กาย วาจาจิตใจและปัญญาให้ยิ่งขึ้นไปจนบรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดคือพระนิพพานประเภทสิกขา ๓ประการ คือ“๑. อธิศีลสิกขา (สิกขาคือศีลอันยิ่ง) ๒. อธิจิตตสิกขา(สิกขาคือจิตอันยิ่ง) ๓. อธิปัญญาสิกขา(สิกขาคือปัญญาอันยิ่ง)”[8]
หลักธรรมในสติปัฏฐาน ๔
หลักธรรมที่นำมาเพื่อแก้ไขให้ข้ามพ้นสีลัพพตปรามาสที่สำคัญยิ่งคือเรื่องการปฏิบัติในหนทางพ้นทุกข์หนทางนี้เป็นที่ตั้งแห่งสติชื่อว่าสติปัฏฐาน ๔ หมายเอาที่ตั้งของสติ, การตั้งสติกำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นตามความเป็นจริง คือ ตามที่สิ่งนั้นๆมีความเป็นธรรมดาสติ-ปัฏฐาน ๔เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาโดยตรง ดังนั้น สติปัฏฐาน ๔ จึงเปรียบเป็นทางเชื่อมสำคัญ ทางเดียวที่นำไปสู่ทางเอกสุดท้าย ทางเอกนั้นคือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพราะวิปัสสนากรรมฐานมีจุดหมายปลายทางแน่นอนคือวิสุทธิเท่านั้นเมื่อถึงที่หมายคือวิสุทธิแล้วเป็นจุดสิ้นสุดการเดินทางท่องเที่ยวไปมาในวัฏฏะสงสาร กล่าวอีกนัยหนึ่ง วิปัสสนากรรมฐาน มีสติปัฏฐานเป็นเหตุ และมีวิสุทธิเป็นผล ความบริสุทธิ์มิได้เกิดขึ้นเพียงเพราะความเชื่อ หรือการอ้อนวอน แต่เกิดขึ้นด้วยการพิสูจน์หรือด้วยการปฏิบัติที่ถูกต้องเท่านั้น วิสุทธิมรรคกล่าวถึง การตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา ภิกษุผู้ทำศีลให้บริบูรณ์ชื่อว่า ผู้ตั้งอยู่ในศีล เจริญอยู่ในวิปัสสนา เป็นการเจริญปัญญา และมีองค์แห่งความเพียร อาตาปี อันเป็นเหตุเผากิเลสให้เร่าร้อน การเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้คือการทำงานของสติ ปัญญาและความเพียร พระพุทธองค์ทรงให้ความสำคัญและชี้ให้ผู้ปฏิบัติธรรมเห็นว่าหนทางนี้เป็นทางสายเอก เพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อล่วงความโศกและปริเทวนาการ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานหนทางสายนี้คือสติปัฏฐาน ๔ ประกอบด้วย
๑.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณากายให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่าเป็นเพียงกายไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
๒.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาเวทนาให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงเวทนา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
๓.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาจิตให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงจิตมีราคะ หรือไม่มีราคะ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา คือ มีสติรู้ชัดจิต
๔.ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การตั้งสติกำหนดพิจารณาธรรมให้รู้เห็นตามเป็นจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา คือ “มีสติรู้ชัดธรรมทั้งหลายได้แก่ นิวรณ์ ๕ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ โพชฌงค์ ๗ อริยสัจ ๔ ว่าคืออะไรเป็นอย่างไรมีในตนหรือไม่เกิดขึ้นเจริญบริบูรณ์และดับไปได้อย่างไรตามที่เป็นจริงอย่างนั้นๆ“[9]การเจริญธัมมานุปัสสนามีปัญญารู้เท่าทันดังที่แสดงไว้ว่า “ธัมมานุปัสสนาใช้สติตามดูมีปัญญารู้เท่าทันเรื่องราวทั้งหลายที่รู้ที่คิดที่เกิดขึ้นในใจ”[10]การเจริญธัมมานุปัสสนามีความสำเร็จต้องอาศัยองค์แห่งปัญญาดังที่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “การพิจารณาองค์แห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้โพชฌงค์๗ พิจารณาตามรู้ในขณะนั้น ๆ ว่า โพชฌงค์ ๗ อันได้แก่ สติ ธรรมวิจัย วิริยะ ปีติ ปัสสัทธิ สมาธิ และอุเบกขา มีอยู่ในจิตใจหรือไม่ ที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้นได้อย่างไร ที่เกิดขึ้นแล้วเจริญเต็มบริบูรณ์ได้ โพชฌงค์๗”[11] การเจริญธัมมา-นุปัสสนาพิจารณาองค์แห่ง อริยสัจ ๔ เห็นความเกิดดับดังที่แสดงให้เห็นว่า
“การพิจารณาองค์แห่ง อริยสัจ ๔ คือรู้ชัดอริยสัจ ๔ แต่ละอย่างตามความเป็นจริงว่านี้คือทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์”[12] พระพุทธศาสนา ได้ให้ความสำคัญแก่สติและถือว่าสติเป็นอุปการธรรมในขั้นของศีลขั้นสมาธิ และขั้นปัญญา การดำเนินชีวิตที่มีสติคอยกำกับนั้น พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นการดำเนินชีวิตที่ไม่ประมาท หรือมีอัปปมาทธรรม ยังประโยชน์เพื่อข้ามพ้นความเห็นผิดในทางซึ่งในปทสูตร สังยุตตนิกาย ได้แสดงความยกย่องสติและอัปปมาทธรรมอันเป็นธรรมไม่ประมาทไว้ดังนี้ “ภิกษุควรบำเพ็ญความไม่ประมาทคือการคุ้มครองรักษาใจด้วยสติด้วยตนเองในฐานะ๔ คือจิตของเราอย่าติดใจในธรรมที่ชวนให้เกิดความติดใจจิตของเราอย่างขัดเคืองในธรรมที่ชวนให้เกิดความขัดเคืองจิตของเราอย่างหลงใหลในธรรมที่ชวนให้เกิดความหลงใหล”[13] ด้วยเหตุที่การกระทำใดๆของมนุษย์ทั้งดีและเลวล้วนมีที่มาจากจิตซึ่งคอยคิด ตัดสินใจกระทำหรือไม่กระทำ รวมทั้งจดจำสิ่งต่าง ๆ ที่ได้กระทำนั้นไว้ด้วยเป็นสำคัญ การศึกษาฉบับนี้จึงมุ่งศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาที่เกี่ยวกับมูลเหตุและปัจจัยอันจะทำให้บุคคลสามารถดำรงชีวิตหนทางปฏิบัติในปัจจุบันและจะเป็นปัจจัยต่อไปในอนาคตกาลเป็นแนวทางให้เข้าใจความหมายของสีลพัตตปรามาสตามความเป็นจริง และมีข้อควรปฏิบัติที่ถูก แม้การปฏิบัติจะไม่ถึงจุดประเสริฐสูงสุดทางพระพุทธศาสนา คือ มรรคผล นิพพาน แต่ฝึกพินิจพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ก็จะเห็นผลดีของข้อพึงปฏิบัติและผลเสียของข้อไม่ควรปฏิบัติ ที่จะนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สุขที่แท้จริงกับชีวิตตนเองได้พระพุทธศาสนาเกิดจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้เองโดยชอบและ ผลตอบแทนที่ได้ จากการตรัสรู้เองนั้นได้ส่องประกายของความสุขแก่ มวลมนุษย์ชาติ ผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์โดยไม่จำกัดเชื้อชาติศาสนาภาษาและ วัฒนธรรมโดยไม่เลือกชั้นวรรณะโดยให้เข้าถึงหลักธรรมอันสูงสุดและลึกซึ้งถึงคำว่านิพพานการเข้าถึงหรือ การเฉียดเข้าไปให้ใกล้พระนิพพาน มีหลากหลายวิธีตามความเชื่อของศาสนายุคโบราณแต่เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว ได้สั่งสอนหมู่สัตว์ไปทั่วทุกแห่ง ทั้งมนุษย์ และเทวดาทั้งหลายด้วย พระพุทธองค์ทรง สามารถดึงให้คนทุกชาติ ทุกวรรณะ ได้เข้าถึงธรรมะโดยทางเดียวกัน นั่นคือ ความหลุดพ้น
หลักธรรมว่าด้วยทางสายกลาง
พระพุทธศาสนา มีหลักธรรมต่าง ๆ เป็นเรื่องของความเป็นจริง ตามธรรมชาติ การเกิด ดับ การเปลี่ยนแปลง การพื่งพาอาศัยกัน การอยู่ร่วมกันธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและสั่งสอนสรรพสัตว์ ให้พ้นจากห้วงทุกข์ นี้เป็นสัจจธรรมที่ยิ่งใหญ่เป็นทางสายกลาง(มัชฌิมาปฏิปทา) เป็นทางอันประเสริฐ เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ทุกกาลสมัย เป็นหลักธรรมคำสอนอันปราศจาก ทางสุดโต่งทั้ง ๒ ทาง ความทุกข์ หรือความสุข และมรรคมีองค์ ๘ ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงไว้ว่า“ ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจคืออริยมรรคมีองค์ ๘ คือ สัมมาทิฏฐิ(ความเห็นชอบ) สัมมาสังกัปปะ(ความดำริชอบ) สัมมาวาจา[14] สัมมากัมมันตะ(การกระทำชอบ) [15]สัมมาอาชีวะ(การเลี้ยงชีพชอบ) [16]สัมมาวายามะ(ความพยายามชอบ)[17] สัมมาสติ(ความระลึกชอบ)สัมมาสมาธิ(ความมีจิตตั้งมั่นชอบ) “[18]
[1] สํ.ม. ๑๙/๕-๑๒๙/๒-๓๐; องฺ.เอก. ๒๐/๗๒-๑๒๘/๑๓-๒๒; ขุ.อิติ. ๒๕/๑๙๕/๒๐๔.
