บทเรียนจากพ่อ


แล้วพ่อก็มาถามผม แบบหยั่งเชิง ว่า “จะไปเรียนหนังสือ หรือจะมาเลี้ยงวัว” เพราะพ่อก็มีสมบัติให้ลูกอยู่แค่นี้

ในฐานะที่ผมเป็นลูกคนที่ 6 เกิดมาเมื่อปี 2493 ตอนที่ครอบครัวได้ดำเนินการพัฒนาครอบครัวจนสำเร็จไปหลายเรื่อง
และค่อนข้างลงตัวพอสมควรแล้ว ทำให้ผมได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงตัวอย่างดีๆ แนวทางการดำเนินชีวิตที่พ่อแม่
และพี่ๆ ได้ทำไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียนอย่างมีเป้าหมายชีวิต
เพราะตอนผมเข้าโรงเรียนชั้นประถมปีที่ 1 นั้น พี่ชายคนโต เป็นนิสิตอยู่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปีที่ 2 แล้ว

วันที่พี่ชายผมเดินทางไปฝึกงานที่ปักธงชัย
โดยทางรถไฟ แม่ผมก็ยังพาผมมาดักรอ พร้อมมะปรางใส่ชะลอม มารอส่งให้พี่ชายในช่วงรถไฟหยุดให้คนขึ้นลงที่สถานีรถไฟกุดจิก
และเป็นวันแรกที่ผมเห็นชัดๆ และจำหน้าพี่ชายคนโตได้ เพราะก่อนหน้านั้น
แทบไม่เคยพบกันเลย ผมไปอยู่กับพี่สาวที่แต่งงานใหม่ ไม่มีลูก
จึงเลี้ยงผมมาเป็นส่วนใหญ่ ผมเกิดตอนพี่ชายไปเรียนกรุงเทพแล้ว แม่เคยเล่าให้ฟังว่า
ตอนผมเกิดใหม่ๆ พี่ชายกลับมาเยี่ยมบ้าน พบผมนอนแบเบาะอยู่ ได้ถามแม่ว่า “ลูกใคร?”

ตั้งแต่นั้นมา “ภาพฝัน”
ในชีวิตของผมก็ชัดเจนขึ้น ครูที่สอนก็จะย้ำกับผมบ่อยๆในเรื่องการเรียนนี้ และกลายเป็นศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล
ทำให้ผมรู้สึกว่า ชีวิตผมควรจะเดินไปทางใด และสู้แบบไหนจึงจะรอด

สิ่งที่พ่อผมพยายามย้ำกับผมเรื่อยๆ
แบบชี้นำ แต่ไม่บีบบังคับก็คือ


จะบอกให้ผมไปช่วยเลี้ยงวัว
เลี้ยงควาย และกิจกรรมอื่นๆ จนผมพอรู้ว่าทำอะไร น่าจะมีโอกาสและปัญหาอย่างไร

แล้วพ่อก็มาถามผม แบบหยั่งเชิง ว่า “จะไปเรียนหนังสือ หรือจะมาเลี้ยงวัว”

เพราะพ่อก็มีสมบัติให้ลูกอยู่แค่นี้

ตอนนั้นผมก็อ่านใจท่านไม่ออก
นึกว่าแค่ลองใจ เพราะคำตอบที่พ่อผมคิดไว้นั้น ชัดเจน แบบไม่ต้องสงสัยมานานแล้ว ว่าผมควรจะทำอะไร
และพยายามที่จะเป็นอะไร

ที่ผมมาทราบตอนหลัง
ในช่วงที่ผมสืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อทำประวัติ ความคิด
และแผนชีวิตของพ่อผม เพื่อทำหนังสือแจกในวันงานเผาศพพ่อผม เมื่อเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2538

การสืบค้นข้อมูลที่ส่วนใหญ่มาจากความทรงจำของญาติพี่น้อง
พี่ ป้า น้า อา และเพื่อนบ้านทุกคนที่พอจะจำความได้ นำมาคัดกรอง ปะติดปะต่อ
สร้างภาพฝัน หรือที่ฝรั่งว่า Scenario
ว่าน่าจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงไหน
ที่ทั้งมีผม และไม่มีผมอยู่ในเหตุการณ์ ทำให้ผมได้ทราบ ความน่าจะเป็น
และความน่าจะจริงกว่า ของความคิดของพ่อผม และการพัฒนาชีวิต
การสอนลูกที่ผ่านมาอย่างชัดเจนพอสมควร

 

พ่อของผมเกิดมาช่วงที่ย่าผมไม่ค่อยสบาย
จึงเป็นเด็กขาดอาหาร ตัวค่อนข้างเล็ก พอวัยหนุ่มก็หาทางพัฒนาชีวิตมาจากการบวชเรียน
ย้ายไปอยู่หลายวัด วัดละพรรษา ทั้ง 5 พรรษา เพื่อการเรียน

เมื่อสึกออกมาแต่งงานกับแม่ผมนั้น
ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆเลย ได้ความช่วยเหลือจากน้าชาย (พ่อใหญ่บุญ หวยสูงเนิน) ที่เป็นน้าเขยของแม่ผม
เป็นพ่อสื่อ และเป็นตัวประกันให้ แม้แต่สินสอด ก็ยอมให้ผ่อน
ที่ทราบจากเพื่อนรุ่นน้องของแม่ ที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ข้อมูลว่า เพื่อนๆของแม่
ไม่มีใครเห็นด้วย มีแต่คนรังเกียจพ่อผมว่า เป็นคน ตัวเล็ก ไม่มีสง่า และแถมยัง “จน”
อีกด้วย

แต่พ่อผมก็ได้ฝ่าด่านสำคัญก็คือการเข้าหาผู้ใหญ่
เป็นตัวช่วย จนสำเร็จ ได้แต่งงานกับแม่ผม และแถมคุณยาย (แม่ใหญ่จิบ กิมสูงเนิน)
ยกที่นาให้อีก 4 ไร่ และที่สร้างบ้านอีก 2 งาน ที่พ่อผมต้องไปหาไม้มาสร้างเอง
ตอนแรก ก็ต้องอยู่บ้านตายายไปก่อน กับน้องสาวอีกคนที่เป็นคนเลี้ยงพ่อแม่
ที่ได้มรดกมากกว่าแม่ผมอีก จากการวิเคราะห์สถานการณ์ พ่อผมคงต้องดูแลเอาใจใส่ พ่อตาและแม่ยายพอสมควร
จึงได้มรดกที่นา 4 ไร่ดังกล่าว

การหาไม้มาสร้างบ้าน
สมัยโน้นก็ไปหาตัดเอาจากในป่า ที่ทำคนเดียวไม่ได้ ต้องช่วยกันหลายคน
จึงต้องจับกลุ่ม หาเพื่อนไปทำ แล้วแบ่งกัน จึงต้องมีเพื่อนรู้ใจ มีที่พักพิง
ที่ได้ไปอาศัยญาติทางปู่ของผมที่บ้านหนองสรวง กุ่มพญา ทำเฉพาะช่วงว่างในฤดูแล้ง ทำแล้วก็ใช้ “ล้อ”
ที่ลากด้วยควาย ขนมาไว้ที่บ้าน

ทำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี
หาคนช่วยกันตัด ถาก และเลื่อยไม้

ปีแรก

ได้เสาถากเรียบร้อย ครบ 16 ต้น

ปีที่สอง
ได้ไม้เครื่อง ทั้งเครื่องบนเครื่องล่าง
ที่ต้องใช้เวลาเลื่อยค่อนข้างยาวนานพอสมควร ต้องหาเพื่อนช่วยกันมากขึ้น

 

ปีที่สาม
ได้กระดานพื้น ที่เป็นไม้เนื้อแข็งเลื่อยยาก งานหนัก

 

ปีที่สี่ ได้กระดานฝา
ที่เป็นไม้เนื้ออ่อน เลื่อยงายหน่อย

 

ปีที่ห้า เกี่ยวหญ้ามาทำหลังคา
และเตรียมสร้างบ้าน

พอกำลังสร้างบ้านจะเสร็จ
แม่ผมก็คลอดพี่ชายคนที่สอง ที่เป็นลูกคนที่สามของพ่อแม่ ในปีช่วงต้นปี 2482
ใช้เวลาเตรียมการและก่อสร้างบ้านทั้งสิ้นประมาณ 8 ปี

ในการเริ่มต้นชีวิตนั้น
พ่อผมก็ต้องหายืมควายมาไถนา และในที่สุดก็หาซื้อเป็นของตนเอง
ที่ต้องใช้เวลาอีกสองสามปีกว่าจะได้

เมื่อแยกครอบครัวออกมา
พ่อของผมได้ตำรายาแผนโบราณมาจากต้นตระกูล เลยคิดจะมาเอาดีทางเป็นหมอยา
ไปลงทุนหาสมุนไพร และไปซื้อตัวยาที่หาไม่ได้จากตลาดมาเพิ่มเติม ได้ผลดีมาก
แต่มีแค่ญาติพี่น้อง และคนเจ็บป่วยยากจนมาขอ “ยาขอ หมอซื้อ” ไม่มีคนซื้อ
เลยไปไม่รอด จึงเลิกกิจกรรมนี้ และยกตำรายาให้น้องชาย (อิน รวยสูงเนิน)
ไปทำขายจนตั้งตัวได้ที่หลังวัดผักปัง อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ

ในช่วงที่พี่ชายคนที่สองคลอด
เมื่อ 2482 แม่ไม่ค่อยสบาย ไม่มีน้ำนมให้ลูก พ่อผมก็เลยต้องไปตลาดบ่อยๆ
เพื่อซื้อนมที่ตลาดมาให้พี่ชายผม ทำให้มีคนฝากซื้อของบ่อยๆ ตอนแรกก็แค่หิ้ว
ตอนหลังถึงกับแบก และหาบในระยะต่อๆมา เลยได้ความคิดว่าน่าจะซื้อมาขายซะเลย
และมีอะไรก็ซื้อจากบ้านไปขายตลาดอีกด้วย

ทำให้เริ่มคิดเรื่องค้าขายระหว่างหมู่บ้านกับตลาดกุดจิก
โดยไปซื้อของมาขายทุกวัน แม่คอยนั่งขายอยู่ที่บ้าน
จนเป็นเส้นทางให้กลุ่มคนจีนในตลาดมาตั้งร้านค้าในหมู่บ้าน ค้าขายแข่งกัน
กิจการของพ่อเจริญรุ่งเรืองมาก กล้าคิดที่ส่งลูกเรียนหนังสือ จึงวางแผนกับแม่
ให้น้าไปปูทางให้พี่ชายคนโตเข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ ประมาณ ปี 2488
จนพร้อมที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพปี 2491 แต่มีปัญหาเรื่องการทำบัญชี
ทำให้มีเงินหายออกไปจากระบบแบบไม่รู้ตัว จนเริ่มจะขาดทุน พร้อมๆกับมีคู่แข่งเกิดขึ้นมา
ประมาณปี 2495 พ่อจึงเบนเข็มไปทางการเลี้ยงสัตว์ และทำสวน

โดยการซื้อที่สวนที่บ้านกุดปลาเข็งไว้ทำคอกวัว
และใช้ปุ๋ยคอกในการปลูกผักชนิดต่างๆ และ ที่สำคัญก็คือ การปลูกยาสูบ
ที่เป็นพืชที่ปลูกยาก ดูแลยาก มีรายละเอียดการจัดการมาก

ยาสูบต้องการดินที่มีปุ๋ยคอกมาก
แต่ต้องไม่มีความเค็มจากปุ๋ยคอก สมัยก่อนพ่อเป็นคนสูบยา (มาเลิกสูบตอนอายุ 50
กว่าๆ) พ่อจึงเรียนรู้ว่า ดินขนาดไหน ปลูกยาสูบแล้วคุณภาพดี
ที่ใช้การทดลองมาหลายปี ทั้งการใส่ปุ๋ยคอก
และการหมุนเวียนย้ายคอกวัวไปในส่วนต่างๆของสวน รวมทั้งที่ของญาติพี่น้องที่ให้ยืมปลูกยาสูบ
ที่ทำให้ยาสูบที่พ่อปลูกเป็นที่นิยมมาก มีชื่อเสียง ไปไหนใช้แทนเงินได้ และแลกอะไรก็ได้
แม้แต่ไปตัดผมสมัยเด็กๆ ผมก็ถือยาเส้นไปมัดหนึ่ง ตัดแล้วไม่ต้องจ่ายเงิน เป็นต้น

