สถานการณ์การจัดการความรู้ในประเทศไทย
จากการได้ลงพื้นที่เยี่ยมชม สัมภาษณ์ กับกลุ่ม องค์กร ชุมชมต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคชุมชนมาตลอดระยะเวลา 2 ปี (2547-2548) พบว่าสถานการณ์ “การจัดการความรู้”ในประเทศไทย ได้รับความสนใจและยอมรับจากสังคมในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป อีกทั้งในระยะหลังยังพบว่า “รูปแบบ” การนำการจัดการความรู้ไปใช้จริงหลังผ่านการเข้าร่วมอบรมเชิงปฏิบัติการ หรือเข้าร่วมกิจกรรมการเผยแพร่การประเด็นการจัดการความรู้ของสถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) ก็มี “รูปแบบ” ที่แตกต่าง และหลากหลายออกไปอันเกิดจากการประยุกต์และไม่ติดอยู่ในรูปแบบเดิมๆ ของสคส. ซึ่งเป็นองค์กรต้นแบบ องค์กรหนึ่งในเรื่องจัดการความรู้ในประเทศไทย
ทั้งนี้การนำกระบวนจัดการความรู้ไปประยุกต์ใช้นี้ก็เพื่อความเหมาะสมกับบริบทของกลุ่ม
องค์กรนั้นๆ ซึ่งเป็นไปตามความตั้งใจ และความคาดหมายของ
สคส.เป็นอย่างยิ่งที่ต้องการจะเห็น กลุ่ม/องค์กรนั้นๆ
เกิดการนำการจัดการความรู้ไปปรับใช้ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้จริงๆ
นอกจากนี้จากการลงพื้นที่เยี่ยม ชมสัมภาษณ์ กับกลุ่ม
องค์กร ชุมชนต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นในปี 2547-2548 นั้นยังพบว่า
มีกลุ่ม องค์กร ชุมชน บางแห่งได้ดำเนินกระบวนการพัฒนาคน พัฒนางาน
ด้วยกระบวนการการจัดการความรู้ อยู่เดิมแล้ว
โดยไม่ทราบว่านั่นคือกระบวนการจัดการความรู้ เช่น
กระบวนการเรียนการสอนของกลุ่มโรงเรียนที่ดึงองค์ความรู้ทั้งจากชุมชน
ครู และผู้ปกครองมามีส่วนร่วมในการเรียนการสอน อาทิ โรงเรียนรุ่งอรุณ
โรงเรียนเพลินพัฒนา โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา ฯลฯ
โดยเฉพาะกลุ่มภาคประชาสังคมที่มีการใช้การจัดการความรู้อยู่เดิม
ในกระบวนการพื้นเศรษฐกิจชุมชนของชาวบ้านแม่กำปอง หมู่ 3 ตำบลห้วยแก้ว
กิ่งอำเภอแม่ออน จ.เชียงใหม่, กระบวนการจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็ก
ขององค์กรชาวบ้าน ตำบลกุดขาคีม ตำบลทับใหญ่ อำเภอรัตนบุรี จ.สุรินทร์
หรือ
กระบวนการสืบค้นอดีตเพื่อเข้าใจปัจจุบันของชาวชุมชนอาคารสงเคราะห์
อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น
เหล่านี้ล้วนดำเนินการโดยนำรูปแบบการจัดการความรู้มาใช้โดยไม่รู้ตัวมาก่อนทั้งสิ้น
แต่ทั้งนี้รูปแบบดังกล่าวอาจจะดำเนินการอย่างไม่ครบกระบวนการหรือไม่เป็นขั้นตอนกระบวนการแน่นอน
โดยเฉพาะกลุ่มภาคประชาสังคม ซึ่งเมื่อภายหลังกลุ่มองค์กรนั้นๆ
ได้เข้าร่วมการอบรมเชิงปฏิบัติการกับสคส.
