การเมืองกับสังคมไทย
หลายปีมาแล้วที่ผมติดตามข่าวการเมือง ทีวีเสรี จอเหลือง จอแดง จอฟ้า ด้วยใจจดจ่อ เพราะอยากรู้ว่า “เงินภาษีของเรา” ที่เสียให้แก่รัฐเป็นประจำรายปี และที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT= Value Added Tax) ที่เพิ่มขึ้นจากที่เราซื้อสินค้าแล้วบวกอีกร้อยละเจ็ดทุกครั้งทุกชิ้น ปีที่ผ่านมาใช้เงินภาษีของเราจำนวนกว่าสองล้านล้านบาท อยากขอให้คุณผู้อ่านเขียนเป็นตัวเลขเอาเองว่า สองล้านล้านกว่าบาทเขียนด้วยเลขศูนย์ลงท้ายกี่ตัว อย่าเครียดนะครับเอาแบบเล่นๆ มีข่าวแว่วๆ ว่า 30-50 เปอร์เซ็นต์ถูกหักหัวคิวไปก่อนโดยนักการเมืองร่วมมือกับพ่อค้าและข้าราชการ ตามข้อมูลของคุณดุสิต นนทนาคร อดีตประธานหอการค้าไทย ผู้ล่วงลับ
หลายครั้งที่ผมถูกไถ่ถามเชิงล้อเลียนจากเพื่อนผู้มีความรู้ระดับ ดร. และเพื่อนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายแห่งว่า “สนใจการเมืองมาตั้งแต่เมื่อใดครับ เพื่อนรัก” เมื่อเห็นผมเขียนกวีบ้าง บทความบ้างเกี่ยวกับการเมือง เป็นคำถามที่ต้องใช้เวลาครุ่นคิดนานไม่น้อย เพื่อค้นหาคำตอบ เพราะผมเองก็จำไม่ได้ว่า สนใจการเมืองตั้งแต่เมื่อใด ในตอนยามนั้น ผมตอบได้เพียงแค่ “เอ...นึกไม่ออกครับ” เพื่อนพ้องทำหน้าไม่เชื่อ “เป็นไปได้อย่างกัน ค่อยๆ คิดดูให้ดีซิ” คราวนี้ทำเอาผมเองคิดหนัก จนแต้มเข้าจริงๆ ผมตอบแบบจริงจังว่า “เอาเป็นว่าจะเขียนให้อ่านวันหลัง ก็แล้วกันนะ” เราเปลี่ยนเรื่องสนทนาสู่ประเด็นอื่น ผมเองยังเก็บเรื่องนี้มาใคร่ครวญ......
รู้สึกโชคดีที่สนใจ “การเมือง” หากไม่สนใจการเมืองอาจถูกกล่าวหาได้ว่า “เป็นคนไม่ทำหน้าที่” โชคดีอีกต่อหนึ่ง ที่ผมสนใจการเมืองแบบไม่เครียด รู้ว่าต้องทำใจ ไม่อย่างนั้นอาจตกหลุมความหลงได้ง่ายดาย เพราะแวดวงการเมืองมี “หลุมพราง” มากมาย อาจเป็นความหลงความเก่าแก่ของพรรค ความหล่อความสวยของตัวบุคคล หลงใหลในเศษอำนาจที่การเมืองมอบให้บ้างในบางคราว หลงในผลประโยชน์ หลงใหลในนโยบายฉาบฉวยแบบประชานิยม หลงใหลการตลาดของพรรคการเมือง
