ความฝัน...ให้อะไรกับชีวิต

 

ความฝัน... ให้อะไรกับชีวิต

ความฝันนับเป็นประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับเราทุกคนมาแล้ว บางคนก็นานๆ จะฝันสักครั้ง บางคนก็ฝันบ่อยๆ หรือบางคนอาจฝันทุกวันก็ได้ ที่จริงแล้วคนเรานั้นฝันทุกวันในขณะที่นอนหลับและอาจฝันหลายๆครั้งก็ได้ ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ได้บอกว่าคนเราจะฝันวันละ 3 – 4 ครั้ง ครั้งละ 90 – 120 นาที เพียงแต่เราจำความฝันที่เกิดขึ้นในแต่ละวันนั้นไม่ได้ หรืออาจจำได้เพียงความฝันที่เกิดขึ้นใกล้ๆ ตอนที่จะตื่นนอนได้เท่านั้น คำถามที่น่าสนใจก็คือแล้วทำไมคนเราจึงต้องฝัน และความฝันให้อะไรกับชีวิตของเรา ในการศึกษาเกี่ยวกับความฝันได้มีนักวิชาการอธิบายเกี่ยวกับความฝันไว้หลายมุมมอง โดยทั่วไปความฝันเป็นการนึกเห็นเป็นเรื่องเป็นราวในขณะที่กำลังนอนหลับซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมอง ความฝันตามแนวคิดทางตะวันตกได้อธิบายว่าความฝันเป็นการแสดงออกของความต้องการความปรารถนาที่ตนเองไม่สมหวังหรือไม่สามารถแสดงออกมาได้ในสภาพสังคมชีวิตจริง จึงนำความต้องการความปรารถนาเหล่านั้นเก็บไปฝันให้เป็นไปตามที่ใจอยากจะเป็นหรืออยากจะทำ ความฝันในมุมมองนี้จึงช่วยทำให้คนเราคลายจากความวิตกกังวลหรือความไม่สมหวังที่มีอยู่ในใจ ช่วยทำให้ชีวิตได้สมหวังได้เติมเต็มตามความต้องการ

  สำหรับในมุมมองของพุทธศาสนาก็ได้กล่าวถึงสาเหตุของความฝันไว้เช่นกันว่ามีอยู่ 4 ประการ ประการแรกเรียกว่าบุรพนิมิต โดยอธิบายว่าความฝันเป็นสิ่งที่ช่วยบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าให้เจ้าตัวได้ทราบ โดยเหตุการณ์ที่จะเกิดล่วงหน้านั้นมักเกี่ยวข้องกับบาปบุญหรือผลกรรมที่กำลังจะตามมาให้คุณให้โทษ เช่น คนที่กำลังใกล้ตายอาจฝันว่ามีเทวดาพร้อมวิมานที่สวยสดงดงามมารอรับตัวเรา หรืออาจเห็นเจ้ากรรมนายเวรมายืนรอรับเราอยู่ด้วยความเคียดแค้น ประการที่สองเรียกว่าจิตอาวรณ์ อธิบายว่าความฝันเกิดมาจากความวิตกกังวลหรือครุ่นคิดอยู่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จึงได้นำเรื่องราวเหล่านั้นเก็บมาคิดในขณะที่หลับ ความฝันแบบนี้ก็คล้ายคลึงกับแนวตะวันตกนั่นเอง ซึ่งทางตะวันตกได้มีการศึกษาอย่างจริงจังโดยพบว่ามีเรื่องราวหรือปัญหาที่เราไม่สามารถคิดแก้ไขได้ในขณะที่กำลังทำงาน แต่เมื่อเราหลับแล้วนำปัญหาเหล่านั้นเก็บไปฝันแล้ว ก็สามารถทำให้แก้ไขปัญหาหรือหาทางออกให้กับเรื่องราวต่างๆ นั้นได้ ประการที่สามเรียกว่าเทพสังหรณ์ อธิบายว่าความฝันเกิดมาจากมีเทวดามาเข้าฝันบอกเรื่องราวต่างๆ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่จริงหรือไม่จริงก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเทวดานั้นๆ อยากจะช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากอันตรายต่างๆ หรือว่าอยากจะกลั่นแกล้งให้เราเข้าใจผิด ให้เราได้รับความทุกข์ความไม่สบายใจก็ได้ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราได้ให้ความเคารพบูชาท่านหรือว่าไปหลบหลู่ดูหมิ่นท่านมากน้อยเพียงใด ประการสุดท้ายเรียกว่าธาตุกำเริบ อธิบายว่าความฝันนั้นเกิดมาจากการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม อาหารไม่ย่อย อาหารเป็นพิษ จนทำให้ร่างกายทำงานผิดปกติ เกิดความไม่สบายกาย หรือที่เรียกว่ากินอาหารผิดสำแดง

  ท่านผู้ฟังอาจเคยได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับการทำนายความฝันว่าเรื่องที่ฝันนั้นแสดงถึงฝันดีหรือฝันร้าย จนมีการตีพิมพ์หนังสือประเภททำนายฝันออกมาวางจำหน่ายกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในคนบางกลุ่มที่ชอบเล่นหวยหรือชอบซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลมักจะให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับการแปลเรื่องราวที่ฝันออกมาเป็นตัวเลข สิ่งเหล่านี้ยังไม่มีผู้ใดบอกได้ว่าจะมีความแม่นยำเชื่อถือได้แค่ไหนเพียงใด แต่อย่างน้อยก็พอทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกมีความหวังเล็กๆน้อยๆ ในชีวิตได้บ้าง ความฝันในสังคมไทยจึงถูกมองไปในทางเรื่องของโชคลางมากกว่าในทางที่เป็นวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าเราแต่ละคนจะนำความฝันไปใช้กับชีวิตในแง่มุมใด จะนำไปใช้ในแง่ของช่วยทำให้คลายความวิตกกังวล ทำให้ชีวิตรู้สึกสมหวังในสิ่งที่ปรารถนา หรือในทางโชคลางว่าชีวิตจะดีหรือร้ายหรือจะตีเป็นตัวเลขเพื่อเล่นหวยก็ตาม สิ่งที่สำคัญก็คือการรู้จักใช้สติมาช่วยพิจารณาความฝันของเราด้วย ก็จะทำให้เราสามารถพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ของความฝันอย่างรอบคอบ ยับยั้งชั่งใจได้ ไม่ตกอยู่ในความประมาท ซึ่งหากเราทำได้เช่นนี้แล้ว ท่านก็จะพบว่าความฝันก็ให้อะไรๆ กับชีวิตเราได้มากมาย

[เพชรน้ำหนึ่ง]

-สวัสดีครับอาจารย์..

-ตามมาอ่านเรื่องความฝัน..

-สรุปความฝันมี 4 ประการ คือ

1.บุรพนิมิตร

2.จิตอาวรณ์

3.เทพสังหรณ์

4.ธาตุกำเริบ

-แปลกแต่จริงครับอาจารย์..ผมน่ะเคยฝันแล้วก็ตื่นขึ้นมาพักหนึ่งประมาณว่ารู้สึกตัวแล้ว...สักพักหลับต่อ...เชื่อเลยครับว่าฝันต่อเรื่องเิดิมได้ 555

-งานนี้ผมจะเข้าความฝันข้อไหนครับ???

-สงสัยจะจินตนาการเกินเหตุ

-ขอบคุณครับ..

 

[แรงเงา]

ความฝัน... ให้อะไรกับชีวิต
ความฝัน ทำให้เราใช้ชีวิตในวันรุ่งขึ้นอย่างไม่ประมาท