ก็ได้นำกระบวนการการจัดการความรู้มาเพิ่มเติมกระบวนการพัฒนาคน
พัฒนางานอย่างเต็มรูปแบบอย่างเป็นระบบมากขึ้น
ที่สำคัญทีมงานโครงการเคลื่อนกระแสการจัดการความรู้สู่สังคม
ยังพบว่าจากการก่อเกิดกลุ่ม องค์กร ชุมชน
ที่นำการจัดการความรู้ไปใช้จริงกระจัดกระจายอยู่ทั้ง 4
ภาคของประเทศไทย
ยังเห็นภาพการเชื่อมต่อเป็นเครือข่ายกันและกันของกลุ่ม องค์กร
ชุมชนที่มีการจัดการความรู้ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้
และกระบวนการการจัดการความรู้ซึ่งกันและกัน
เช่นเครือข่ายการจัดการความรู้โรงพยาบาลภาคเหนือตอนล่างที่มี
นางไพฑูรย์ ช่วงฉ่ำ ผู้ประสานงานโครงการไป จุดเชื้อไฟให้
กับเครือข่ายการจัดการความรู้กลุ่มโรงพยาบาลในจังหวัดนครสวรรค์ที่มี
สาธารณสุขจังหวัด นครสวรรค์ (สสจ.)
เป็นผู้ริเริ่มนอกจากนี้ยังพบว่าโรงพยาบาลซึ่งเป็นสมาชิกเครือข่ายทั้งสองแห่งนี้บางแห่งยังเป็นสมาชิก
เครือข่ายการจัดการความรู้เพื่อการบริบาลผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งมี
โรงพยาบาลเทพธารินทร์เป็นผู้ริเริ่มอีกด้วย
สำหรับในภาคประชาสังคมยังมีตัวอย่างของกลุ่มนครสวรรค์ฟอรั่มซึ่งทำเรื่องเกษตรปลอดสารทั้งจังหวัด
ยังเป็นภาคีแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เรื่องการเกษตรแบบข้ามเครือข่ายกับกลุ่มโรงเรียนชาวนา
จ.สุพรรณบุรี
ซึ่งใช้กระบวนการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาการทำเกษตรกรรมแบบยั่งยืน
ในขณะเดียวกัน
กลุ่มโรงเรียนชาวนาจ.สุพรรณบุรียังได้เป็นเครือข่ายการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบข้ามภูมิภาคกับกลุ่ม
หยาดฝน ของจ.ตรัง
ซึ่งส่งชาวนามาศึกษาเรียนรู้เรื่องการทำนาข้าวเช่นกันยังไม่รวมถึงเครือข่ายการจัดการความรู้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
5 จังหวัดภาคกลาง สุพรรณบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อุทัยธานี
ที่กำลังเข้าไปเชื่อมต่อความร่วมมือด้านองค์ความรู้กับเครือข่ายการจัดการความรู้ที่มีอยู่แล้วนี้เพื่อพัฒนาท้องถิ่นต่อไป
เหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนให้เห็นภาพการจัดการความรู้ที่กำลังขยายและโยงใยองค์ความรู้กันและกันอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าปัจจัยที่ทำให้กระแส “การจัดการความรู้” เฟื่องฟูอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาครัฐราชการ น่าจะเป็นนโยบายของรัฐบาล และมีผู้ใหญ่ในส่วนราชการให้ความสำคัญ ทำให้แทบทุกหน่วยงาน ตั้งแต่ระดับกระทรวง ทบวง กรม กอง หน่วยงานย่อย ขององค์กรภาครัฐตื่นตัวในการทำการจัดการความรู้ แต่นั่นก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้จัดการความรู้เป็นเพียงแค่แฟชั่น คือ ทำการจัดการความรู้แบบปลอมๆ หวังเพียงให้ผ่านการประเมินตามเกณฑ์ที่ถูกกำหนดไว้แล้วเท่านั้น หาได้เป็นความต้องการที่จะทำการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง องค์กร หรือหมู่คณะเพื่อบรรลุเป้าหมายสูงสุดเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
จิราวรรณ
เศลารักษ์
******************