ทบทวนถึงสื่ออันเป็นที่พึ่งของประชาชนที่เคยมีคนเปรียบเทียบให้ฟังว่า เหมือนหมาเฝ้าบ้าน มองเห็นภาพการเกาะติดข่าวการโกงกินฉ้อราษฏร์บังหลวงของราชการพ่อค้านักการเมืองพรรคการเมืองอย่างจริงจัง ซึ่งกลายเป็นภาพอดีตไปแล้ว มองเห็นภาพของอาชีพสื่อที่กลายเป็นอาชีพที่ค่อนข้างหิวเงินและเกรงกลัวอำนาจเหมือนเราๆ ท่านๆ ทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อภายใต้การดูแลของรัฐบาล เหมือนหมาเฝ้าบ้านตัวที่โดดงับเศษกระดูกจากผู้บุกรุกยามวิกาลเป็นประจำไปเสียแล้ว หรือไม่ก็เปลี่ยนเป็นหมาเฝ้าบ้าน ที่ถูกฝึกไว้เพื่อการแสดงหาเงินเท่านั้น ติดตามข่าวคราวได้จากงบประมาณการโฆษณาประชาสัมพันธ์จำนวนมากของรัฐ รัฐวิสาหกิจรายใหญ่ เช่น ปตท. ข่าวการเมืองจึงกลายเป็นข่าวชื่นชมแบบกันเอง จนทำให้ขาดผู้ตรวจสอบอย่างจริงจัง
บ้านเมืองเข้าสู่ยุคความขัดแย้งอย่างหนักทางการเมืองเห็นได้จาก การเกิดสื่อจอเหลือง ของกลุ่มชนชั้นกลางที่ต่อสู้กับอำนาจรัฐที่บิดเบือนเบี่ยงเบนพยายามปิดหูปิดตาประชาชน ด้วยการชุมนุมคัดค้านกดดันด้วยความสงบ แกนนำใช้ความสุภาพและความน่าเชื่อถือ ความตรงไปตรงมา พูดจาให้ประชาชนเข้าใจเหตุผล แยกแยะผิดชอบชั่วดีออกจากกัน แต่การเงินฝืดเคือง รับบริจาคจากประชาชนผู้เห็นความสำคัญของ “การเมืองเพื่อนประชาชน” แม้ปัจจุบันก็ยังพยายามกดดันรัฐที่ใช้อำนาจอย่างไม่ถูกต้อง ด้วยการเดินสายให้ความรู้กับประชาชน พบปะพูดคุยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นท่าทีของประชาธิปไตยในแบบที่ แม้กระทั่งรัฐบาลควรส่งเสริม หากรัฐบาลนั้นเป็นรัฐบาลที่มีเจตนาดี ทำเพื่อประชาชน
การเกิดขึ้นของสื่อจอแดง ของกลุ่มคนชั้นนายทุน และนักการเมืองตั้งขึ้นเพื่อให้ข้อมูลของกลุ่มตน ที่มักจะมุ่งเป้าไปที่คนจำนวนมากที่ห่างไกลข้อมูลอันเที่ยงตรง บ่อยครั้งที่ใช้ความก้าวร้าวรุนแรงแบ่งฝ่าย เหมือนต้องการแบ่งแยกแตกสามัคคี ทั้งที่อยู่ในอำนาจรัฐ มีฐานะเสมือนพ่อแม่ดูแลคนทั้งชาติ จะก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อสีของตนขึ้นมาอีก ซึ่งเสมือนแบ่งแยกลูกของตนออกเป็นกลุ่มย่อย คำถามคือแยกกลุ่มเพื่อสิ่งใด ก้าวร้าวหยาบคายต่อเพื่อนร่วมชาติเพื่อสิ่งใด บิดเบือนข้อมูลจนคลุมเครือเพื่อสิ่งใด
การเกิดขึ้นของสื่อจอฟ้า ของพรรคการเมืองเก่าแก่ แม้เคยครองอำนาจแต่ก็ขาดการเป็นผู้นำดำเนินการเชิงรุกในทางที่ถูกต้อง เช่นการพัฒนาการเมืองไปสู่ความโปร่งใสไร้การโกง แถมยังมีลักษณะอะลุ้มอะล่วย ออกอาวุธกล้าๆ กลัวๆ เหมือนมวยล้มต้มคนดู แถมมีท่าทีไม่แตกต่างจากอีกกลุ่มสักเท่าไร เรียกเสียงโห่ฮาจากผู้ชมอยู่เป็นระยะ จึงอยู่ในภาวะถูกไล่ต้อนจนถอยร่นร่อแร่ แม้ปัจจุบัน พรรคการเมืองเก่าแก่ที่ว่านี้กลายมาเป็นฝ่ายค้าน แทนที่จะทำหน้าที่ค้านอย่างมีเหตุผล จับกลโกงทุจริตของพรรครัฐบาล กลายเป็นถูกพรรครัฐบาลจับผิดขุดค้นจนไม่กล้าค้าน ความหมายก็คือ หมดเม็ดเรื่องราวทุจริตไว้มากจนค้านไม่ออก สองฝ่าย รัฐบาลและฝ่ายค้านจึงอยู่ในภาวะ “ฮั้ว” กันทางการเมือง กลายเป็นว่า กลุ่มคนสองฝ่ายร่วมมือกันโกงภาษีของประชาชน ขณะที่ชาวบ้านได้แค่มองตาปริบๆ
“คุณผู้อ่าน หรือประชาชนมองเรื่องนี้อย่างไร” เป็นคำถามสำคัญที่ทุกคนต้องตอบ การแก้ปัญหาของประเทศขึ้นอยู่กับคำตอบคำถามนี้ของประชาชน ตอบถูกแก้ปัญหาของประเทศได้ไม่ยากจนเกินไปนัก ตอบไม่ถูกแก้ปัญหาไม่ได้ คุณคิดจะตอบปัญหานี้อย่างไร ยากเกินไปไหมครับ อาจง่ายขึ้นหากอ่านตัวอย่างต่อไปนี้
วันก่อนไปทำบุญสำนักสงฆ์เขาหินเทิน หนองแก หลังการถวายภัตตาหารภิกษุสงฆ์วัดป่าเวลา 8.00 น. เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำตัวเป็นศิษย์วัด รับประทานอาหารเช้าร่วมกับชาวบ้านผู้มาทำบุญ เธอพูดถึงการเมือง เหมือนเบื่อเต็มที่ “หนูเบื่อค่ะ อาจารย์ การเมืองไม่ใช่เรื่องของเรา” “อ้าว ทำไมล่ะครับ” ผมถามอย่างแปลกใจในความคิดของเธอ “ก็มองไม่ออกว่าเราไปยุ่งเกี่ยวตรงไหน” มองเห็นลางหายนะของบ้านเมืองชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ผมค่อยๆ คิดอย่างหนักว่าจะพัฒนาแนวคิดของเธอ เพื่อบ้านเมืองได้อย่างไร
เธอเห็นผมนั่งนิ่งไปนาน คงคิดสงสารอาจเห็นว่าผมหมดสิ้นหนทางที่จะพูดต่อ “คือไม่ว่าเราจะทำอย่างไรมันก็แก้ไขไม่ได้” แล้วเธอก็หยุดมองเหมือนจับอารมณ์และความรู้สึกของผมอยู่ “คุณก็ไปเลือกตั้ง คุณต้องจ่ายภาษี คุณต้องจ่ายค่าน้ำมันแพง ราคาสินค้าในท้องตลาดแพงฯลฯ นั่นคือผลกระทบที่คุณเกี่ยวข้องด้วยอย่างเด่นชัด ที่ว่าไม่เกี่ยวข้องจึงไม่ตรงนัก จริงไหมครับ” “ก็จริงค่ะแต่ว่า...”