คุณภาพยาสูบนี่มีคนพยายามจะเลียนแบบ
แต่ไม่สำเร็จ เพราะเขาไม่ละเอียดอ่อนพอ ดังนั้นระบบการปลูกยาสูบในสมัยโน้น ครอบครัวของผมเลยผูกขาดมาตลอด
จนเลิกทำสวน เมื่อประมาณปี 2510 และเลิกกิจกรรมการเลี้ยงวัวในปี 2518

 

ในระหว่างการทำสวน
และเลี้ยงวัว พ่อผมทำสาโทต้มเหล้าขายด้วย (แต่พ่อผมไม่ดื่มเหล้า ทำขายอย่างเดียว
อย่างมากแค่ชิม ตอนปรุงรสให้มีระดับแอลกอฮอล์พอดี)ที่เป็นกิจกรรมที่ละเอียดอ่อนอีกเช่นกัน
ทำไม่ดี จะได้น้อย และคุณภาพต่ำ ไม่เป็นที่นิยม

การทำสาโทมักจะมีคนแอบมาขโมย
พ่อจึงต้องปลูกต้นลำโพงที่เชื่อกันว่ามีเมล็ดไว้ที่กระท่อม ไว้ขู่ว่าใครกินสาโทที่ขโมยจากพ่อผมไปจะเป็นบ้า
ก็ปรามได้พอสมควร

นอกจากการเลี้ยงวัวปลูกผักแล้ว
พ่อผมยังเป็นนักหาปลาที่หาได้พอกินทั้งปี ช่วงที่หาบของไปขายที่ตลาด
ขากลับจะได้ปลากลับบ้านมาเสมอ ตอนเย็นหลังจากเลี้ยงวัว ก็จะไปทำจั่นดักปลาช่อนไว้ริมน้ำ
ช่วงน้ำหลาก ถ้ามีเวลามีคนไปเลี้ยงวัวแทน ก็จะไปนั่ง “จิบ” (ที่เป็นถุงดักปลา
เวลาปลาเข้าไปติดจะรู้สึก ก็ยกขึ้น) ช่วงน้ำท่วมบ้านก็ทำตุ้มดักปลา
ช่วงน้ำแห้งก็ทำไหหรือดักปลา ในฤดูแล้งก็ทำ “มอง” (ตาข่ายดักปลา)เอง นับว่าครบทุกรูปแบบ
ทุกสถานการณ์ ครอบครัวเราจึงไม่เคยขาดแคลนอาหารโปรตีน
นอกเหนือไปจากผักธรรมชาติอื่นๆอีกมากมายต่อเนื่องทั้งปี

สิ่งที่พ่อผมได้มีการวางแผนและดำเนินการพัฒนาชีวิตอย่างเข้าใจหลักการของการมีชีวิตอยู่กับธรรมชาติใช้ธรรมชาติเป็นตัวสะสมทุนจากทรัพยากรรอบตัวที่มี

และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ
การใช้ความรู้นำทาง และพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่องการสังเกตและการเรียนรู้หาเพื่อน หาคนช่วย หาเครือข่าย ดำเนินงานตามขีดความสามารถจากเล็กไปใหญ่การทำตามกำลังที่มีโดยลำดับ

การตัดสินใจจะทำหรือไม่ทำอะไรนั้น
ใช้หลักการจำแนกสิ่งสำคัญกว่าในชีวิต เพื่อสร้างกำลังใจ และการสร้างความภูมิใจในตนเอง
ดังเช่นในกรณีของ การสร้างบ้านการประกอบอาชีพแบบลดความเสี่ยง

เมื่อหันมาทำการเกษตรก็คิดเริ่มต้นทำจากเล็กไปใหญ่
มีการขุดบ่อเก็บน้ำ ดักปลาธรรมชาติด้วยแรงงานของตนเอง เลี้ยงปลาเป็นคนแรกๆของพื้นที่

