ประเมินสถานการณ์เด่น ของธุรกิจ ในประเทศไทย
สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ที่ถูกผลกระทบจากปัญหาภาวะราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ขยับต่อเนื่อง ภาวะเงินเฟ้อที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงตามที่คาดการณ์ รวมไปถึงเรื่องของการเมืองที่ยังไม่ได้ข้อยุติ ทำให้เกิดปัญหาตามมาคือ ไม่สามารถจัดทำงบประมาณแผ่นดินในปีหน้าได้ ทำให้เกิดความล่าช้า เงินที่ต้องถูกส่งเข้าไปในระบบเศรษฐกิจก็ช้าตามไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลที่วางแผนจะส่งเข้าไปช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ถูกหั่นและยืดเวลาออกไปไม่มีกำหนด ทำให้เกิดความวิตกและเป็นห่วงเศรษฐกิจของประเทศ ประเมินสถานการณ์ เด่น ในประเทศไทย มี ดังนี้
สถานการณ์ ทางการเมือง ชะลอตัวของการลงทุน
ปัจจุบันเรามี รัฐบาลรักษาการ เป็นช่วงสุญญากาศทางการเมือง รัฐบาลรักษาการจะทำงานตามนโยบาย และสานงานต่อให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย รัฐบาลรักษาการโดยมารยาทแล้ว จะไม่สร้างภาระที่ผูกพัน ต่อเนื่องให้กับรัฐบาลใหม่ ทำให้ไม่เกิดโครงการ ขนาดใหญ่ ๆ (โครงการเมกะโปรเจ็คต์ โครงการสร้างศูนย์ราชการ เป็นต้น ) ซึ่งหากภาครัฐ ไม่อัดฉีดเงิน เข้าในระบบ จะทำให้เกิดการ ชะลอตัวของการลงทุน จะทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันในภาคเอกชน หรือนักลงทุนต่างประเทศ ก็จะรอความชัดเจน นโยบายของรัฐบาลใหม่ ในการส่งเสริม การสนับสนุนอุตสาหกรรมว่าเป็นทิศทางใด การประเมินอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศปีนี้ เชื่อว่าอัตราการเติบโตจะลดลง เมื่อเปรียบเทียบ กับปีก่อน เพราะการประเมินเศรษฐกิจไทยอยู่บนพื้นฐานของการใช้จ่ายการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ และการที่ประเทศอยู่ระหว่างเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ทำให้ ความล่าช้าของงบประมาณ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เงินไม่หมุนเวียน ทำให้เศรษฐกิจไทยเกิดชะลอตัวของการลงทุน
การขัดแย้งทางการเมือง มีการแบ่งเป็นฝ่ายกัน เกิดการใช้ความรุนแรงกันซึ่งอาจจะนำไปสู่ความไม่สงบสุขในบ้านเมืองได้ แต่ปัญหาได้คลี่คลายไปได้บ้างเนื่องจาก เราได้มี กกต. ใหม่ ซึ่งจะทำหน้าที่ให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความยุติธรรม และมีการกำหนดวันการเลือกตั้ง คาดว่าภายในเดือน พฤศจิกายน ซึ่งจะทำให้ปัญหาต่าง ๆ ของประเทศได้ถูกปลดล๊อค ไปได้ แต่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองจะยังไม่ยุติ ถ้าหาก พตท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เว้นวรรค ทางการเมือง และพรรค ไทยรักไทย ได้คะแนนที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ โดยให้ พตท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี อาจจะนำไปสู่การประท้วง การต่อต้าน การกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี และอาจจะนำไปสู่การนองเลือดขึ้นของทั้ง 2 ฝ่าย
-ราคาน้ำมัน ที่ปรับเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลทำให้สินค้ามีราคาแพง การเติบโตของการบริโภคภาคเอกชน ลดลงจากร้อยละ 4.5 เหลือร้อยละ 4 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ต้นทุนของบริษัทสูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการกำไรลดลง หรือขาดทุน ได้
-อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ต้นทุนของสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะถูกผลักภาระ ให้กับผู้บริโภค สินค้ามีราคาแพง เงินเฟ้อ ต้นทุนของบริษัทสูงขึ้น ทำให้ผลประกอบการกำไรลดลง หรือขาดทุน ได้
การมองสถานการณ์ ของ ธปท. ไม่ให้เกิดความกังวล
ม.ร.ว. ปรีดิยาธรร เทวกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) บอกว่า เศรษฐกิจในปี 2549 ยังน่าจะขยายตัวได้ดี แม้จะรู้สึกหนักใจในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีอาจไม่มีการลงทุนจากภาครัฐ สืบเนื่องจากปัญหางบประมาณปี 2550 ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาการเมือง แต่ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ไทยจะต้องปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง ที่อาจต้องใช้เวลาบ้าง เพราะแม้ภาคการเมืองยังไม่นิ่ง แต่ภาคเอกชนยังสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้ เพราะรายได้ของประเทศร้อยละ 80 อยู่กับเอกชน และยังเชื่อว่าปีนี้การลงทุนโดยรวมน่าจะขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 2-3 จากที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ล่าสุด เนื่องจากการลงทุนภาคเอกชนจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก
ยิ่งการท่องเที่ยวของไทยยังขยายตัวได้ดี โดยไตรมาสแรกของปีนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และในเดือน เม.ย.49 ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.3
ส่วนการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนแม้จะลดลงจากร้อยละ 4.5 เหลือร้อยละ 4 แต่ปัจจัยที่ทำให้ลดลงไม่ใช่เรื่องการเมือง กลับเป็นเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผลทำให้สินค้ามีราคาแพง เชื่อว่าหากราคาน้ำมันทรงตัวเมื่อใด การบริโภคก็จะกลับมาขยายตัวได้ดีเหมือนเดิม
“การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยไม่ถือว่ารุนแรง เพราะยังอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ต้องมีการเลือกตั้ง ซึ่งหากปฏิบัติตามระบอบประชาธิปไตยให้มีการเลือกตั้งก็จบ ระหว่างนี้ ธปท.ก็จะดูแลด้านเศรษฐกิจให้ดีที่สุด เชื่อว่าเอกชนจะทำให้เศรษฐกิจเดินต่อไปได้ ปัญหาขณะนี้คือเราวาดภาพเศรษฐกิจในด้านลบเกินไป อีกส่วนที่น่าเป็นห่วงคือการลงทุนของต่างชาติ เพราะส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความเป็นไปของการเมืองไทย ทำให้ขาดความมั่นใจจึงชะลอการลงทุนออกไป ซึ่งเรื่องนี้มันง่ายมาก เพียงแค่เราทำให้การเมืองมันเสร็จ ไปเลือกตั้งมันก็จะจบแค่นั้นเอง” ผู้ว่า ธปท.กล่าวทิ้งท้าย
การมองสถานการณ์ ของ นายธนาคาร
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในงานสัมมนาพิเศษครบรอบ 30 ปี หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจหัวข้อ “วิกฤติประเทศไทย ยุคทุนนิยมไล่ล่า” ยอมรับว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงนี้ชะลอตัวบ้าง การประเมินอัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศปีนี้ เชื่อว่าอัตราการเติบโตจะลดลงบ้าง เพราะการประเมินเศรษฐกิจไทยอยู่บนพื้นฐานของการใช้จ่ายการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ (เมกะโปรเจกต์) และการที่ประเทศอยู่ระหว่างเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ ทำให้ความล่าช้าของงบประมาณมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เงินไม่หมุนเวียน ขณะที่ภาครัฐก็มีความพยายามที่จะเสริมการใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม การดำเนินการทุกอย่างจะต้องอยู่บนความพอดี อย่างไรก็ตามยังถือว่าเศรษฐกิจไทยช่วงนี้ยังพอไปได้ เพราะยังสามารถส่งออกสินค้าได้เพิ่มขึ้น
แต่ในช่วงครึ่งปีหลัง อาจมีปัญหาหนี้เอ็นพีแอล ที่ตัวเลขยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ถ้าไม่ระมัดระวังจะเกิดปัญหาได้ภายหลัง ซึ่งปัญหาเอ็นพีแอลที่กลับ เพราะภาคธุรกิจแข่งขันได้ยากขึ้น เนื่องจากภาระต้นทุนน้ำมันและดอกเบี้ยที่สูงขึ้น การบริโภคส่วนตัว การที่เงินเดือนไม่เพิ่มขึ้น หากใช้เงินเกินตัวก็จะมีปัญหาตามมาภายหลัง ส่วนอัตราการเติบโตของสินเชื่อปีนี้จะเติบโตในระดับที่พอไปได้ และมีความระมัดระวังมากขึ้น เพราะมีบทเรียนในอดีตมาแล้ว
ส่วนความไม่มั่นใจต่อตลาดหุ้นไทยของชาวต่างชาตินั้น น่าจะเป็นเพียงช่วงสั้น จึงไม่น่าห่วงจนเกินไป แต่สถานการณ์ในประเทศปีนี้ไม่ใช่ปกติ เพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนรัฐบาลใหม่และใช้เวลาในการเปลี่ยนนานกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้
++ ย้ำระบบทุนนิยมทำศก.ไทยเสียศูนย์
นอกจากนี้ นายบัณฑูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย ยังให้ความเห็นว่าระบบทุนนิยมที่เข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจไทยกลายเป็นทุนนิยมแบบไม่สร้างสรรค์ และทำให้คนไทยเสียเปรียบต่างชาติที่เข้ามาแสวงหาประโยชน์ แม้ว่าทุนนิยมมีส่วนที่ดีคือทำให้มีการพัฒนาและมีความหวังว่าชีวิตจะดีขึ้นในอนาคต ซึ่งผลที่ได้จากทุนนิยมคือการบริโภคมากขึ้น ทางวัตถุดีขึ้นกว่าเดิมและหยุดไม่ได้พร้อมกับความกดดันให้เกิดผลผลิตมากขึ้น และธุรกิจจะพัฒนาเหมือนกับเด็กน้อยเติบโตขึ้นไปสู่การเป็นอสูรกาย มีตัวตัดสินคือผลตอบแทนต้องเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี เพราะเป็นธรรมชาติของทุนนิยมว่าใครจะทำให้เงินงอกเงยกว่ากัน
แต่ปัญหาที่ทำให้เกิดรู้สึกสะดุ้งสะเทือนสำหรับทุนนิยมคือการได้ส่วนแบ่งที่ไม่เท่ากันจะมีมากขึ้น และเรื่องทุนนิยมไล่ล่านั้นมีความกดดันให้เปิดตลาดทั่วโลก เพราะทุนต้องการแสวงหาประโยชน์จากทุกแหล่ง ซึ่งกลุ่มที่มีเทคโนโลยีและความรู้มากกว่าจะได้ประโยชน์มากกว่า คำว่า วินวิน จึงแปลว่าตัวใหญ่กว่าไล่เตะก้นตัวเล็กกว่า
วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไทยที่เกิดขึ้นมีผู้อาสาสมัครเข้ามาจัดการสินทรัพย์ที่เป็นหนี้เสียและเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งขอเรียกว่า “แร้งลง” ซึ่งประเทศไทยไม่มีประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวมาก่อน ทำให้เป็นครั้งแรกของชีวิตที่ให้ต่างชาติเข้ามาซื้อสินทรัพย์ที่เป็นหนี้เสียของไทยได้ในราคาเฉลี่ยเพียงร้อยละ 20 ของต้นทุนเดิมเท่านั้น ซึ่งเวลาผ่านไป 7-8 ปีได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถมีมูลค่าคืนสูงถึงร้อยละ 60 จากต้นทุนเดิม จึงเห็นได้ว่ามีคนได้กำไรถึงร้อยละ 40 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ ดังนั้น จึงเป็นทุนนิยมที่ไม่สร้างสรรค์ เพราะที่ใดมีความอ่อนแอจะมีคนตัวใหญ่มีกำลังมีความรู้มาหาผลประโยชน์
“นักธุรกิจไทยจำเป็นต้องเรียนรู้ให้เร็ว เพราะหากไม่มีความรู้ ก็จะไม่สามารถต่อสู้ได้ โดยจำเป็นต้องรู้ทั้งเทคโนโลยี ยุทธศาสตร์การจัดการ หากไม่รู้ กิจการจะเพลี่ยงพล้ำได้ ซึ่งยังเป็นจุดอ่อนของประเทศไทย โดยภาคธุรกิจอย่าทำเกินตัว อย่าใช้เกินตัว และหากยังอยากมีความเป็นไทยอยู่ก็ต้องเลือกทางเลือกให้เป็นไท ซึ่งประเทศไทยจะต้องมีวัฒนธรรมไทยเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ สินค้าไทยิก็ต้องยกระดับ หาไม่แล้วประเทศไทยจะกลายเป็นหน่วยหนึ่งของธุรกิจเท่านั้น นอกจากนี้ ภาคธุรกิจต้องมีอาริยะขัดขืนบ้าง กล่าวคือจะต้องสู้ มิเช่นนั้นจะถูกกลืน” นายบัณฑูร กล่าว
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ONLINE
ไม่มีความเห็น