เธอหยุดคิด ผมได้ทีแทรกขึ้น “ขอถามง่ายๆ เชิงอุปมาว่า หากคุณตั้งร้านก๋วยเตี๋ยวสักร้านหนึ่ง แล้วจ้างคนมาขายแทน คุณคิดว่าดีหรือไม่” “ไม่ดีแน่” “อ้าว เพราะอะไรจึงไม่ดี” “เพราะเราต้องควบคุมดูแล ไม่อย่างนั้นขาดทุนแน่” “ถูกต้องครับ หากร้านก๋วยเตี๋ยวของเราคือรัฐบาลของเรา” เธอทำหน้างง ไม่เข้าใจว่า ร้านก๋วยเตี๋ยวกับรัฐบาลเปรียบกันได้อย่างไร “ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นของเรา ตั้งด้วยเงินของเรา รัฐบาลเป็นของเรา ตั้งด้วยเงินภาษีเรา เราปล่อยให้ลูกจ้าง 500 คนมาดูแล แล้วเราก็ปล่อยปละละเลย ไม่เอาใจใส่ จนลูกจ้างเหลิงจนจะกลายเป็นเจ้านายเราแล้ว ถูกหรือผิดที่เรามอง พวกคนเหล่านั้นว่า เป็นคนมีการศึกษา แต่งตัวน่าเชื่อถือ นับถือเขา ทั้งที่เขาทำหน้าที่แลกเงินเดือน ซึ่งมาจากเงินภาษีของเรา เป็นลูกจ้างของเรา” เธอนิ่งคิดเนิ่นนาน เหมือนผมฉายไฟให้เธอเห็นสิ่งแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
“เราร่วมเงินลงขันกันตั้งบริษัทชื่อ “รัฐบาล” เงินลงทุนกว่าสองล้านล้านต่อปี จ้างคนมาบริหาร 500 คน ด้วยเงินเดือนคนละแสนกว่าทุกเดือน แล้วเรากลับไปนับถือเขา ไว้ใจเขา ปล่อยพวกเขาให้แบ่งแยกเจ้าของบริษัทให้ทะเลาะกัน แล้วถือโอกาสที่เจ้าของทะเลาะกัน ฮั้วกันโกงเงินไปโครงการละ 30-50 เปอร์เซ็นต์ (ข้อมูลจากอดีตประธานหอการค้า) เอาสองล้านล้านตั้ง แล้วคูณด้วย 30 หรือ 50 แล้วกดเครื่องหมายเปอร์เซ็นต์ จะรู้ว่าเงินภาษีของเราหายเข้ากระเป๋าลูกจ้างของเราเท่าไหร่” เธอนั่งฟังนิ่งสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก
“เหตุใดเราจึงยอมให้ลูกจ้างของเรา ร่วมกันโกงเรา” “เราไม่รู้จะทำอย่างไรนี่อาจารย์” เธอกล่าวเหมือนหมดหนทาง ด้วยสีหน้าน่าเห็นใจ “ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ ปลาตายลอยตามน้ำ” “หมายความว่าอย่างไร” “อย่ายอมแพ้ซิครับ” “ควรทำอย่างไรค่ะ” “ก็บอกกันให้รู้ เช่นที่ผมบอกคุณ ให้เข้าใจไปเรื่อยๆ ห้าปี สิบปี คนที่รู้เรื่อง เข้าใจตามความเป็นจริงเช่นนี้มีมากขึ้นเมื่อใด จะเกิดแรงผลักดันให้ลูกจ้างปรับตัว” “ง่ายๆ แค่นี้หรือ” “ใช่ แค่นี้”
“ตอนนี้อาจารย์คิดว่าการเมืองเรามีแนวโน้มอย่างไร” เธอตั้งคำถามแบบมองไปในอนาคต “แนวโน้มแย่ลง การโกงกินมากขึ้น ทำลายเสาหลัก สถาบันหลักของประเทศ ทั้งสถาบันกษัตริย์ ศาล ทหาร หนักหน่วงขึ้นเรื่อยด้วย “เงินและอำนาจ” มีการร่วมมือกันปิดตาประชาชน ขายทรัพยากรน้ำมัน ทองคำ และอื่นๆ ของชาติให้แก่ต่างชาติในราคาถูก ด้วยการแอบกินใต้โต๊ะ” “พวกเขาทำอย่างนั้นได้อย่างไรค่ะอาจารย์” “ก็เพราะคนส่วนมากไม่รู้ ไม่มีข้อมูล ดังนั้นแค่ช่วยกันบอกต่อไปเรื่อยๆ อย่ามัวแต่ทะเลาะกัน ที่แย่หน่อยก็คือ เจ้าของบริษัทบางหุ้นส่วนดันไปรับสินจ้าง จากลูกจ้าง แล้วเข้าเป็นพวกปกป้องลูกจ้างที่ทำตัวไม่ดีเหล่านั้นซะอีก เห็นไหมว่า “การบอกต่อ” มีความสำคัญอย่างไร”
เธอนั่งฟังนิ่งอย่างใช้ความคิด สาธุชนที่มาทำบุญและร่วมรับประทานอาหารในศาลาวัดเริ่มทยอยกลับบ้าน เสียงเครื่องยนต์ของรถจักรยานยนต์บ้าง รถยนต์บ้างครางแว่วๆ มาจากลานจอด แล้วค่อยๆ เคลื่อนลงภูเขาหินเทินไปเรื่อยๆ เสียงสายลมพัดผ่านก่อรวกดังซู่ซ่าอยู่เป็นระยะ ความสงบกระจายตัวครอบคลุมอาณาบริเวณร่มเย็นสมคำว่าอาราม เธอขอตัวกลับบ้านด้วยแววตามุ่งมั่น
ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะครับ
-สวัสดีครับอาจารย์...
