Reuters ตีพิมพ์เรื่อง 'Beans show promise in diabetes' = "ถั่วช่วยคนไข้เบาหวาน", ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ
การศึกษาจากแคนาดา (ตีพิมพ์ใน Archives of Internal Medicine) ใหม่ พบว่า การกินถั่วเมล็ดแห้ง (beans) หรือถั่วเมล็ดกลม (lentils - ใช้มากในอาหารอินเดีย-เอเชียใต้-พม่า) ทุกวันช่วยให้คนไข้เบาหวานชนิดที่ 2 (type 2 diabetes) ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น
คนไข้เบา หวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดี จะช่วยลดเสี่ยงโรคแทรก เช่น โรคหัวใจ สโตรค (stroke = กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต) ฯลฯ ได้ในระดับหนึ่ง
เบาหวานชนิด ที่ 1 พบบ่อยในเด็กหรือคนอายุต่ำกว่า 30 ปี, คนไข้อาการมักจะชัดเจน เช่น น้ำหนักตัวลดลงเร็ว ผอม ช็อค หรือป่วยหนักจากระดับน้ำตาลที่สูงขึ้นเร็วมาก ฯลฯ
เบาหวานชนิด ที่ 2 พบบ่อยในคนวัยกลางคนขึ้นไป และเด็กอ้วน, พบเพิ่มขึ้นตามอายุ - ยิ่งอายุมากยิ่งพบมาก อาการมักจะไม่ค่อยรุนแรง เช่น ปัสสาวะบ่อย มดตอมปัสสาวะ หิวน้ำบ่อย ฯลฯ ทำให้คนไข้ส่วนหนึ่งเป็นโรคโดยไม่รู้ตัว
ทิ้งโรคไว้ไม่นานจะพบอาการจากโรคแทรกหลายอย่างโผล่มาแทน เพราะอาการจากโรคแทรกมีแนวโน้มจะชัดเจน เด่นชัดกว่าโรคหลัก
การตรวจคัดกรองโรค โดยเฉพาะตรวจหาระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยได้มาก
คนทั่วโลกมี ปัญหาน้ำหนักเกิน-อ้วนเพิ่ม ขึ้น, อายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น ทำให้พบเบาหวานชนิดที่ 2 มากขึ้น โรคแทรกจากเบาหวาน เช่น ไตเสื่อม-ไตวาย, แผลที่เท้า-แผลติดเชื้อจนอาจถูกตัดนิ้ว-ตัดเท้า-ตัดขา, ตาเสื่อม-ตาบอด, หัวใจเสื่อม-หัวใจวาย ฯลฯ เพิ่มขึ้นทั่วโลก
ครูบาอาจารย์แนะนำให้จำตำแหน่งโรคแทรกในเบาหวานเป็นคำคล้องจองกัน คือ "หัว-หัวใจ-ไต-ตา-ตีน"
ผู้เชี่ยวชาญ คาดว่า โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (non-communicable diseases / NCD) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความต้องการพยาบาล-ผู้ช่วยพยาบาล-ผู้ช่วยดูแลคนไข้ที่บ้านเพิ่มขึ้น ทั่วโลก ประเทศใดผลิตบุคลากรกลุ่มนี้ไม่ทัน... จะเสี่ยงวิกฤติในระบบบริการสุขภาพ
สำหรับประเทศไทย, ถ้า ม.รามฯ - ม.ราชภัฎ - ม.ราชมงคล ช่วยผลิตพยาบาล-ผู้ช่วยพยาบาล และ/หรือ หมอฟันได้ จะช่วยให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านการรักษาพยาบาล (medical hub) และศูนย์กลางด้านการศึกษาสุขภาพ (medical education hub) ของอาเซียนได้ในอนาคต
.
.
สถาบันอาชีวศึกษาก็น่าจะมีส่วนร่วมตรงนี้ได้ โดยช่วยกันผลิตผู้ช่วยพยาบาล ซึ่งจะสร้างงาน สร้างสุขภาพให้คนไทยได้อย่างกว้างขวาง
การศึกษาใหม่ทำในกลุ่มตัวอย่าง 121 คนกลุ่มหนึ่งให้กินธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท (เติมรำ) ฯลฯ แทนธัญพืชขัดสี
ธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ฯลฯ มีจมูกข้าวและรำข้าว ซึ่งมีโปรตีน ไขมันชนิดดี แร่ธาตุ เส้นใยหรือไฟเบอร์ สารพฤกษเคมีหรือสารคุณค่าพืชผักที่มีฤทธิ์เป็นยา ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้า-ลงช้า อิ่มนาน หิวช้า
ธัญพืชขัดสี เช่น ข้าวขาวขนมปังขาวอาหารทำจากแป้งขาว น้ำตาล ฯลฯ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นเร็ว-ลงเร็ว อิ่มไม่นาน หิวเร็ว
อีกกลุ่มหนึ่งให้กินพืชตระกูลถั่ว, ติดตามไป 3 เดือน
ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่กินถั่วมีระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ย 3 เดือน (hemoglobin A1c) ต่ำกว่า คำนวณกลับเป็นความเสี่ยงโรคหัวใจ-ระบบไหลเวียนเลือด 10 ปี พบว่า ความเสี่ยงลดลงจาก 10.7% เป็น 9.6% = ลดลง 1.1%
ความเสี่ยงที่ลดลง 1.1% จากเดิม 10.7% = ความเสี่ยงลดลง 1.1*100/10.7 = 10.28%
.
.
อ.ดร.เดวิด เจนคินส์ หัวหน้าคณะวิจัยกล่าวว่า พืชตระกูลถั่วมีโปรตีนชนิดดี มีเส้นใยหรือไฟเบอร์ โดยเฉพาะเส้นใยชนิดละลายน้ำ ที่ช่วยทำให้การย่อยช้าลง การดูดซึมน้ำตาลช้าลง ทำให้อิ่มนานขึ้น หิวช้าลง
พืชตระกูลถั่ว ทั้งถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วแดงหลวง ฯลฯ และถั่วฝัก(ถั่วเปียก) เช่น ถั่วลันเตา ถั่วพู ถั่วฝักยาว ฯลฯ เป็นพืชที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (low glycemic index / low GI)
การศึกษานี้พบว่า ระดับน้ำตาลเฉลี่ย 3 เดือน (hemoglobin A1c) ลดลง 0.5 ในกลุ่มที่กินพืชตระกูลถั่ว และ 0.3 ในกลุ่มที่กินธัญพืชไม่ขัดสี
การลดระดับน้ำตาลเฉลี่ย 3 เดือน (Hb A1c) ได้ 0.3-0.4% ขึ้นไป ถือว่า มีผลในการรักษาชัดเจน
กลุ่มที่กินพืชตระกูลถั่วมีความดันเลือดลดลง คือ
ความดันเลือดปกติในคนทั่วไป คือ ไม่เกิน 120/80, เกินกว่านี้ถือว่าสูงเล็กน้อย, ควรรีบปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต (lifestyle) และตรวจความดันเลือดทุกๆ 2-6 เดือนตลอดชีวิต
ถ้าเกิน 140/90 ควรพิจารณาใช้ยา + ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต (lifestyle) เช่น
คนที่เป็นเบาหวาน หรือไตเสื่อม-ไตวาย นิยมควบคุมความดันเลือดไว้ไม่ให้เกิน 130/80 โดยใช้ยา + ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
หลอดเลือดของคนเราจะเสื่อมเร็วขึ้นถ้าความดันเลือดสูง น้ำตาลในเลือดสูง หรือไขมันในเลือด (โคเลสเตอรอล) สูง
อ.เจนคินส์คำนวณพบว่า คนไข้เบาหวานที่มีโอกาสเป็นโรคหัวใจ หรือสโตรค (กลุ่มโรคหลอดเลือดสมองแตก-ตีบตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต) 10% ใน 10 ปี จะได้รับประโยชน์จากอาหารและยาดังนี้
ไม่มีความเห็น