[2] ม.มู. ๑๒/๔๙๗/๓๘๑; องฺ.ทุก. ๒๐/๓๗๑/๙๘.
[3] ธ.อ. ๑/๗.
[4] สํ.ม. ๑๙/๕/๒.
[5] มหามกุฏราชวิทยาลัย, มังคลัตถทีปนีแปล, ภาค ๕,พิมพ์ครั้งที่ ๑๘, ( กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย ๒๕๓๗ ), หน้า ๓๗.
[8] องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๑๐๕/๑๓๒.
[11] ที.ปา. ๑๑/๓๒๗/๒๕๓ ; อภิ.วิ. ๓๕/๕๔๒/๓๑๐.
[12] พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, อ้างแล้ว, หน้า ๘๑๒.
[13] สํ.มหา. ๑๙/๒๕๓/๖๕ ; องฺ.ทสก. ๒๔/๑๕/๒๕.
[14]ที.ปา. ๑๑/๘๓/๙๖, ที.มหา. ๑๐/๒๙๙/๒๗๔–๒๗๖,ม.อุ. ๑๔/๗๐๔/๓๘๔–๓๘๖.
[15]ที.มหา. ๑๐/๒๙๙/๒๗๕.
[16]องฺ.ปญจก. ๒๒/๑๗๗/๒๑๑.
[17]ที.มหา. ๑๐/๒๙๙/๒๗๕, ม.มู. ๑๒/๑๔๙/๘๖, ม.อุ. ๑๔/๗๐๔/๓๘๔.
[18] วิ.มหา. ๔/๑๓/๑๖.
มรรคมีองค์ ๘หรืออริย-อัฏฐังคิกมรรค แปลว่า ทางมีองค์ ๘ประการอันประเสริฐ ประกอบด้วย
๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ ได้แก่ ความรู้อริยสัจจ์ ๔หรือ เห็นไตรลักษณ์ หรือรู้อกุศลและอกุศลมูลกับกุศลและกุศลมูล หรือเห็นปฏิจจสมุปบาท สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นถูกต้อง ความรู้ถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง หมายความว่า การเห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง เห็นตรงตามสภาวะของธรรมชาติซึ่งเริ่มจากการรู้จักคิดใคร่ครวญและพิจารณาอันเป็นองค์ประกอบภายในตัวบุคคลเรียกว่า โยนิโสมนสิการ ประกอบปัจจัยภายนอกคือกัลยาณมิตร ได้แก่สิ่งแวดล้อมที่ดีงามถูกต้อง ช่วยชักจูงให้เกิดสัมมาทิฏฐิ การกระทำต่าง ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องดีงามมีพระพุทธพจน์ที่แสดงถึงความสำคัญของสัมมาทิฏฐิ ไว้ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระอาทิตย์จะขึ้น สิ่งที่ขึ้นก่อน สิ่งที่เป็นนิมิตมาก่อนคือ แสงเงินแสงทองฉันใด สิ่งที่เป็นเบื้องต้น เป็นนิมิตมาก่อนแห่งการตรัสรู้อริยสัจ ๔ตามความเป็นจริง คือ สัมมาทิฏฐิ ฉะนั้น เหมือนกันอันภิกษุผู้มีความเห็นชอบพึงหวังข้อนี้ว่า จักรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์นี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา[1]
สัมมาทิฏฐิย่อมเป็นประธานในมรรคมีองค์ ๘ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า
“บรรดามรรค ๘ นั้นสัมมาทิฏฐิย่อมเป็นประธาน ก็สัมมาทิฏฐิย่อมเป็นประธานอย่างไร คือภิกษุรู้จักมิจฉาทิฏฐิว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ รู้จักสัมมาทิฏฐิว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ ความรู้ของเธอนั้นเป็น สัมมาทิฏฐิ”[2] สัมมาทิฏฐิ แบ่งเป็น ๒ ระดับ คือ “ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน เรากล่าวว่าสัมมาทิฏฐิมี ๒ อย่างคือสัมมาทิฏฐิยังมีอาสวะซึ่งจัดเป็นฝ่ายบุญ อำนวยวิบากขันธ์อย่างหนึ่งกับสัมมาทิฏฐิ เป็นอริยะเป็นโลกุตตระ และเป็นองค์มรรคอย่างหนึ่ง”[3]
๑.สัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกียะ คือสัมมาทิฏฐิเบื้องต้นที่เป็นฝ่ายบุญ เช่น ความเห็นว่า การทำบุญมีผล การให้ทานแล้วมีผล กรรมที่ทำไว้ย่อมมีผล ซึ่งความเห็นในระดับนี้สามารถกำจัดความเห็นผิดในขั้นหยาบได้ เป็นแรงชักนำให้เกิดกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรมที่เป็นกุศล สัมมาทิฏฐิขั้นนี้อาจเรียกได้ว่า การเห็นชอบตามทำนองคลองธรรม
๒. สัมมาทิฏฐิที่เป็นโลกุตตระ คือสัมมาทิฏฐิเบื้องสูงเป็นองค์มรรคเป็นตัววิชชา ปัญญาของพระอริยเจ้า ซึ่งความเห็นในระดับนี้สามารถกำจัดความเห็นผิดขั้นอนุสัยคืออวิชชา เป็นต้นได้ สัมมาทิฏฐิประเภทนี้เกิดจาก โยนิโสมนสิการ และไม่สามารถเกิดขึ้นได้เพียงปรโตโฆสะทีดีหรือกัลยาณมิตรด้วยการรับฟังแล้วเชื่อตามคนอื่นด้วยศรัทธา เพราะสัมมาทิฏฐิประเภทนี้ต้องเป็นการรู้จักที่ตัวสภาวะ ต้องเอาธรรมชาตินั่นเองมาเป็นข้อพิจารณาโดยตรง จึงเกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกและชีวิตถูกต้องตามความเป็นจริง หรือรู้เข้าใจตามสภาวะของธรรมชาตพระพุทธศาสนา ถือว่าสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้เกิดสัมมาทิฏฐินั้น คือความเห็นคลาดเคลื่อน ไม่ตรงตามความเป็นจริง เรียกว่าวิปปัลลาส มี ๓ อย่างคือ
๑)สัญญาวิปปัลลาส ความจำได้หมายรู้คลาดเคลื่อนจากความจริงว่าในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสิ่งที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม
๒) จิตวิปปัลลาส ความคิดคลานเคลื่อนไปจากความจริงว่าในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยงในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสิ่งที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม
๓) ทิฏฐิวิปปัลลาส”ความเห็นคลาดเคลื่อนไปจากความจริงว่า ในสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง ในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข ในสิ่งที่มิใช่ตัวตนว่าตัวตน ในสิ่งที่ไม่งามว่างาม”[4]
ความรู้ธรรมชาติอันเป็นสัมมาทิฏฐิเมื่อพิจารณาตามกฏปฏิจจสมุปบาท เป็นเหตุให้การปฏิบัติเข้าถึงธรรมยังผลให้ข้ามพ้นสีลพัตตปรามาสได้ ไม่ชื่อว่าเป็น โมฆบุรุษ เหตุเพราะความเห็น ถูกต้องตามสภาวธรรมตามความเป็นจริง สัมมาทิฏฐินี้ จะเห็นได้ว่ารอบแห่งชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในปฏิจจสมุปบาทธรรมอันแสดงถึงสถานะของมนุษย์โดยไม่อิงกับ“ความเชื่อสุดโต่ง ๒ ประการคือความเชื่อในตัวตนที่ถาวรหรือสัสสตทิฐิและกับความเชื่อเรื่องการขาดสูญหรืออุจเฉททิฏฐิ”[5]แต่ได้แสดงสถานะความเป็นไปของมนุษย์ตามกระบวนแห่งปฏิจจสมุปบาทว่าเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขารฯลฯกระบวนธรรมที่แสดงในท่ามกลางนี้เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา
๒.สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ ได้แก่ เนกขัมมสังกัปปะ อพยาบาทสังกัปปะ อวิหิงสาสังกัปปะกุศลวิตก ๓
๓.สัมมาวาจา เจรจาชอบได้แก่วจีสุจริต ๔
๔.สัมมากัมมันตะ กระทำชอบได้แก่กายสุจริต ๓
๕.สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบได้แก่เว้นมิจฉาชีพประกอบสัมมาชีพ
๖. สัมมาวายามะ ความเพียรชอบคือ มีจิตไว้มุ่งมั่นเพื่อป้องกันอกุศลธรรมอันเป็น“บาปที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้นเพื่อละอกุศลธรรมอันเป็นบาปที่เกิดแล้วเพื่อสร้างกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้นเพื่อความดำรงอยู่ไม่เลือนหายเพื่อภิญโญภาพเพื่อความ ไพบูลย์เจริญเต็มเปี่ยมแห่งกุศลธรรมที่เกิดแล้ว[6] มีพุทธพจน์แสดงถึงความเพียรเป็นหน้าที่ไว้ว่า “ความเพียรเป็นหน้าที่ของท่านต้องทำเองตถาคตเป็นแต่ผู้บอกทางให้”[7] กุศลธรรมหรือความดีที่เกิดขึ้นแล้วในจิตใจ คอยถนอมสมาธิที่เกิดขึ้นแล้วให้ตั้งมั่น และกระทำในความดีให้เจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป มีพระพุทธพจน์ที่เน้นถึงความเพียรดังนี้คือภิกษุทั้งหลาย เรารู้ชัดถึงคุณธรรม ๒ ประการ คือ
๑) ความเป็นผู้ไม่สันโดษในกุศลธรรมทั้งหลาย
๒) ความเป็นผู้ไม่ยอมถอยหลังให้การบำเพ็ญเพียร
เราจักตั้งความเพียรอันไม่ถอยหลังถึงจะเหลือแต่หนัง เอ็น กระดูก เนื้อ และเลือดในสรีระจะเหือดแห้งไปก็ตามที ยังไม่บรรลุผลที่บุคคลพึงบรรลุถึงด้วยเรี่ยวแรงของบุรุษ[8]
องค์ประกอบของความเพียร ที่จะกระทำให้ได้ผลดีมีดังนี้
๑. คุณสมบัติของผู้ประกอบความเพียร
๒. สมัยที่ควรประกอบความเพียร และสมัยที่ไม่ควรประกอบความเพียร
๓. สัปปายะคือความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ[9]
๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔มีสติกำกับตน ควบคุมจิตใจไว้และให้อยู่กับสิ่งที่กำลังกระทำหรือที่เกี่ยวข้องในเวลานั้น ๆ ใจอยู่กับกิจ จิตอยู่กับงาน ระลึกได้ถึงสิ่งที่ดีงาม เกื้อกูลเป็นประโยชน์ไม่หลงไหลเลื่อนลอย ไม่ละเลยหรือปล่อยตัวเผอเรอโดยเฉพาะ”สติที่กำกับตนให้ทันต่อพฤติกรรมของร่างกาย ความรู้สึก สภาพจิตใจ และความนึกคิดของตน ไม่ปล่อยให้อารมณ์ที่เย้ายวนหรือยุยงมาฉุดกระซากให้หลุดหลงเลื่อนลอยไปเสีย”[10]
๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ ได้แก่การฝึกฝนอบรมจิตในขั้นที่ลึกซึ้ง เพื่อให้จิตมีความสงบ ตั้งมั่นแน่วแน่ต่ออารมณ์ที่กำลังกำหนดพิจารณา จิตที่มีสมาธิย่อมเป็นจิตที่มีคุณภาพและสมรรถภาพสูง “ประโยชน์สูงสุดของสมาธิคือ การปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายได้แก่ การรู้เห็นตามความเป็นจริง มีอุเบกขาและสติบริสุทธิ์อยู่”[11]
ข้อปฏิบัติอันพอดีที่จะนำไปสู่จุดหมายแห่งความหลุดพ้นเป็นอิสระ ดับทุกข์ปลอดปัญหา ไม่ติดข้องในที่สุดทั้งสอง คือ กามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค ที่สุด ๒ ข้อปฏิบัติอันที่จะนำไปสู่จุดหมายที่ต้องการนี้เรียก”ปฏิปทา มี ๓อย่างคือ
๑.อาคาฬหปฏิปทาข้อปฏิบัติอย่างหยาบช้า(กามสุขัลลิกานุโยค)
๒.นิชฌามปฏิปทาข้อปฏิบัติอย่างเหี้ยมเกรียม(อัตตกิลมถานุโยค)
๓. มัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติอย่างกลาง “[12]
มัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติอย่างกลาง ในอริยมรรคนี้เป็นการดำเนินชีวิตพอดี หรือการปฏิบัติพอดี ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า หลักมัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งมีความหมายเป็นอันเดียวกับการดำเนินชีวิตที่ดีงาม กล่าวคืออริยมรรค แปลว่า มรรคาอันประเสริฐ คือทางดำเนินชีวิตที่ดีงาม ปราศจากพิษภัยไร้โทษ นำสู่เกษมศานต์และความสุขที่สมบูรณ์พระพุทธศาสนา แสดงให้เห็นว่า สัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะนั้นมีความสัมพันธ์กันในเชิงปฏิบัติ กล่าวคือ มนุษย์เมื่อจะคิดอย่างไร มักจะเป็นไปตามความเห็น หรือความรู้ของตนคือทิฏฐิ และ จะพูด จะทำอย่างไรต่อไปก็ต่อเนื่องมาจากความคิดดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าทิฏฐิหรือความเห็นเป็นรากฐานที่สำคัญของสังกัปปะหรือความคิด อริยมรรคมีองค์ ๘ และ แนวทางการปฏิบัติเพื่อความพ้นจากทุกข์เหมือนกัน และมีจุดหมายร่วมกันดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เจริญอริยมรรคมีใจจะโน้มไปสู่นิพพานและกล่าวถึงศีล และ ปัญญาว่าเป็นยอดในโลกเหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือหรือล้างเท้าด้วยเท้าพระพุทธองค์ตรัสถึงบุรพกิจก่อนที่จะเจริญวิปัสสนาว่าศีลกับทิฏฐิต้องดีและตรงทรงแสดงว่า
ภิกษุ ! ก่อนอื่นเธอจงทำเหตุเบื้องต้น แห่งกุศลธรรมให้บริสุทธิ์ก่อนเหตุเบื้องต้น
ของกุศลธรรม คือ ศีลที่บริสุทธิ์ดี และความเห็นตรงเมื่อใด ศีลของเธอบริสุทธิ์ดีแล้วและความเห็นของเธอก็ตรงดีแล้ว เมื่อนั้นเธออาศัยศีลตั้งอยู่ในศีลแล้วพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔มีกาย เวทนา จิต และธรรมต่อไป
ภิกษุ! เมื่อใดเธออาศัยศีล และตั้งอยู่ในศีลแล้วจะเจริญสติปัฎฐาน ๔ เหล่านี้โดยส่วน ๓ อย่างนี้เมื่อนั้นเธอพึงหวังความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลายอย่างเดียวตลอดคืน หรือวันอันจะมาถึงไม่มีความเสื่อมเลย
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้วจึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘อย่างนี้แล ฯ[13]
มัชฌิมาปฏิปทา เป็นข้อปฏิบัติอันพอดีที่จะนำไปสู่จุดหมายแห่งความหลุดพ้นเป็นอิสระ ดับทุกข์ปลอดปัญหา ไม่ติดข้องในที่สุดทั้งสองคือ กามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยค[14]
ในพระสุตตันตปิฎก เทวทหสูตร ได้กล่าวถึงลักษณะการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องไว้ ๓ ประการดังนี้
๑) ไม่เอาทุกข์มาทับถมตน
๒) ไม่ละทิ้งความสุขที่ชอบธรรม
๓) ไม่หมกมุ่นสยบติดอยู่กับความสุขนั้น[15]
การถือศีลวัตรปฏิบัติของบรรพชิตพระพุทธองค์ได้ทรงวางแนวทางให้ไว้ดังนี้
ชีวิตบรรพชิตซึ่งต้องอาศัยปัจจัยที่ชาวบ้านบริจาคให้ในการดำเนินชีวิต การกระทำตนต้องเป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนเลี้ยงง่าย ยินดีในปัจจัยตามมีตามได้ไม่ว่าจะเศร้าหมองหรือปราณีต จึงเป็นการเลี้ยงชีพที่ถูกต้อง[16]
ทรงชี้ทางการปฏิบัติในศีลวัตรโดยนัยแห่งอริยมรรคมีองค์แปดที่เป็นทางสายกลางว่าทางประเสริฐควรดำเนินดังที่แสดงใน มรรควรรค ธรรมบท ไว้ว่า
ทางมีองค์แปด ประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย ทางนี้เท่านั้นเพื่อความหมดจดแห่งทัศนะทางอื่นไม่มีเพราะเหตุนั้น ท่านทั้งหลายจงดำเนินไปตามทางนี้แหละเพราะทางนี้เป็นที่ยังมารและเสนามารให้หลงด้วยว่าท่านทั้งหลายดำเนินไปตามทางนี้แล้วจักทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ เราทราบชัดธรรมเป็นที่สลัดกิเลสเพียงดังลูกศรออกบอกทางแก่ท่านทั้งหลายแล้วท่านทั้งหลายพึงทำความเพียรเครื่องยังกิเลสให้เร่าร้อนพระตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้บอกชนทั้งหลาย ดำเนินไปแล้วผู้เพ่งพินิจ จะพ้นจากเครื่องผูกแห่งมารได้ เมื่อใดบุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงเมื่อนั้นเขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์นี้เป็นทางแห่งความหมดจด เมื่อใดบุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่าสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เมื่อนั้น เขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์นี้เป็นทางแห่งความหมดจด เมื่อใด บุคคลพิจารณาเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมปวงเป็นอนัตตาเมื่อนั้นเขาย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ นี้เป็นทางแห่งความหมดจด พึงยินดีมรรคที่ฤาษีประกาศแล้ว ปัญญาเพียงดังแผ่นดินย่อมเกิดเพราะความ ประกอบโดยแท้ความสิ้นไปแห่งปัญญาเพียงดังแผ่นดินเพราะความไม่ประกอบบัณฑิตรู้ทางสองแพร่งแห่งความเจริญและความเสื่อมนี้แล้วพึงตั้งตนไว้โดยอาการที่ปัญญาเพียงดังแผ่นดินจะเจริญขึ้นได้ ท่านทั้งหลายจงตัดป่าอย่าตัดต้นไม้ ภัยย่อมเกิดแต่ป่าผู้รู้เห็นประโยชน์แล้วพึงเป็นผู้สำรวมด้วยศีลพึงรีบชำระทางเป็นที่ไปสู่นิพพานพลันทีเดียวฯ [17]
มัชฌิมาปฏิปทาจึงเป็นแนวทางเพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์อย่างชัดเจนซึ่งผู้ที่เพ่งในปัญญาย่อมได้ปัญญา ถ้าทำความเข้าใจให้ถึงหลักคำสอนแล้ว ได้มีหลักธรรมประการหนึ่งที่จะทำให้รู้ว่าแนวทางการดำเนินชีวิตของมนุษย์ภายใต้ความมี มโนธรรม คุณธรรม และความมีจริยธรรมซึ่งจะนำมาสู่การประพฤติปฏิบัติตามครรลองคลองธรรมที่ถูกต้องเหมาะสมพระพุทธองค์จึงได้ตรัสไว้ในสติปัฏฐานว่า “เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยาภิกษุทั้งหลายหนทางสายนี้เป็นทางสายเอกเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลายดังนี้ “[18]
หลักธรรมที่ก่อให้เกิดญาณปัญญา
หลักธรรมที่นำมาเพื่อแก้ไขหรือหาทางกำจัดเสียซึ่งทิฏฐิแห่งสีลัพพตปรามาสการจะกำจัดเสียซึ่งสีลัพพตปรามาสให้เด็ดขาดต้องปฏิบัติหนทางสติปัฏฐาน ๔เจริญวิปัสสนาผู้ปฏิบัติจะเข้าถึงความเข้าใจในการประพฤติปฏิบัติและก่อให้เกิดญาณปัญญาอันเป็นความรู้ตามสภาวธรรมตามความเป็นจริงจะเป็นการบรรลุผลธรรมตามลำดับ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคได้แสดงถึงวิธีการทำพระนิพพานให้แจ้งด้วยการปฏิบัติตามแนวแห่ง”วิปัสสนาญาณ ๙ ประการ”[19]คือวิปัสสนาญาณ ๙ เป็นญาณในวิปัสสนาญาณที่นับเข้าในวิปัสสนา เป็นความรู้ที่ทำให้เกิดความเห็นแจ้งเข้าใจสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริงปฏิบัติหนทางถูกตามมรรคมีองค์ ๘ นี้ผลย่อมเกิดญาณเข้าไปรู้ธรรมชาติตามความจริงที่ว่า“สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา”[20]
สิ่งใดเป็นอนัตตา สิ่งนั้นท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัดเพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณ หยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ฯ[21]
หลักธรรมมุ่งสู่ทางแห่งวิสุทธิ
ผลของการปฏิบัติเพื่อหนทางสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ข้ามพ้นสีลัพพตปรา-มาสนั้นคือความบริสุทธิ์ที่เรียกว่า วิสุทธิ คำว่า วิสุทธิเป็นธรรมอันปราศจากมลทินทั้งปวง และมีความบริสุทธิ์แท้จริง วิสุทธิมรรคจึงหมายถึงทางสู่ความบริสุทธิ์หรืออุบายที่เป็นเครื่องบรรลุนิพพานเมื่อสมบูรณ์ด้วยศีล มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว มีปัญญาย่อมถึงวิสุทธิดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
“ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีล มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว มีปัญญา มีความเพียรอันปรารภแล้ว มีตนอันส่งไปแล้วในกาลทุกเมื่อ ย่อมข้ามโอฆะอันยากที่จะข้ามได้”[22] และทรงแสดงธรรมที่จะบริสุทธิ์ได้เนื่องเพราะฌานและปัญญา เช่น“ฌานย่อมไม่มีแต่ผู้หาปัญญามิได้ ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นแลอยู่ใกล้พระนิพพาน”[23] ปัญญาว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยงเป็นทางบริสุทธิ์ทรงตรัสไว้ว่า“เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เมื่อนั้นเขาย่อมหน่ายในทุกข์ นั่นคือ ทางแห่งวิสุทธิ”[24] ในรถวินีตสูตร มัชฌิมปัณณาสก์ แสดงวิสุทธิ ๗ ว่าส่งต่อกันโดยลำดับจนถึงอนุปาทาปรินิพพาน เหมือนการเดินทางกว่าจะถึงที่สุด ด้วยรถ ๗ ผลัดในวิสุทธิ ๗ นี้ วิสุทธิ ๒ เบื้องปลาย จัดเป็นโลกุตรด้วยภาวะเป็นอริยมรรคอริยาผล ท่วงทีเดียวกับวิมุตติในทางบริสุทธิ์แห่งทัสสนะเป็นวิสุทธิเป็นกิจแห่งปัญญาในบาลีว่าปญฺายปริสุชฺฌติย่อมบริสุทธิ์ด้วยปัญญา ดังที่อุปมาไว้ว่า ผ้าฟอกแล้วย่อมหมดมลทิน ย่อมขาวผ่อง ฉันใดจิตสำรอกจากกิเลสกามหรือจากอาสวะแล้วย่อมหลุดพ้นจากความเศร้าหมอง ย่อมผ่องแผ้วฉันนั้นเหตุนั้นสำหรับผู้ปฏิบัติ การหัดจิตไปตามทางแห่งวิสุทธิ สร้างความหมดจดแห่งความรู้ยิ่งแห่งญาณทัสสนะอันจะรู้ได้ว่านี้เป็นทางหรือมิใช่ทางด้วยญาณเป็นการข้ามพ้นการปฏิบัติที่ผิดทางซึ่งพื้นความเห็นผิดแห่งสีลัพพตปรามาส ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า
“ในกาลนั้นความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นเพราะมารู้ธรรมเป็นไปกับเหตุ...และเพราะมารู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย.”[25]และทรงให้พิจารณาแลเห็นสังขารด้วยอาการอย่างนั้น โดยใช้โยนิโสมนสิการเป็นเครื่องกำกับ ให้รู้จักว่าน้อมจิตอย่างไรถูกทาง อย่างไรผิดทาง ดังกล่าวแล้วในอนัตตลักขณะ จัดเป็นมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ หมดจดแห่งญาณทัสสนะว่าทางหรือมิใช่ทาง อันอุปกิเลสแห่งวิปัสสนา มิใช่ทาง พิจารณาแลเห็นสำเร็จเป็นอริยมรรค จัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ หมดจดแห่งญาณทัสสนะเป็นทาง เมื่อพิจารณาแลเห็นเป็นอริยผล จัดเป็นญาณทัสสนวิสุทธิ หมดจดแห่งญาณทัสสนะ ดังที่กล่าวในบาลีว่า
“เอเสว มคฺโค นตฺถญฺโ ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา
ทางนั้นแล ไม่มีทางอื่น เพื่อหมดจดแห่งทัสสนะ“[26]
ในความหลุดพ้นจากกองกิเลสและกองทุกข์ทั้งปวงจะพ้นและขจัดความเห็นอันผิดทางได้นั้นจะต้องอาศัยช่องทางออกได้แยกประเภทของความหลุดพ้นไว้ โดยจัดตามลักษณะการเห็น
ไตรลักษณ์ ที่ชื่อว่าวิโมกข์ มี ๓และในการปฏิบัติหนทางที่ถูกทางนี้ยังความหลุดพ้น รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองแล้ว ยังสามารถเข้าถึงเป็นพระอริยบุคคล ข้ามพ้นและขจัดสิ้นซึ่งสีลัพพตปรามาสตามหลักในสติปัฏฐานการละทิฏฐิที่ผิดนั้นเป็นกิจสำคัญแห่งโสดาปัตติมรรคแม้สังโยชน์ที่โสดาบันละได้ก็ขึ้นต้นด้วยสักกายทิฏฐิ ตรงกันข้าม การประกอบด้วยทิฏฐิชอบที่ลงร่องกระแสแห่งนิพพานเป็นเหตุให้ได้นามว่าโสดาบัน ก็เป็นคุณสำคัญในความเป็นอริยบุคคลชั้นต้น จึงมีพระบาลีเรียกพระโสดาบันว่า ”ทิฏฺิสมฺปนฺโน ผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ”.[27]สัมมาทิฏฐิความเห็นอันประเสริฐนั้นเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ได้เป็นญาณความรู้ยิ่ง แต่ไม่ทั่วไปแก่ปุถุชนทั้งหลาย ญาณนี้จะทำให้เป็นพระโสดาบัตติผล ลักษณะที่จะยังความรู้มุ่งสู่ญาณแห่งพระอริยทั้งหลายเพื่อถอนสีลัพพตปรามาสการถือปฏิบัติเป็นธรรมดาของพระอริยสาวกที่มีผลแห่งความสำเร็จขจัดเสียซึ่งสีลัพพตปรามาส
[1] สํ.มหา. ๑๙/๑๗๒๐/๔๓๗.
[4] มหาวงศ์ ชาญบาลี, พระวิสุทธิมรรค, เล่มเดียวจบ, ( กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เลียงเชียง, ๒๔๗๘) หน้า ๘๑๘.
[5] พระธรรมปิฎก ( ป.อ.ปยุตฺโต ), พุทธธรรม, อ้างแล้ว, หน้า ๑๓๑.
[6]ที.มหา. ๑๐/๒๙๙/๒๗๕, ม.อุ. ๑๔/๗๐๔/๓๘๔.
[9]องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๕๓/๖๕, ที.ปา.๑๑/๔๑๑/๒๙๕, องฺ.ทสก.๒๔/๑๑/๑๗.
[11]ที.มหา. ๑๐/๒๙๙/๒๗๔; ม.อุปริ.๑๔/๗๐๔/๓๘๔;อภิ.วิ. ๓๕/๑๗๐/๑๒๓,อภิ.วิ. ๓๕/๕๗๗/๓๒๖.
[16] องฺ.จตุก. ๒๑/๒๘/๓๑–๓๓ ; ที.ปา. ๑๑/๒๓๗/๒๐๙–๒๑๐ ; ขุ.จู. ๓๐/๖๙๑/๒๗๑.
[18] ที.ม. ๑๐/๒๗๓/๓๒๕ ; ม.มู. ๑๒/๓๘/๑๑๙.
[19] ขุ.ปฏิ. ๓๑/๑/๑.
[25] ขุ.อ. ๒๕/๓๙/๖๓.
[27] มหามกุฏราชวิทยาลัย, วิสุทธิมรรคแปล, ภาค ๑ ตอน ๑, อ้างแล้ว, หน้าที่ ๑๐๓.
บทที่ ๒
หลักธรรมมุ่งสู่นิพพาน
สีลัพพตปรามาสนั้นเป็นเพราะความเห็นหรือความเข้าใจผิดในการปฏิบัติที่ผิดทางไม่สามารถเป้าหมายที่สำคัญยิ่งคือ การไม่เข้าใจเป้าหมายของการปฏิบัติ หรือ ธรรมอันเป็นที่สุดของจุดหมายหรือเป้าหมายอันจุดหมายของการได้ข้ามพ้นสีลัพพตปรามาสนั้นก็คือ ถึงซึ่งพระ-นิพพานถ้าไม่เข้าใจความหมายพระนิพพานว่า คืออะไร? หรือมีเข้าใจคลาดเคลื่อนจากสภาวธรรมตามความเป็นจริงแล้วอาจจะทำให้ความเห็นผิดทำให้เกิด การปฏิบัติตนเพื่อถึงพระนิพพานผิดไปด้วยธรรมดาความเห็นผิดในหนทางการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงมรรคผลนั้นที่เรียกว่าสีลัพพตปรามาสมีอยู่กับปุถุชนผู้แน่นหนาด้วยกิเลส สิ่งสำคัญจึงต้องศึกษาและทำเข้าใจความหมายของพระนิพพานให้ดี คำถามที่ว่าพระนิพพานคืออะไร ถ้าไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ตรงสภาวธรรมตามความเป็นจริงและเข้าใจถึงความเป็นไปของพระนิพพานแล้ว การปฏิบัติก็จะทำให้เกิดมีส่วนเบี่ยงเบนออกไปหรือถึงกับขั้น ขวางกั้นหนทางเดินที่ถูกต้องเลยที่เดียว ความเห็นผิดหรือความเชื่อว่าตายแล้วสูญ โลกนี้เที่ยง สิ้นชีวิตแล้วจะไปอยู่กับพระเจ้า แม้กระทั่งเห็นว่านิพพานเป็นพุทธเกษตรเป็นที่อยู่ภายหลังความตายของผู้ที่บูชานับถืออ้อนวอนและร้องขอฉะนั้นเพื่อให้ถึงเป้าหมายแห่งการปฏิบัติจึงจำต้องมีความเข้าใจนิพพานให้ถูกต้องเสียก่อน เรื่องพระนิพพานคนส่วนมากมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบุคคลที่เบื่อโลกเท่านั้นส่วนคนที่ยังต้องการสนุกสนานอยู่ในโลกเรื่องนิพพานไม่จำเป็น ในมติแห่งลัทธิภายนอกพระพุทธศาสนาเถรวาทได้แสดงถึงมติแห่งศาสนาพราหมณ์มีต้นเดิมเรียกว่า "ปรมาตฺมนฺ" นิพพานอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ เรื่องของการวนเวียนแห่งชีวิตอันมีคติของสัตว์ผู้ท่องเที่ยวในสังสารวัฏของหลักศาสนา และ ลัทธิต่างๆในโลกนั้นมีความต่างกันเป็นเหตุให้ความเข้าใจเรื่องความสิ้นสุดของการวนเวียนแห่งชีวิตจึงมีความต่างกันในเรื่องการวนเวียนแห่งชีวิตนั้นเป็นไปเพื่อหาหนทางพ้นธรรมดาพื้นแห่งจิตใจของสัตว์ทั้งหลายประกอบด้วยความเห็นผิดอันมีสีลัพพตปรามาส ทำให้ยากที่พ้นจากกองกิเลสและกองทุกข์หยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้ โดยเฉพาะความเห็นผิดในการมีชีวิต และ วงรอบแห่งการเวียนของชีวิตก็มีความเข้าใจต่างกัน อันกล่าวในอรรถกถาแห่งชาดก ในเมตตสูตร กล่าวถึงแผ่เมตตาแก่สัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด เรียกสัมภเวสี คู่กับสัตว์ผู้เกิดแล้วเรียกภูตะ สัตว์ชนิดนั้นเทียบได้กับ อาตฺมนฺ กำลังร่อนหาร่าง เพื่อเข้าสิง อาตฺมนฺ นั้นท่องเที่ยวไปในที่สุด ย่อมถึงความบริสุทธิ์ จากบาปด้วยประการทั้งปวง ได้ชื่อว่า "มหาตฺมนฺ" เทียบกับมคธว่า " มหตฺตา" แปลว่า "อัตตาใหญ่." คำว่า มหัตตา หมายเอาประโยชน์ใหญ่บ้าง ความเป็นใหญ่บ้าง"มหาตฺมนฺ" ทางลัทธินี้เชื่อว่าเมื่อตายหรือจุติจากร่างที่สุดแล้ว ย่อมกลับเข้าหา ปรมาตฺมนฺ อันเป็นต้นเดิม เป็นอยู่ยืนคงทน ไม่จุติอีกนี้เป็นที่สุดแห่งสงสารของเขา ซึ่งลัทธินี้เรียกว่า นิรฺวาณมฺ แปลอย่างเดียวกับนิพพานของธรรมวินัยของเราซึ่งมีแสดงในปกรณ์ชื่อ”นิรฺวาณปุราณมฺนิพพาน มีชื่อเรียกในเพื่อเข้าสิง อาตฺมนฺ นั้นท่องเที่ยวไป ในที่สุด ย่อมถึงความบริสุทธิ์ จากบาปด้วยประการทั้งปวง ได้ชื่อว่า มหาตฺมนฺ เทียบกับมคธว่า มหตฺตา แปลว่า อัตตาใหญ่
ในมติแห่งศาสนาคริตส์และในอิสลามก็บัญญัติที่สุดแห่งสงสารก็ทำนองนี้ แต่โดยอาการอยู่ข้างเป็นบุคคลาธิษฐาน นักบุญเบื้องหน้าแต่มรณะย่อมขึ้นสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าเป็นนิรันดร ไม่โยกย้ายแต่ปฏิเสธการได้อัตภาพเป็นมนุษย์ และเป็นดิรัจฉานต่างชนิดสับสนกัน.
แต่มติข้างพระพุทธศาสนาเถรวาทได้แยกมูลเหตุอันแต่งสังขารเป็นต้นสายนิพพานเป็นปลายสาย และปฏิเสธอัตตา แต่ยอมรับความเชื่อมถึงกันแห่งจุติจิตในภพหลัง และปฏิสนธิจิตในภพหน้า โดยอาการอย่างสืบแห่งสันตติในชีวิตอันเดียว ผลแห่งสันตติต้น ย่อมสืบมาสันตติหลัง แต่เชื่อมถึงกันด้วยอย่างไรในเมื่อสันตติขาดแล้ว เป็นข้อลี้ลับอยู่ ยอมรับการตกนรกขึ้นสวรรค์ และการถือเอากำเนิดเป็นมนุษย์ และเป็นดิรัจฉานต่างชนิดสับสนกันด้วยอำนาจกรรม แต่บัญญัติการตกนรก มีที่สุด พึงเห็นในการพยากรณ์คติแห่งคนทำอนันตริยกรรมเช่นพระเทวทัตและพระเจ้าอชาตศัตรู คงสิ้นกรรมแล้วได้ตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธะในอวสาน กล่าวความบริสุทธิ์ด้วยประการทั้งปวงแห่งจิตอันท่องเที่ยวในสังสารวัฏ ที่ได้แก่บรรลุพระอรหัต โดยอาการอย่างเดียวกัน แต่คัดค้านการค่อยบริสุทธิ์เองที่เรียกว่าสังสารสุทธิแก้ว่าต้องสำเร็จด้วยวิริยะกับปัญญาแต่ยอมรับว่าไม่สำเร็จโดยรวดเร็วในไม่กี่ภพพึงเห็นในการกล่าวถึงระยะกาลที่บำเพ็ญพระบารมีของโพธิสัตว์ ในอวสาน กล่าวถึงการดับแห่งจิตอันบริสุทธิ์นั้น ในปัจฉิมชาติแล้วไม่เกิดอีก เป็นถึงที่สุดเพียงนี้ ได้ในบาลีธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า อยมนฺติมา ชาติ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว นี้เป็นชาติมีในที่สุด บัดนี้ภพอีกย่อมไม่มี และในบาลีอนัตตลักขณสูตรเป็นต้นว่า ย่อมรู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กรณียะทำแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างไม่มีอีก นี้กล่าวคือนิพพาน ยกย่องว่าเป็นธรรมไม่ตาย เป็นฐานไม่จุติ ได้ในบาลีว่า อปฺปมาโท อมตปท ความไม่ประมาทเป็นบทไม่ตาย นิพพานอันเป็นปลายสาย ย่อมจัดเป็นวิสังขาร มิใช่ สังขาร และเป็นอสังขตะ อันปัจจัยมิได้แต่ง เพราะพ้นจากความเป็นสังขาร และอันปัจจัยมิได้แต่งให้เกิดภาษาบาลีมาจาก
นิอุปสรรค (แปลว่าพ้นไปหมดไปเลิกไม่มี) วาน (แปลว่าพัดไปเป็นไปเครื่องรึงรัด) หากใช้เป็นกิริยาของไฟหรืออาการของไฟแปลว่าดับไฟดับร้อนเย็นลงหากใช้เป็นกิริยาของจิตหมายถึงความเย็นใจ ไม่มีความกระวนกระวาย ไร้เครื่องเสียดแทงในภาษาสันสกฤตใช้คำว่า“นิรวาน”ซึ่งมาจากคำว่านิร+วาน คำแรกมีความหมายเชิงปฏิเสธส่วนคำหลังเป็นชื่อของกิเลสดังนั้นคำว่า “นิรวาน” จึงหมายถึงการดับกิเลส ในพระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าทรงให้ความหมายของนิพพานไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลายภาวะอันไม่เกิด ไม่เป็นอันปัจจัยไม่ทำไม่ปรุงแต่งมีอยู่ภิกษุทั้งหลายหากภาวะอันไม่เกิดไม่เป็นอันปัจจัยไม่ทำไม่ปรุงแต่งจักไม่มีเลยการสลัดภาวะที่เกิดที่เป็นอันปัจจัยทำปรุงแต่ง จะไม่พึงปรากฏในโลกนี้เลย” ดังที่พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นธรรมชาตินี้และมีพุทธอุทาน ว่า ”ภิกษุผู้ดุจภูเขาย่อมไม่หวั่นไหวเพราะความสิ้นโมหะเหมือนภูเขาหินไม่หวั่นไหวตั้งอยู่ด้วยดีฉะนั้นฯ”[1] พระนาคเสนเถระ ให้ความหมายว่านิพพานเป็นอนุปาทนียะคือไม่เป็นที่ตั้งแห่งอุปทาน(ความยึดมั่น) ส่วนในคัมภีร์ปรมัตถทีปนีให้ความหมายว่า
“นิพพานนั้นเป็นที่ดับความเร่าร้อนที่เกิดจากวัฏฏทุกข์ทั้งหมด”[2] และแสดงภาวะไว้ว่า ความสิ้นไปแห่งความอยากคือ ตัณหาภายในใจว่าเป็นภาวะของนิพพานความหมายนิพพานนั้นนำมาแสดงไว้๓นัยคือ
ก.นัยปฏิเสธเช่นนิพพานคือความสิ้นราคะสิ้นโทสะสิ้นโมหะคือความสิ้นตัณหาคือจุดจบแห่งทุกข์คือความไม่ตายเป็นต้น
ข.นัยอุปมา เช่นนิพพาน เป็นเหมือนภูมิภาคอัน ราบเรียบน่ารื่นรมย์เหมือนไฟดับเพราะเชื้อเพลิงหมดเป็นต้น
ค.นัยไวพจน์เช่นคำว่าสงบ,ปณีต,บริสุทธิ์, เกษม, อุดมเป็นต้น นัยบรรยายภาวะโดยตรงดังพุทธพจน์ว่าภาวะที่พึงรู้ได้มองไม่เห็นด้วยตาไม่มีที่สิ้นสุดเข้าถึงได้ทุกด้านตรงนี้อาโปปฐวีเตโชและวาโย ตั้งอยู่ไม่ได้ตรงนี้ยาวสั้นละเอียดหยาบงามไม่งามก็ตั้งอยู่ไม่ได้ตรงนี้นามรูปดับสนิทตรงนี้เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ [3]
นิพพานคือวิราคธรรม ซึ่งแปลว่า ธรรมอันเป็นที่คลายออกซึ่งกิเลส คือหมายความว่า ใจของใครก็ตามเมื่อมาพบกับวิราคธรรมเข้าแล้ว กิเลสทั้งหลาย ย่อมจะคลายตัวออกจากใจ จนกระทั่งในที่สุดไม่มีเหลือ และคำว่าวิราคธรรมในที่นี้ ก็หมายถึงความสงบอันประณีตนั่นเองนิพพานเป็นอสังขตธรรม ลักษณะอสังขตธรรมมี ๓ อย่างคือ
๑. ไม่ปรากฏความเกิด
๒. ไม่ปรากฏความสลาย
๓. เมื่อดำรงอยู่ ไม่ปรากฏความผันแปร
โดยสรุป พระนิพพานก็คือที่ๆไม่มีกิเลสตัณหาที่จะร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจและเป็นที่สิ้นไปแห่งกองทุกข์ตามลำดับการเข้าถึงในขุททกนิกายอิติวุตตกะกล่าวถึงนิพพาน ๒ ประเภทคือ
(๑) สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุยังมีเชื้อเหลือดับกิเลสยังมีเบญจขันธ์เหลือ
(๒) อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุที่ไม่มีเชื้อเหลือ ดับกิเลสไม่มีเบญจขันธ์อีก[4]
ความเข้าใจเรื่องของพระนิพพานนี้ถ้าไม่ศึกษาก็จะไม่เข้าถึงสภาวธรรมอย่างแท้จริงซึ่งอาจจะเกิดทิฏฐิคิดว่าเป็นที่สุดแห่งทุกข์พ้นการเกิดนั้นเป็นของเที่ยงแท้เป็นนิรันดร์เป็นสัสสตทิฏฐิเข้าแอบแฝงหรือเข้าใจว่านิพพานเป็นอุจเฉททิฏฐิ และแม้เข้าใจว่าเป็นของไม่มี ก็เป็นนัตถิกทิฏฐิ ท่านนาคารชุนเข้าใจพระนิพพาน ว่า นิพพานคือรูป รูปคือนิพพานและจากหลักฐานคัมภีร์ทางศาสนามีการแสดงเรื่อง ความหมายของพระนิพพานในศาสนาอื่นๆนั้น ก็ไม่ตรงกับสภาวธรรมของนิพพานฝ่ายเถรวาท ความเห็นที่มองจุดเป้าหมายสูงสุดถ้ามีความเชื่ออันเกิดจากความเห็นผิดในหนทางปฏิบัติเป็นสีลัพพตปรามาสนี้ด้วยแล้ว ก็ถือว่าเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้การปฏิบัติให้ถึงผลอันเป้าหมายของผู้เดินทางเกิดความผิดพลาดคลาดเคลื่อนต่อความเป็นจริงได้ซึ่งอุปมาได้กับ ผู้ที่จะเดินทางไปเชียงใหม่แต่ไม่รู้ว่าเชียงใหม่อยู่ทิศไหนด้วยเหตุฟังหรือเชื่อก่อให้มีความคิดผิดเป็นเหตุให้ต้องตีตั๋วรถทัวร์ผิด อาจจะตีตั๋วลงไปทางใต้การเดินทางของบุคคลดังกล่าวก็จะไม่ถึงที่หมายคือนิพพานได้เสียที การที่ไม่เข้าใจหนทางเดิน หรือ ทิศทางที่ถูกหรือไม่รู้ว่า พระนิพพานคืออะไร ก็เท่ากับเป็นการขวางทางเดินที่ถูกต้องของบุคคลนั้นได้เพื่อให้เกิดความเข้าใจในความหมายที่แท้จริงของพระนิพพานมีคำอธิบายไว้ในหลักฐานทางพระพุทธศาสนา ซึ่งแสดงความหมายของพระนิพพานไว้หลายนัยอาทิเช่น คำว่า โมกฺโข นิพพาน,โมกขธรรม,นิพพานเป็นที่หลุดพ้นจึงชื่อโมกขะ , นิพพานเป็นเครื่องหลุดพ้นจากราคะเป็นต้นจึงชื่อว่าโมกขะดังที่แสดงไว้ว่า
“ธรรมอันเป็นเหตุสิ้นไปแห่งกิเลสทั้งปวงสัตว์ผู้อันราคะย้อมแล้วถูกกองอวิชชาหุ้มห่อแล้วจักไม่เห็นธรรมอันละเอียดลึกซึ้งยากที่จะเห็นละเอียดยิ่งอันจะยังสัตว์ให้ถึงธรรมที่ทวนกระแสคือนิพพาน.[5]
หลักธรรมที่นำมาการปฏิบัติ
หนทางไปสู่เป้าหมายเพื่อขจัดความเห็นผิดข้ามพ้นสีลัพพตปรามาสเพื่อเข้าถึงมรรคผลนิพพานขอประมวลหลักธรรมที่นอกจากแสดงไว้ข้างต้นแล้วยังมีธรรมที่อนุเคราะห์การปฏิบัติดังนี้
๑.อริยทรัพย์ ๗เป็นหลักธรรมที่เป็นเครื่องนำพาชีวิตเราในจะแก้ไขให้ข้ามพ้นหรือขจัดซึ่งสีลัพพตปรามาส ที่สำคัญดุจทรัพย์ที่ประเสริฐหนุนนำให้ถึงพระนิพพานได้ชื่อว่าเป็นอริยทรัพย์
ซึ่งเป็นทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายในจิตใจ เพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่างๆทำใจให้ไม่อ้างว้าง ยากจน และเป็นทุนสร้างทรัพย์ที่ประเสริฐ อริยทรัพย์ ๗จึงเป็หลักธรรมที่มีอยู่ประจำใจอย่างประเสริฐ อันบุคคลนั้นได้สะสมอบรมมาเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นสีลพัตตปรามาสไปได้คุณธรรมประจำใจที่ประเสริฐนี้ชื่อว่าอริยทรัพย์ ๗ซึ่งเป็นที่ทรัพย์อันประเสริฐหรือทรัพย์ที่เป็นคุณธรรมประจำใจมีดังนี้
๑.ศรัทธา ความเชื่อที่มีเหตุผล มั่นใจในหลักที่ถือและในการดีที่ทำ
๒.ศีล การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ประพฤติถูกต้องดีงาม
๓.หิริ ความละอายใจต่อการทำความชั่ว
๔.โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว
๕.พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก
๖.จาคะ ความเสียสละเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
๗.ปัญญา ความรู้ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผลดีชั่วถูกผิดคุณโทษ [6]
“ธรรมที่เป็นอริยทรัพย์นี้ เป็นทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายในจิตใจดีกว่าทรัพย์ภายนอกเพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่างๆทำใจให้ไม่อ้างว้าง ยากจน และเป็นทุนสร้างทรัพย์ภายนอกได้ด้วยธรรม ๗ นี้ เรียกอีกอย่างว่า พหุการธรรม หรือธรรมมีอุปการะมาก” [7]
เพราะเป็นกำลังหนุนช่วยส่งเสริมในการบำเพ็ญคุณธรรมบารมีต่างๆยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้อย่างกว้างขวางไพบูลย์เปรียบเหมือนคนมีทรัพย์มากย่อมสามารถใช้จ่ายทรัพย์เลี้ยงตนเลี้ยงผู้อื่นให้มีความสุข และบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆได้เป็นอันมาก ธรรม ๗นี้เรียกอีกอย่างว่า” พหุการธรรม หรือ ธรรมมีอุปการะมาก” [8]
เพราะเป็นกำลังหนุนช่วยส่งเสริมในการบำเพ็ญคุณธรรมต่างๆยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้อย่างกว้างขวางไพบูลย์ เปรียบเหมือนคนมีทรัพย์มากย่อมสามารถใช้จ่ายทรัพย์เลี้ยงตนเลี้ยงผู้อื่นให้มีความสุข และบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆได้เป็นอันมาก
๒.อปัณณกปฏิปทา เป็นธรรมที่จะนำผู้ปฏิบัติให้ถึงความเจริญงอกงามในธรรมเป็นผู้ดำเนินอยู่ในแนวทางแห่งความปลอดพ้นจากทุกข์อย่างแน่นอนไม่ผิดพลาด
อปัณณกปฏิปทา ประกอบด้วยองค์ ๓คือ
ก.อินทรียสังวรการสำรวมอินทรีย์ คือระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมครอบงำใจเมื่อรับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง ๖
ข.โภชเน มัตตัญญุตาความรู้จักประมาณในการบริโภคคือรู้จักพิจารณารับประทานอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายใช้ทำกิจให้ชีวิตผาสุกมิใช่เพื่อสนุกสนาน มัวเมา
ค.ชาคริยานุโยคการหมั่นประกอบความตื่น ไม่เห็นแก่นอน คือขยันหมั่นเพียรตื่นตัวอยู่เป็นนิตย์ชำระจิตมิให้มีนิวรณ์พร้อมเสมอทุกเวลาที่จะปฏิบัติกิจให้ก้าวหน้าต่อไป[9]
๓.นวกภิกขุธรรม ๕ เป็นหลักธรรมแห่งการปฏิบัติสำหรับพระที่เพิ่งเข้ามาในธรรมวินัยที่มุ่งเข้าถึงพรหมจรรย์ หรือเป็นหลักธรรมที่ผู้ปฏิบัตินำมาใช้เพื่อมุ่งผลการปฏิบัติธรรมเพื่อให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างมั่นคง, ดำรงกรรมฐานให้เข้าถึงธรรม โดยมีองค์แห่งการปฏิบัติ ๕ อย่างดังนี้ ๑.ปาติโมกขสังวรสำรวมในพระปาติโมกข์ รักษาศีลเคร่งครัด ทั้งในส่วนเว้นข้อห้ามและทำตามข้ออนุญาต ถ้าเป็นฆราวาสให้มีศีลมั่นคง
๒.อินทรียสังวรสำรวมอินทรีย์ มีสติระวังรักษาใจ มิให้กิเลสคือความยินดี ยินร้ายเข้าครอบงำในเมื่อรับรู้อารมณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง ๖ มีเห็นรูปด้วยตาเป็นต้น
๓.ภัสสปริยันตะพูดคุยมีขอบเขต คือ จำกัดการพูดคุยให้น้อย รู้ขอบเขต ไม่เอิกเกริก
๔.กายวูปกาสะปลีกกายอยู่สงบคือเข้าอยู่ในเสนาสนะอันสงัด
๕.สัมมาทัสสนะปลูกฝังความเห็นชอบ คือ สร้างเสริมสัมมาทิฏฐิ [10]
การปฏิบัติเพื่อข้ามพ้นสีลัพพตปรามาสตามหลักธรรมนี้ ย่อมก่อให้เกิดความมั่งคงในการปฏิบัติพร้อม มีปฏิปทาที่เป็นส่วนที่มีแก่นสารหรือเนื้อแท้ถูกต้องและถูกทาง
๔.อุปัญญาตธรรม ธรรมเป็นที่ดำเนินไปสู่อริยมรรคจนบรรลุจุดหมายสูงสุด พระพุทธองค์ได้ทรงอาศัยธรรมนี้เพื่อบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ อันมีองค์คุณ ๒ ประการคือ
ก.อสนฺตุฏฺฐิตา กุสเลสุ ธมฺเมสุ ความไม่สันโดษในกุศลธรรม, ความไม่รู้อิ่มไม่รู้พอในการสร้างความดีและสิ่งที่ดี
ข.อปฺปฏิวาณิตา ปธานสฺมึ ความไม่ระย่อในการพากเพียร, การเพียรพยายามก้าวหน้าเรื่อยไปไม่ยอมถอยหลัง [11]
๕.วุฑฒิธรรมบุคคลที่ประสงค์จะเจริญสติปัฏฐานและข้ามพ้นสีลัพพตปรามาสได้จะต้องสร้างธรรมอันเป็นเครื่องเจริญหรือคุณธรรมที่ก่อให้เกิดความเจริญงอกงามเรียกว่า
วุฑฒิธรรม ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการคือ
๑.สัปปุริสังเสวะคบหาสัตบุรุษ, เสวนาท่านผู้รู้ผู้ทรงคุณ
๒.สัทธัมมัสสวนะฟังสัทธรรม,เอาใจใส่เล่าเรียนหาความรู้จริง
๓.โยนิโสมนสิการทำในใจโดยแยบคาย,คิดหาเหตุผลโดยถูกวิธี
๔.ธัมมานุธัมมปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม,ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้องตามหลัก คือ
ให้สอดคล้องพอดีตามขอบเขตความหมายและวัตถุประสงค์ที่สัมพันธ์กับธรรมข้ออื่นๆ นำสิ่งที่ได้เล่าเรียนและตริตรองเห็นแล้วไปใช้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักตามความมุ่งหมายของสิ่งนั้นๆธรรมที่เป็นไปเพื่อปัญญาวุฒิเพื่อความเจริญงอกงามแห่งปัญญา[12]
๖.จักร เป็นธรรมปฏิบัติที่ยังผู้เจริญวิปัสสนาจะนำพาชีวิตของตนไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองดุจล้อนำรถไปสู่ที่หมาย จักร ๔ ประกอบด้วย
๑.ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในถิ่นที่ดี มีสิ่งแวดล้อมเหมาะสม
๒.สัปปุริสูปัสสยะ สมาคมกับสัตบุรุษ
๓.อัตตสัมมาปณิธิตั้งตนไว้ชอบ, ตั้งจิตคิดมุ่งหมาย นำตนไปถูกทาง
๔.ปุพเพกตปุญญตาความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ก่อนแล้ว, มีพื้นเดิมดี, ได้สร้างสมคุณความดีเตรียมพร้อมไว้แต่ต้น [13]
ธรรม ๔ ข้อนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพหุการธรรมคือธรรมมีอุปการะมาก เป็นเครื่องช่วยให้สามารถสร้างความดีอื่นๆ ทุกอย่าง และช่วยให้ประสบความเจริญก้าวหน้าในชีวิต บรรลุความงอกงามไพบูลย์.