เมื่อมีน้ำ ก็ปลูกพืชที่ตลาดต้องการ
ไม่เลียนแบบใคร ทำในสิ่งที่ตัวเองมีความรู้พอ ถ้าไม่พอ ก็หาเพิ่มจนพอ ผสมผสานการทำสวน
เข้ากับกิจกรรมการเลี้ยงสัตว์การปรับปรุงบำรุงดิน และการวางแผนชีวิต

ทั้งนี้
พ่อของผมอาจจะได้จาก การบวชเรียนมีและใช้หลักธรรมะในการแก้ปัญหาในครอบครัวเมื่อกิจกรรมใดๆ เช่น การทำการค้าล้มเหลว ก็หันไปใช้ชีวิตที่เสี่ยงน้อยกว่า
หรือไม่เสี่ยง การทำตัวเป็นหมอยา ไม่สำเร็จ ก็ยกไปให้คนอื่นทำ ไม่หวงความรู้
และไม่ปิดกั้นว่า เมื่อตัวเองทำไม่ได้ คนอื่นก็ต้องทำไม่ได้

มีการพัฒนาการอยู่ร่วมกันในสังคม
โดยสอนลูกเสมอว่า ให้ช่วยเหลือสังคมเฉพาะในส่วนที่เรามีความสามารถ ภายใต้คำว่า “ไม่รู้
อย่าชี้” และเน้นการทำบุญทำทานการสอนลูกๆ ให้รู้จักการสร้างคุณค่าให้กับตัวเอง

และการอยู่ร่วมกัน
จะสงบได้ก็ด้วยการให้อภัย ให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเอง ที่จะเป็น “การศึกษา”
ที่แท้จริง

แม้เมื่อพ่อผมอายุมาก
ท่านก็เน้นการออกกำลังกายสม่ำเสมอ การกินอาหารที่มีคุณค่า ไม่ต้องเน้นรสชาติ
ที่ท่านสอนว่า “เวลาหิว อะไรก็อร่อย ถ้าไม่อร่อยแสดงว่าไม่ค่อยหิว”

ท่านยังได้สอนจากบทเรียนของท่านเอง
ที่เลิกสูบบุหรี่ได้โดยง่ายเมื่ออายุประมาณ 50 กว่าๆ สิ่งเสพติดอื่นๆ ก็ไม่มี
ไม่มีการดื่มเหล้า อย่างมากก็แค่ชิมเพื่อการผลิตและขายเท่านั้น ท่านไม่เล่นการพนัน
ไม่เคยซื้อหวย เรียนและสอนธรรมะ และการปฏิบัติธรรมจนกระทั่งทำตัวเป็นตัวอย่างให้ลูกหลานรู้ว่า การเป็นคนแก่ที่ดีนั้น
ควรจะเป็นอย่างไร

 

นี่คือสิ่งผมได้เรียนรู้จากการทำตัว
และการสอนของพ่อผมจากการปฏิบัติตัวของท่านเอง

 

หวังว่าจะพอเป็นกรณีตัวอย่างได้บ้าง

หมายเลขบันทึก: 511613เขียนเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 14:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 ธันวาคม 2012 11:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

งดงามกับคำพ่อ (ของอาจารย์) ที่สอนมานะครับ...พ่อทุกคนมีคำสอนที่มีค่าให้ลูกเสมอครับ...เตี่ยของผมก็เช่นกัน...ที่ชอบบอกผมเสมอว่า..."เรียนหนังสืออย่างเดียว...เดี๋ยวก็ปลูกถั่วปลูกงาไม่เป็น"...ตอนแรกๆ เด็กๆ ไม่เข้าใจ...อยากให้ผมเป็นชาวนาชาวสวนหรือ...เพิ่งแปลออกครับ...คือ อยากให้เราไปทำอย่างอื่นบ้าง...เป็นจิตอาสาบ้าง...ในยามเรียนบ้าง...เพราะพอเราเรียนจบ...เราจะมีโอกาสที่ได้ทำน้อย....คาราวะอาจารย์ในฐานะพ่อด้วยนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท