ชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบของป้าศรีนั้น นอกจากจะเจอมรสุมที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ก่อแล้ว ยังถูกมารสุมจากคนรอบข้าง คือ ชีวิต ถูกรังเกียจจากชุมชน แต่ป้าศรีก็อดทน หันหน้าไปพึ่งธรรมมะเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่ก็ไม่พ้นยังถูกญาติธรรมที่วัดรังเกียจ ป้าศรีก็อดทน มาพบแพทย์รักษาตัว กินยาที่โรงพยาบาลตามแพทย์สั่งตลอด และจากการเข้ามารับการรักษานี่เองทำให้ป้าศรีได้เรียนรู้เกี่ยวกับโรค HIV การดูและ การปฏิบัติตัวที่ถูกต้อง
ซึ่งจะว่าไปแล้ว HIV ไม่ได้น่ากลัว เท่าโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงเลย ชลัญว่า ถึงแม้จะเป็นโรคที่รักษาไม่หายก็ตาม หากคุณสามารถปฏิบัติตัวได้ดี คุณสามารถที่จะอยู่ ไปกับมันได้ อย่างสบายๆ พาร์กินสันที่ชลัญเป็นอยู่ ดูจะรันทดกว่า ด้วยซ้ำ หลังจากมีความรู้ ป้าก็อุทิศตัวมาช่วยดูแล ผู้ติดเชื้อ และ พบกับผู้ป่วยชายไทยอายุ 46 ปีรายหนึ่งป่วยด้วยเอชไอวีเต็มขั้นป่วยด้วยโรคแทรกซ้อนเป็นวัณโรคที่ลำไส้ มีอาการท้องเสีย ตลอดมานอนโรงพยาบาลและกับไปอยู่บ้านเป็นพักๆ อาการทรุดลงเรื่อยๆ จากการไปเยี่ยม ที่ตึกผู้ป่วยชายกับป้าศรีพบว่าผู้ป่วยเป็นคนจังหวัดนนทบุรี มีพี่ชายรับราชการ ทำงานที่กรุงเทพ กับภรรยา เป็นคน บ้านเดียวกับป้าศรี มีบุตรด้วยกัน 2 คน เมื่อป่วยพี่ชายก็นำมารักษาที่บ้านให้เหตุผลว่าไม่สะดวกในการดูแลซึ่งทราบมาว่าผู้ป่วยถูกรังเกียจจากญาติ ผู้ป่วยจึงถูกส่งให้มาอยู่กับแม่ของภรรยาเนื่องจากภรรยาต้องทำงาน ตอนแรกแม่ภรรยาก็ดูแลดีแต่พอคิดว่าผู้ป่วยคงเป็นโรคนี้ก็เริ่มกลัวและไม่กล้าดูแล จากการไปเยี่ยมบ้านของป้าศรี ร่วมกับข้าพเจ้าพบว่า ผู้ป่วยถูกให้นอนอยู่ในห้องปิดประตูห้องไว้เอาข้าวเอาน้ำไปหย่อนให้ทาน ผู้ป่วยถ่าย เลอะเสื่อผ้า ผ้าปูที่นอนเต็มไปหมด มีแผลที่ก้น เห็นแล้วรู้สึกแย่มากทั้งสภาพผู้ป่วยและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ ในสถานการณ์ที่ญาติ รังเกียจไม่เข้าใจ และญาติยังถามว่ามีวิธีไหนที่ทำให้ผู้ป่วยไปอย่างสงบหรือไม่ฟังแล้วเศร้าใจจริงไม่ใช่เฉพาะคนในครอบครัว เพื่อนบ้านก็เช่นกันที่รังเกียจ
จนท.ที่รับผิดชอบงานก็ลงไปช่วยป้าศรี ในการทำความเข้าใจกับญาติ เรื่องความกลัวของญาติ ทำความเข้าใจว่าไม่ได้ติดกันง่ายๆทำให้ดูเป็นตัวอย่าง โดยเริ่มจากทำความสะอาดของผู้ป่วยโดยการอุ้มไปอาบน้ำสระผม ให้ญาติเห็นว่าป้าศรีและพยาบาลที่รับผิดชอบงานไม่กลัวติดและป้องกันอย่างไรถึงจะไม่ติด ช่วยกันทำความสะอาดบ้านที่เต็มไปด้วยอุจจาระ ป้าศรีจะแวะเวียนไปช่วยดูแลที่บ้าน ทำแผลที่บ้าน บางช่วงที่ผู้ป่วยแย่ลงก็จะมาประสานกับพยาบาล นำมานอนรพ.พอดีขึ้นก็กลับไปดูแลต่อที่บ้าน ป้าศรีทำอยู่อย่างนี้จนกระทั่งผู้ป่วยเสียชีวิต
และป้าศรีก็ยังเข้ามาเป็นแกนนำในการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ร่วมกับพยาบาลในโรงพยาบาล โดยจะเข้ามาช่วยแนะนำในเรื่องการกินยา การปฏิบัติตัว ให้แก่ผู้ป่วย ซึ่งจากการที่ป้าศรีเข้ามาช่วยนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะ การพูดคุยกับผู้ป่วยกลุ่มนี้บางครั้งเขาไม่ได้เปิดใจกับเราทั้งหมด แต่เขาไว้วางใจป้าศรีทำให้เรารู้ปัญหาผู้ป่วยมากขึ้นเข้าถึงผู้ป่วยและแก้ไขปัญหาให้ผู้ป่วยได้ตรงประเด็นขึ้น
ทุกวันนี้ป้าศรียังคงมาช่วยงานในด้านการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้อยู่ แถมยังลงไปช่วยเยี่ยมบ้านผู้ป่วยให้อีกด้วย เห็นมั๊ยค่ะนี่แค่เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จะไม่ให้ชลัญกราบหัวใจป้าได้อย่างไร เรื่องมาสุมของป้ารียังไม่จบเท่านี้ เดี๋ยวมาเล่าต่อในตอนต่อไปค่ะ
นับถือครับ....
ขอบคุณนะค่ะที่มาให้กำลังใจ ป้าศรี
Tawandin | |
ภูสุภา | |
ชยพร แอคะรัจน์ | |
นาง นงนาท สนธิสุวรรณ | |
ปณิธิ ภูศรีเทศ | |
ภูคา | |
พ.แจ่มจำรัส | |
อ.นุ |
ชอบครับ...บันทึกได้ดีมาก
ขอบคุณ ที่มาให้กำลังใจค่ะ
ขอบคุณ อ.ขจิต ที่มาให้กำลังใจป้าศรีค่ะ
ป้าศรีคงชื่นใจที่อย่างน้อยก็มีน้องโจ้นี่แหละที่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ป้าศรีทำ พี่โอ๋ว่าแค่มีคนร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราอย่างจริงจัง แม้เพียงคนเดียวที่จริงใจก็มีค่ามากมาย และน้องโจ้น่าจะมีส่วนช่วยให้ป้าศรีอยากทำงานเพื่อคนอื่นด้วย การเป็นต้นแบบที่ดีก็เป็นคุณค่าในตัวเองอยู่แล้วค่ะ ชื่นชมทั้งคนเล่าและเจ้าของเรื่องเลยค่ะ ขอบคุณเรื่องราวดีๆที่ทำให้มีพลังมากมาย
ขอบคุณ ที่มาเป็นกำลังใจให้ป้าศรี
ขอบคุณ อ.sila ที่มาให้กำลังใจป้าศรี ทุกวันนี้ป้าศรีบอกเวลาที่เหลืออยู่ ขอทำกุศล น่าชื่นชมจริงค่ะ
ขอบคุณพี่่โอ๋ค่ะที่มาให้กำลังใจ จริงๆ แล้วป้าศรี เป็นคนสอนให้โจ้รู้จักให้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ จากการกระทำของป้าศรี ค่ะ พี่โอ๋ อยากกราบหัวใจป้ามาก