-แวะมาเยี่ยม/ส่งกำลังใจครับ..
-เที่ยงนี้มี "ขนมจากหญ้าเทวดา" มาฝากครับ...
คุณโสภณนำเสนอดีครับ
ยกตัวอย่างเช่นช่องทีวีเสรีที่มีอยู่ก็โกงกันภายในเยอะแล้วครับ ไม่งันคงจะพัมนาไปกว่านี้นะครับ พนักงานที่นั้นยังทนไม่ได้เลยครับ เรื่องนี้ยาว...นะครับ
ขอบคุณกับบทความดีๆครับ
แวะมาชมแนวคิดทางการเมืองค่ะ เป็นคนไม่มีสีค่ะ (ยิ้ม ยิ้ม)
เรียนคุณเพชรน้ำหนึ่งครับ
หญ้าเทวดา ชาวท้องถิ่นเรียกอะไรครับ
ชื่อนี้ไม่คุ้นเคยเท่าไร
เรียนคุณลูกสายลมครับผม
Bright Lilly ครับ
ไม่มีสีดีแล้วครับ ปัจจุบันดูเหมือนว่า "สี" เหมือนอะไรสักอย่างที่การเมือง
นำมาแบ่งประชาชนเอาเป็นพวก แล้วในที่สุดก็ขัดแย้งกันและตีกันเอง
หากใจหยาบกร้านขึ้น ก็ถึงกับฆ่ากันเอง
80 ปี ประชาธิปไตยไทย เมื่่อการเมืองขัดแย้งกัน คนไทย หรือชาวบ้านตาย ทุกครั้งไป
แต่มีประเด็นเหล่านี้ให้พิจารณา
เรียนคุณมะเดื่อครับ
ขอบคุณครับหนุ่มกร
เรียนคุณครับ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจ
เรียน นาย ฉัตรชัย เทพขจร
ขอบคุณครับสำหรับกำลังใจ
ขอบคุณ ท่าน อจ. ค่ะ
เรียน ดร. เปิ้ลครับ
ภาพลูกสาวตอนเล็กๆ หรือเปล่าครับ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจ
ขอบคุณค่ะ สำหรับข้อมูลที่กระจ่าง ตัวดิฉันเอง ก็มัวแต่ทำงานของดิฉันเอง บางครั้งก็ลืมมองอะไรไปหลายเรื่อง ก็คงเหมือนกับอีกหลายๆ ท่านในประเทศไทย การที่เรารู้ข้อมูลที่ถูกต้อง อย่างน้อยเวลาที่ไปใช้สิทธิ์ จะได้คิดเยอะกว่าเดิมค่ะ
เรียนคุณ Bright Lilly ครับ
ขอบคุณสำหรับกำลังใจ
ขอบคุณอ.นุ
สำหรับกำลังใจนะครับ