๗.สัมปรายิกัตถสังวัตตนิกธรรม คือการปฏิบัติธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์เบื้องหน้าอันหลักธรรมอันที่จะอำนวยประโยชน์สุขขั้นสูงขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อการเจริญวิปัสสนาในการข้ามพ้นสีลัพพตปรามาส มีหลักธรรมอันว่าด้วยสัมปรายิกัตถสังวัตตนิกธรรมมี ๔อย่างดังนี้
ก.สัทธาสัมปทาถึงพร้อมด้วยศรัทธา
ข.สีลสัมปทาถึงพร้อมด้วยศีล
ค.จาคสัมปทาถึงพร้อมด้วยการเสียสละ
ง.ปัญญาสัมปทาถึงพร้อมด้วยปัญญา [14]
๘. อนุตตริยะ การดำเนินตามวิถีชีวิตโดยอาศัยหลักธรรมเหล่านี้ เป็นศีลวัตรในการนี้ชื่อว่าเป็นสิ่งจำเป็นและสิ่งที่เป็นไปได้ เพราะว่ามนุษย์และโลกเป็นอย่างนั้นๆนั่นเอง วิถีชีวิตดังกล่าวที่ปฏิบัติหนทางเพื่อข้ามพ้นสีลัพพตปรามาสเจริญวิปัสสนาจะช่วยให้คนได้บรรลุถึงซึ่งความดีสูงสุดการปฏิบัติและความเข้าถึงผลที่เยี่ยม อนุตตริยะเป็นภาวะอันยอดเยี่ยม ในการเห็นเป็นการปฏิบัติเพื่อข้ามพ้นสีลัพพตปรามาส อนุตตริยะ มี ๓ ประการ คือ
๑.ทัสสนานุตตริยะการเห็นอันเยี่ยมปัญญาอันเห็นธรรมหรืออย่างสูงสุดคือเห็นนิพพาน
๒.ปฏิปทานุตตริยะการปฏิบัติอันเยี่ยม ได้แก่ การปฏิบัติธรรมที่เห็นแล้วกล่าวให้ง่ายหมายเอามรรคมีองค์ ๘
๓.วิมุตตานุตตริยะ การพ้นอันเยี่ยม ได้แก่ ความหลุดพ้นอันเป็นผลแห่งการปฏิบัตินั้นคือความหลุดพ้นจากกิเลสและทุกข์ทั้งปวง หรือนิพพาน [15]
๙. สัปปายะ ธรรมที่ทำเกิดความสบายท่านผู้ประกอบด้วยสัทธรรม ๗ มีความคิดอย่างสัตบุรุษ มีการประพฤติปฏิบัติตนทำอย่างสัตบุรุษ มีความเห็นอย่างสัตบุรุษ คือ มีสัมมาทิฏฐิที่เรียกว่า สัปปุริสทิฏฐิพระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงการให้เป็นผู้รู้จักเหตุและผลในการกระทำดังนี้ ดังที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสว่า
“ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้๑.เป็นผู้รู้จักเหตุ ๒. เป็นผู้รู้จักผล ๓.เป็นผู้รู้จักตน๔. เป็นผู้รู้จักประมาณ๕. เป็นผู้รู้จักกาล๖. เป็นผู้รู้จักบริษัท๗.เป็นผู้รู้จักบุคคล “[16] ปัจจัยสำคัญที่จะให้มีโอกาสได้พบกับทางสายแห่งความพ้นทุกข์และข้ามพ้นสีลัพพตปรามาสได้นั้นเรียกว่า สัปปายะหรือสิ่งที่ทำเกิดความสบายมี ๔อย่าง คือ
๑. การปฏิบัติวิปัสสนา หาที่เป็นสัปปายะ
๒. บุคคลเป็นที่สัปปายะ เพราะเป็นเสมือนผู้นำทางให้แก่คนผู้หลงทาง
๓. อาหารเป็นที่สัปปายะนั้น
๔. ธรรมสัปปายะ [17]
บุคคลเป็นที่สัปปายะในคัมภีร์วิสุทธิมรรคได้อ้างถึงลักษณะของบุคคลเป็นที่สบายอันเป็นผู้นำทางให้แก่คนผู้หลงทางที่เรียกว่ากัลยาณมิตร
หลักธรรมเหล่านี้เมื่อผู้ปฏิบัติมีความเพียรปฏิบัติ ย่อมยังประโยชน์สามารถนำพาชีวิตข้ามพ้นสีลัพพตปรามาสไปได้
ประโยชน์ที่ได้จากการข้ามพ้นสีลัพพตปรามาส
การมีชีวิตที่ยังลูบคลำศีลพรตอยู่ร่ำไป
การมีชีวิตถือศีลพรตหรือวัตรที่ปฏิบัติกันต่างๆนี้ก่อให้เกิดความเชื่อและให้ปฏิบัติตามกัน
สร้างลัทธิความเชื่อต่างๆ อย่างมากมาย ซึ่งบางลัทธิปรารถนาความหลุดพ้นด้วยการประพฤติที่เน้น
การทรมานตนเบาบ้างมากบ้าง บางลัทธิปรารถนา มีอิทธิฤทธิ์บางลัทธิปรารถนาความหมดจดด้วยอารมณ์ย่อมเชื่อถือความหมดจดความหมดจดวิเศษ
ความหมดจดรอบ ความพ้นความพ้นวิเศษ ความพ้นรอบด้วยเหตุสักว่าศีลและวัตร
พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นวัตรปฏิบัติที่ผิด
เป็นมรรคอื่นหรือมรรคที่นอกธรรมวินัยนี้เป็นมรรคอันไม่หมดจด เป็นปฏิปทาที่ผิด
เป็นวัตรนอกพระพุทธศาสนาสิ่งเหล่านี้จะหมดสิ้นไปจากขันธสันดานของบุคคลที่ขจัดและข้ามพ้นจากสีลัพพตปรามาสได้
เป็นผู้ประเสริฐเป็นอริยชนก่อเกิดประโยชน์ที่ได้จากการข้ามพ้นสีลัพพตปรามาส
ประวัติผู้รวบรวมเรียบเรียงเขียน
ชื่อสกุล นายธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี
[1] ขุ.อ. ๒๕/๗๖/๙๘.
[2] พระธรรมปิฎก ( ป.อ. ปยุตฺโต ), พุทธธรรม, อ้างแล้ว, หน้า ๑๒๕.
[3] พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม, อ้างแล้ว, หน้า ๒๓๒.
[5] วิ.มหา. ๔/๗/๗.
[6] ที.ปา. ๑๑/๓๒๖/๒๕๓; องฺ.สตฺตก.๒๓/๖/๕.
[10] องฺ.ปญฺจก. ๒๒/๑๑๔/๑๓๘-๑๓๙.
[11] ที.ปา. ๑๑/๒๒๗/๑๙๐; องฺ.ทุก. ๒๐/๒๕๑/๕๘.
[15] ที.ปา. ๑๑/๒๒๘/๑๙๑; ม.มู. ๑๒/๔๐๒/๓๐๗.