วันนี้ผมตื่นมามึนๆ เมื่อกี้นอนต่อแล้วก็ยังมึนไม่หาย เพราะเมื่อคืนนอนหลับไม่สนิท ร้านเหล้าแถวบ้านเขาไม่เกรงใจชาวบ้านที่อยู่แถวนั้นเลย ร้องคาราโอเกะกันถึงตีสี่ ผมตื่นมาตอนตีสามเพราะนอนต่อไม่ไหว โชคดีที่เกือบๆ ตีสี่ฝนตกเขาจึงหยุดกัน ไม่งั้นเขาคงไม่ยอมหยุด ผมถึงได้นอนต่อได้
ธุรกิจที่ไม่คำนึงถึงบ้านใกล้เรือนเคียงเช่นนี้ ผมเดาว่าอยู่ได้ไม่นาน สังเกตว่าร้านนี้ไม่ค่อยมีคนกิน ผมเองเคยเข้าไปกินหนเดียวก็พบว่าอาหารรสชาติไม่อร่อยไม่สมราคาที่แพงกว่าปกติ ไม่อร่อยจริงๆ นะครับ ไม่เกี่ยวกับดนตรีเมื่อคืน เพราะถ้าอร่อยผมคงกินมากกว่าหนึ่งครั้ง ก็ร้านอยู่ห่างบ้านผมไปนิดเดียวเท่านี้เอง
ร้านนี้เริ่มต้นกิจการด้วยการเป็นร้านอาหารปกติ แต่เดาว่ากิจการคงไปได้ไม่ดีเลยพยายามปรับตัวมาเป็นร้านเหล้าเพื่อชีวิต ในช่วงปีที่ผ่านมามีคอนเสิร์ตของนักดนตรีเพื่อชีวิตกลุ่ม "เคยดัง" อยู่สองสามราย ก็รบกวนชาวบ้านแถวนั้นไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันเป็นแถว
ไม่เคยสักครั้งเดียวที่ร้านจะมาบอกขออนุญาตใช้เสียงดังกับชาวบ้านแถวนั้นก่อน เพื่อนบ้านผมบอกว่าจะฟ้องตำรวจ ผมบอกว่าถ้านานๆ เขาทำทีก็ปล่อยเขาไป แต่นี่รู้สึกทำบ่อย สงสัยอาจต้องรวมตัวกันฟ้องตำรวจเสียทีเมื่อทนไม่ไหวจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าตำรวจจะเอาจริงให้เราได้แค่ไหน เพราะประเทศไทยไม่มีระบบ zoning หรือการแบ่งพื้นที่ระหว่างที่อยู่อาศัยกับพื้นที่ทำธุรกิจอย่างจริงจัง
แต่เมื่อกี้ผมนึกวิธีออกอย่างหนึ่ง ถ้าเขาถือสิทธิ์ว่าเป็นพื้นที่ของเขาจะส่งเสียงดังเท่าไหร่ก็ได้ เราเองที่มีบ้านล้อมรอบกิจการของเขาอยู่ก็สามารถถือสิทธิ์ว่าเราก็สามารถส่งเสียงได้เต็มที่เช่นเดียวกัน
นั่นคือเราซื้อลำโพงงานวัดมาเปิด "พระสวด" ส่งไปยังทางร้านเสียเลยในช่วงเวลาตั้งแต่หกโมงเย็นถึงสองสามทุ่มก่อนเรานอน ซึ่งเป็นเวลาที่ลูกค้าแบบ "กินข้าว" ของเขามาใช้บริการ ลูกค้าแบบนี้จ่ายเงินจริง ร้านอาหารไหนเสียลูกค้าแบบนี้รับประกันว่าจะเจ๊งในเวลาอันรวดเร็วแน่นอน
บ้านผมและเพื่อนบ้านเราอยู่ล้อมร้านเขาอยู่แล้ว ดังนั้นช่วยกันเปิดทีละหลังสองหลัง ถือว่าเปิดธรรมะให้เพื่อนบ้านกันและกันฟังไปด้วย ในขณะเดียวกันก็สร้างความลำบากให้แก่กิจการของนักธุรกิจที่ไม่คำนึงถึงชาวบ้านในเวลาเดียวกัน
วิธีนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์นะครับ ใครมีร้านอาหารที่ใช้เสียงดังก็เชิญเอาไปใช้ได้เลยครับ
อ้อ... วิธีนี้ร้านเขาอาจจะไม่เจ๊งถ้าลูกค้าของเขาเริ่มเปลี่ยนกลุ่ม คือจากกลุ่มกินเหล้ามาเป็นกลุ่มฟังธรรม เพราะคิดว่ามาร้านนี้แล้วได้กินข้าวเย็นแถมได้ฟังธรรมะไปด้วย แต่เมื่อลูกค้าเขาเปลี่ยนกลุ่ม ร้านเขาก็ต้องเปลี่ยนสิ่งที่เขาเปิดจากเพลงเพื่อชีวิตเก่าๆ จากนักดนตรีที่ร้องเพลงเสียงหลงไปหลงมาเป็นธรรมะ ก็กลายเป็นข้อดีแก่เพื่อนบ้านแถวนั้นก็คือได้ฟังธรรมะไปด้วย
แต่ก็นั่นละครับ ได้แค่นึก ถ้าจะทำจริงก็ต้องวางแผนกันให้ดีครับ แต่สิ่งที่ผมสรุปได้ถ้าใครมาอ่านเจอบันทึกนี้คือ ร้านอาหารแถวๆ แก้มลิงที่หาดใหญ่นั้น อาหารไม่อร่อยและดนตรีไม่เพราะครับ และที่สำคัญไม่เกรงใจเพื่อนบ้าน อย่าเสียเวลามาใช้บริการเลยครับ
เจอร้่านแบบนี้บ่อยๆ ใช้การโต้ตอบแบบบอกปากต่อปากว่า เสียงดัง อาหารไม่อร่อย ไม่นานก็อยู่ไม่ได้ครับ แต่ใช้การเปิดธรรมมะนี่น่าสนใจ 555
รอบๆ ร้านนี้เป็นบ้านอาจารย์ มอ. ทั้งนั้นเลยครับ แน่นอนว่าคงช่วยกันบอกปากต่อปากแน่ๆ ครับ ในหาดใหญ่ถ้าขาดลูกค้าจาก มอ. เสียแล้วร้านไหนก็อยู่ลำบากครับ
ในเยอรมัน..ชาวบ้าน..ยังติดป้ายไว้เสาร์อาทิตย์..ขออนุญาติ เสียงดัง..(แต่ไม่เกินเวลาที่มีกฏเกณฑ์ที่กำหนดไว้)...ตำรวจเมืองไทย..ถ้าเป็นซ๊ะเอง..คงป่วยการ..อ้ะๆๆ...ที่เมืองกาจน ..ฮี ตาสารวัตรกำนันเป็นซ๊ะเอง..ไม่เสียดายตายไปแล้ว..เปิดลำโพงดังทั้งหมู่บ้าน..ลูกหลานร้องคาราโอเกะ..ลำโพง(เป็นของราชการในหมู่บ้าน..ที่เรียกว่า..เสียงตามสาย..(ยายธี)
ขอบคุณที่แชร์กันค่ะ ข้างบ้านดิฉันเค้ากะจะทุบตึก2หลังมารวมกันแล้วเปิดผับ .. ฝันร้ายอยู่พักใหญ่ เพราะก็มีหลานสาว และสาวน้อยแล้ว คือ ตัวเอง อยู่กัน 2 คนป้าหลาน ต้องแย่แน่ๆ เลยหากเค้าเปิดจริง แต่...ก็มีอันสลายไปแล้วค่ะ
ขอส่ง พบ. 101 ไปพร้อมสิ่งประดิษฐ์ใหม่ หูฟังดับเสียง หรือ เครี่องหูดับ-ไม่ได้ยินเสียงดี 555
เอาแบบนั้นเลยนะครับ
สวดแบบแร็บกันเลย
มีความคิดดีครับ เอาแบบขิงก็ร่า ข่าก็แรงไปเลยครับ ขอเป็นกำลังใจครับ
เป็นวิธีที่น่าสนใจมากเลยครับ
น่าเสียดายที่บ้านผมมีแต่ร้าน "เหล้าตอง" ซึ่งประมาณ 2 ทุ่มก็ปิดบริการแล้ว
เลยอดได้ใช้วิธีที่อาจารย์แนะนำมาเลยครับ 555