นักปราชญ์ไทยมีมาก แต่ชาวไทยไม่น้อยทำไมยัง "โง่ขนาดหนัก" อยู่


เมื่อ ๒ วันที่แล้ว หลังจากที่ผมเรียนหนังสือเสร็จ ซึ่งขณะเรียนก็เข้าใจเนื้อหาที่อาจารย์สอนเป็นอย่างดี  จึงยังไม่ทบทวนเรื่องเรียนในตอนนี้  แต่ไปหาอะไรแจ่มๆ ประดับความรู้ดีกว่า ซึ่งก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก ในยูทูป แค่นี้เอง  วันนั้นนึกอยากจะฟังธรรมขึ้นมา  ก็เลยเสิร์ซไปที่ พระอาจารย์ ว. ชิรเมธี ซึ่งในความคิดผมท่านก็เป็นนักปราชญ์ท่านหนึ่ง มีรายการมาสัมภาษณ์ท่าน  ซึ่งคำถามที่ถูกส่งไปหาท่านนั้น ท่านตอบออกมาอย่างทันทีทันใด ซึ่งบางคำถามก็ส่อจะให้ท่านตอบได้ยาก แต่ท่านตอบออกมาได้ทะลุใจผมเหลือเกิน ชัดเจน ด้วยถ้อยคำไม่มากแต่คมกริบ ดั่งพระนาคเสนยังไงยังงั้น ท่านแสดงให้เห็นถึงความปราดเปรื่อง น่าเลื่อมใส

จากนั้นท่านก็พูดถึงงานของ พระพรหมคุณภรณ์ ( ป.อ.ปยุตโต) ซึ่งผมเคยเห็นหน้าท่านแต่ไม่เคยได้ติดตามผลงานท่านเลย คราวนี้ได้โอกาส ผมก็ตามไปดู ปรากฏว่าโอ้โห เจอนักปราชญ์อีกแล้ว ทั้งท่วงที การพูด บุคลิก สง่างามมาก ท่านทำงานเยอะมากให้กับ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ท่านมีความรู้มาก ทางธรรมไม่ต้องพูดถึง ทั้งทางโลกท่านก็รู้ รู้ลึกด้วย ภาษาอังกฤษท่านไม่ได้เรียนในโรงเรียน แต่ท่านศึกษาเอาเองจน พูด อ่าน เขียนได้ ด้วยที่ท่านมีความรู้สูง แต่ท่านก็ถ่อมตนอยู่เสมอ มีมหาวิทยาลัยชื่อดังในแถบยุโรปก็เคยเชิญท่านไปเป็นอาจารย์ด้วย แถมยังมีงานเขียนอันเลื่องชื่อของท่านอีก แต่ที่เป็นชิ้นเอกก็คงต้องเป็น "หนังสือพุทธธรรม" ซึ่งเป็นหนังสือที่ย่อพระไตรปิฎกที่มีความยาวมากให้อยู่ภายในเล่มเดียว แต่ยังคงความสมบูรณ์ของเนื้อหาไว้ ที่ท่านนั้นตั้งใจทำด้วยความปราณีต  จนทำให้ผมต้องหามาอ่าน

จากนั้นเริ่มติดลม ฟังธรรมของพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ต่ออีก สำหรับท่านนี้ผมติดตามงานบรรยายธรรมของท่านมาได้ประมาณ ๒-๓ ปีแล้ว เพราะรู้สึกหลงไหลกับน้ำเสียงในการบรรยายธรรมของท่าน (ไม่เชื่อลองเสิร์ซในยูทูปฟังดูสิ ฟังแล้วไม่มีคำว่าง่วง)  และเป็นผู้มีความรู้สูงมากอีกท่านหนึ่ง สามารถอธิบายธรรมบางอย่างที่เข้าใจได้ยาก ให้เข้าใจได้ง่าย ท่านจึงเป็นนักปราชญ์ในใจผมเสมอมา  ซึ่งเคยมีความคิดว่าจะไปปฏิบัติธรรม ที่วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ สักครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้ไปเสียที รวมเวลาที่ใช้ในการฟังธรรมครั้งนี้ไปทั้งหมดราว ๗ ชั่งโมง อย่างเพลิดเพลินเจริญใจ

ในส่วนที่เป็นฆาราวาสก็มีมากที่เป็นผู้มีความรู้สูง และมีจิตใจที่น่ายกย่อง เช่น อ. สุลักษณ์ ศิวลักษณ์  อ. เดชา ศิริภัทร อ. ทวิช จิตรสมบูรณ์  เป็นต้น ต่างก็เป็นนักปราชญ์ในใจผม ถึงตอนนี้ผมอาจเป็นแค่เด็กที่หูตายังไม่กว้าง แต่ผมเชื่อว่าในเมืองไทยเรายังมีนักปราชญ์อีกเยอะ ทั้งไทยเราเป็นเมืองพุทธที่สอนให้คนใช้ปัญญามาแต่ไหนแต่ไร และสังเกตได้จาก ในอดีตประเทศไทยมีพระอรหันต์หลายรูปมาแล้ว (ท่าน อ. ทวิช เคยบอกว่า ประเทศไทยมีพระอรหันตร์ต่อหัวประชากรมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆของโลก)   ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะสันนิษฐานว่าประเทศไทยเป็นแหล่งที่มีผู้รู้            ผู้ปราดเปรื่อง อยู่มากที่เดียว....................................แต่ทำไม...........................................................................

แต่ทั้งที่เมืองไทยเป็นเมืองพุทธซึ่งสอนให้ใช้ปัญญาการดำเนินชีพ และมีนักปราชญ์มากมายที่อยู่แผ่นดินนี้ แต่ทำไมชาวไทยเราจำนวนไม่น้อย เป็นยังงี้ คือ "_"  ขอใช้คำว่า "โง่ขนาดหนัก" แล้วกัน มันดุเดือดดี ^__^ คำว่าโง่ขนาดหนัก ที่ผมพูดถึง มีความหมายหลายอย่างปนกัน เช่น พ่อ-แม่โง่ขนาดหนักก็คือพ่อ-แม่ที่ตามใจลูกจนเกินไป (ซื้อรถยนต์ให้เด็กใช้ก่อนวัยอันควร,ไม่เคยให้ลูกได้เจอกับความยากลำบากเลย,จนทำให้เด็กรักความสบายกลายเป็นเด็กขี้เกียจ,เป็นคนเห็นแก่ตัว,เป็นคนกร้าวร้าวแต่ใจเสาะ อันนี้มีไม่น้อย)  ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นโง่ขนาดหนักก็คือเป็นเด็กที่วันๆไม่ได้สนใจอะไร นอกจากเรื่องแฟน ชู้-สาว ไอ้โน่นหล่อเท่ อีนี่ขาวใส  เล่นเกมทั้งวัน อันนี้มีเยอะมากๆ ดูแล้วช่างน่าสงสาร   ถ้าเป็นพวก ส.ส.โง่ขนาดหนักที่ได้รับเลือกตั้งจากการซื้อเสียงไอ้เด็กติดเกมเมื่อกี้ ก็คือเป็น ส.ส.ที่ทำอะไรไม่เป็นเลย นอกจากทำประโยชน์ของมัน และนายมัน อันนี้ไม่ต้องถามว่ามีมากหรือเปล่า   ถ้าเป็น รมต.โง่ขนาดหนัก(ผมว่าไม่ได้โง่หรอก น่าจะบอกว่าเรวดีกว่า ฮ่าๆๆๆ)  ก็คือ ยินยอมพร้อมใจให้นายทุนต่างๆ ไม่ว่าจะในชาติเราเอง หรือต่างชาติมาสูบเลือดคนไทยเรา ที่ทำการค้าแบบไม่ยุติธรรม ขูดเลือด ขูดเนื้อ บางทีก็ถึงกับไปเชิญเขามาดูดเลือดตัวเองอีกด้วย   ไม่รู้อยากได้อะไรนักหนา  แล้วก็อ้างว่าเป็นการสร้างงาน อันนี้เป็นในหลายๆรัฐบาล  จริงอยู่ว่าสร้างงาน แต่มันเป็นงานที่โดนเอาเปรียบชัดๆ ยิ่งถ้าเป็นบริษัทต่างชาติคนไทยก็ต้องเป็นเบ๊ให้เขาเรียกใช้ บางทีคนไทยกลับต้องตีกันเอง เพื่อเอาหน้าอวดนายฝรั่ง หรือญี่ปุ่น.............................เห็นแล้วช่างน่าเวทนา............................................

จากความ "โง่ขนาดหนัก" แบบต่างๆ  ที่กล่าวมาเป็นเบื้องต้นนี้  มันเกิดขึ้นเพราะอะไร........ท่านคิดอย่างไรกันบ้าง


ปล. ผมเองก็ไม่ได้ฉลาดอะไรนักหนาหรอก แต่ก็ไม่โง่ทำอะไรแบบย่อหน้าสุดท้ายอย่างแน่นอน ส.ส. กับ รมต. คงไม่มีโอกาสจะเป็น และไม่อยากเป็นด้วย อิอิ

ทัดระวี กวีไทย  ๒๕ พ.ย. ๕๕


หมายเลขบันทึก: 510000เขียนเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2012 19:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 25 พฤศจิกายน 2012 19:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท