สถานีความคิด :
เวลาที่เราไปที่วัด บ่อยครั้งที่เรามักจะได้ยินเสียงอุบาสกอุบาสิกาอาราธนาขอศีล 5 จากพระสงฆ์ ต่อจากนั้นพระสงฆ์ท่านก็จะให้อุบาสกและอุบาสิกากล่าวสมาทานศีล 5 เพื่อให้นำไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อให้เกิดความเป็นศิริมงคล มีสันติภาพ และความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าในชีวิตอยู่ตลอดเวลา
ศีลห้าที่ทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดี ก็คือ การงดเว้นจากการรังแก เบียดเบียนหรือการทำลายชีวิตของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง การงดเว้นจากการลักขโมยและการทุจริตคดโกง การงดเว้นจากการผิดประเวณี การงดเว้นจากการพูดเท็จพูดโกหก และการงดเว้นจากการดื่มสุรายาดอง การสูบบุหรี่ และการเกี่ยวข้องกับยาเสพติดทุกชนิด ซึ่งทั้งห้าข้อนั้น ล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน ในฐานะที่จะเอื้ออำนวยให้ผู้ปฏิบัติประสบความสุขและความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
ในจำนวนศีลทั้งห้าข้อนั้น มีบางข้อที่เราควรจะทำความเข้าใจมากเป็นพิเศษ เพราะเป็นสิ่งที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องและเชื่อมโยงกับอีกสี่ข้อที่เหลือ ศีลข้อดังกล่าวก็คือ ศีลข้อที่ 5 การงดเว้นจากการดื่มสุรายาเมา การสูบบุหรี่ และการเสพสิ่งเสพติดทั้งหลายนั้นเอง
สาเหตุที่เราจะต้องทำความเข้าใจกับศีลข้อนี้มากเป็นพิเศษ ก็เพราะว่าศีลข้อห้านี้มีความสำคัญต่อการสร้างหลักประกันให้เกิดขึ้นกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของคนเรา และมีผลต่อการทำลายสติสัมปชัญญะให้หมดลง จะทำให้ขาดความระมัดระวัง หรือตั้งอยู่ในความประมาทตลอดเวลา ถ้าหากว่าใครก็ตามหลงไปเสพติดเข้า
ในทัศนะทางพระพุทธศาสนา “สติ” ถือว่าเป็นสุดยอดของธรรมะ เป็นธรรมะที่จะคอยคุ้มครองและปกป้องชีวิตให้มีความปลอดภัย ด้วยเหตุดังกล่าวเราจึงควรที่จะทำความเข้าใจและดูแลสติของเราอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยอย่าปล่อยให้สิ่งใด ๆ เข้ามาทำลายสติสัมปชัญญะของเราลงไปได้อย่างง่ายๆ เพราะนั่นหมายความว่าชีวิตของเราย่อมจะต้องสิ้นสุดลงตามไปด้วย
“สติ” แปลว่า ความระลึกได้ หรือการคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะพูดหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไป โดยสติถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณูปการะอย่างยิ่งใหญ่ต่อชีวิตของเรา เพราะจะทำหน้าที่เป็นเบรคที่จะคอยปกป้องคุ้มครองและยับยั้บไม่ให้ชีวิตต้องตกไปสู่ความประมาทหรือความชั่วร้ายต่างๆ
หากเราฝึกฝนความมีสติให้เกิดขึ้นอยู่กับตนเองอยู่เสมอแล้ว ก็จะทำให้เรามีหลักประกันในด้านต่างๆ ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหลักประกันแห่งชีวิต หลักประกันแห่งทรัพย์สิน หลักประกันแห่งครอบครัว และหลักประกันแห่งความเชื่อถือ ซึ่งจะเป็นผลดีทั้งแก่ตนเองและสังคมส่วนรวมในวงกว้างต่อไป
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าในปัจจุบันนี้ มนุษย์เราไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างสติปัญญาให้เกิดขึ้นกับตนเองมากนัก ตรงกันข้ามกลับพากันทำลายสติในรูปแบบต่างๆ เช่น การดื่มสุรา ไวน์ เบียร์ การสูบบุหรี่ และการเสพสิ่งเสพติดทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น เฮโรอีน กัญชา โคเคน หรือยาบ้ายาอี ที่มีผลต่อการทำลายระบบประสาทให้เสื่อมสลายลงไป จนกลายเป็นขาดสติหรือเป็นบ้าไปในที่สุด ซึ่งถ้าหากคนเราขาดสติเมื่อไหร่ เมื่อนั้นชีวิตก็จะตกอยู่ในอันตราย เพราะความไร้สติจะทำให้เราทำในสิ่งที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน เช่น การทำร้ายหรือการเข็ญฆ่ากัน การลักขโมยทรัพย์สิน การผิดลูกผิดเมียคนอื่น การพูดโกหกมดเท็จ และอื่นๆ ซึ่งล้วนเกิดจากความขาดสติทั้งสิ้น
มีคนกล่าวเอาไว้ว่า “สังคมปัจจุบันเป็นสังคมที่ไร้สติ “ เพราะว่าผู้คนในสังคมมีลักษณะตรงตามที่ พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต)นักปราชญ์ทางพุทธศาสนาผู้ยิ่งใหญ่ของเมืองไทย ได้เคยกล่าวไว้ว่า ”ใจเสาะ เปราะบาง ไม่ใฝ่รู้ และไม่สู้สิ่งยาก” เมื่อเมื่อปัญหาใดๆ เกิดขึ้นจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ และมักจะแก้ไขปัญหาแบบโง่ๆ โดยการใช้กำลังมากกว่าการใช้สติปัญญาอยู่เสมอ ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสามีตบตีภรรยา พ่อทำร้ายลูก นักเรียนยกพวกตะลุมบ่อนกัน นักการเมืองถูกฆ่า ปัญหาการลักขโมย การทุจริตคอรัปชั่น และปัญหาการละเมิดสิทธิเด็กและสตรี ซึ่งล้วนเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงทั้งสิ้น
ดังนั้น การเสริมสร้างสติให้เกิดขึ้นกับตนเอง จึงเป็นสิ่งที่คนเราควรจะลงมือปฏิบัติให้มากที่สุด ถ้าหากว่าเราต้องการที่จะสร้างความปลอดภัยหรือหลักประกันให้เกิดขึ้นกับชีวิต ทรัพย์สิน ครอบครัว ความเชื่อถือ และสติปัญญาอยู่เสมอ ซึ่งเราสามารถจะทำได้โดยการหลีกเว้น ลด ละ และเลิก จากการดื่มสุรายาเมา การสูบบุหรี่ และการเสพสิ่งเสพติดชนิดต่างๆ ที่มีผลต่อการทำลายระบบประสาทและสมอง ในขณะเดียวกันก็ควรจะพากันศึกษาหลักธรรมทางศาสนาเอาไว้ให้มาก รวมทั้งลงมือฝึกปฏิบัติสมาธิหรือวิปัสสนาอยู่ตลอดเวลา เพื่อเสริมสร้างจิตใจให้มีความมั่นคง แข็งแกร่ง มีความตื่นตัว มีสติและมีสมาธิอยู่ตลอดเวลา
"สติ" จึงถือว่าเป็น”หลักประกันสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”และเป็น”เบรคแห่งชีวิต”ที่ทุกๆคนควรจะต้องเอาใจใส่ดูแลให้มากเป็นพิเศษ รวมทั้งเป็นสิ่งที่จะสร้างสรรค์ความสุขและความเจริญก้าวหน้าให้เกิดขึ้นกับชีวิตและสังคมส่วนรวมด้วย
ชีวิตมีค่ามากเหนือกว่าสิ่งอื่นใด จงอย่าดำเนินชีวิตอย่างขาดสติหรืออยู่ด้วยความประมาท เพราะความประมาทเป็นหนทางแห่งความหายนะ และคนที่ขาดสติ ขาดความระมัดระวัง หรือประมาทในการใช้ชีวิต ก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้วนั่นเอง
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ สติเปรียบเสมือนตัวเมนบอร์ดในการประมวลผลของ เครื่องคอมพิวเตอร์ ถ้าเครื่องประมวลผลเสีย ทุกอย่างก็จบ....ครับ
- ยังไม่เข้าใจครับว่าคนไทย มีศิลห้าให้ถือปฏิบัติ แต่ทำไมรอบๆ ชายแดนประเทศไทย เต็มไปด้วย บ่อนการพนัม และก็มีแต่คนไทยทั้งนั้น ครับ เป็นเพราะอะไรครับ
สวัสดีครับ อาจารย์ ขจิต ฝอยทอง
* พอดีผมบวชนานนะครับ ก็เลยอดไม่ได้ที่จะต้องเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะธัมโมไปด้วย 555
** ขอบคุณมากๆ ครับ ที่แวะเข้ามาให้กำลังใจอย่างสม่ำเสมอ
สวัสดีครับ อาจารย์ ผศ.วิไล แพงศรี
* ผมรู้ยินดีและเป็นเกียรติอย่างมากๆ เลยครับ ที่ป้าวิจะนำเอาบันทึกที่ผมเขียน ชุด "หลักประกัน 5 อย่าง" นี้ไปเผยแพร่ต่อให้คนอื่นๆ ได้อ่าน
คิดว่าบันทึกเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
** ตอนแรก ผมจะเดินทางไปศรีสะเกษ 23-27 ต.ค. นะครับ แต่เผอิญอาจารย์วิราช กองแก้ว และครอบครัวเดินทางมาเชียงใหม่ หัวหน้างานก็เลยให้ผมอยู่ต้อนรับแขกที่เชียงใหม่ เลยไม่ได้เดินทางไปศรีสะเกษเลยครับ ซึ่งผมได้เขียนแจ้งไว้ในอนุทินแล้วนะครับ
*** ป้าวิอย่าลืมเขียนเล่าเรื่องราวตอนไปเที่ยวยุโรปให้อ่านบ้างนะครับ คงจะมีความสุขและสนุกมากๆ เลย
สวัสดีครับ คุณ Yong
* สติ....เป็นเบรคของชีวิตนะครับ ถ้าหากขาดสติ ทุกอย่างก็จบครับ
** คนไทยเราส่วนใหญ่ถือศีล 5 เพียงแค่เป็นพิธีเท่านั้นนะครับ ไม่ได้ซึมซับถึงภายในจิตใจอย่างแท้จริง ก็เลยทำให้ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น ยังเต็มไปด้วยความโลภ โกรธ และหลง อยู่เหมือนเดิม
*** ทางเดียวที่จะทำให้คนไทยเรา ไม่ต้องเดินทางไปเล่นการพนันในประเทศเพื่อนบ้านอีก ก็คือ รัฐบาลจะต้องเปิดบ่อนการพนันขึ้นในประเทศไทยเองเสียเลยนะครับ รับรองว่าคนไทยจะไม่ไปเล่นการพนันที่ต่างประเทศอีกอย่างแน่นอน 555
ครับ ผมก็ว่างั้นแหละครับ เปิดในประเทศก็แล้ว นำเงินภาษีมาพัฒนาประเทศ เหมือนภาษีบุหรี และสุรา (สิ่งเสพติด)
สวัสดีครับ คุณ Yong
ผมแอบๆ สนับสนุนความเห็นของคุณ Yong นิดๆ นะครับ 555